โหยวเสี่ยวโม่ท่าทีประมาณว่า ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อ
หลิงเซียวไม่มีทางเชื่อเขาอยู่แล้ว แต่ก็ยอมปล่อยเขาไปก่อน ถูกขู่แล้วยังไม่พูดความจริง ถึงกับกุเื่ขึ้นเพื่อโกหกอย่างไม่กลัวตาย ความกล้าทวีคูณแล้วสินะ!
เห็นแก่ที่ศิษย์น้องโหยวเสี่ยวโม่โกหกเขาเป็ครั้งแรก หลิงเซียวตัดสินใจว่าจะไม่บังคับเขา
“ศิษย์น้องเล็ก หาโอกาสซื้อหินทดสอบสักอัน แล้วก็ทดสอบปราณิญญาของเ้าใหม่เสีย หินทดสอบอันไม่กี่ตำลึงหรอก แต่ถ้าเ้าอยากให้ข้าช่วยซื้อให้ก็ได้” หลิงเซียวยิ้มตาหยีตบบ่าเขา
แม้ใบหน้าจะกำลังยิ้ม แต่โหยวเสี่ยวโม่พอฟังออกว่าไม่มีการต่อรองใดๆ ได้แต่ยืนกรานหัวแข็งแล้วเอ่ย “…ข้าไปซื้อเองดีกว่า”
เห็นท่าทีจำใจ หลิงเซียวที่กำลังจะยิ้มกริ่ม จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็สีหน้าขึงขัง ตาลุกเป็ประกายจ้องไปยังหน้าต่าง เพ่งสมาธิจดจ่อมากขึ้น
โหยวเสี่ยวโม่เห็นบรรยากาศท่าทีเขาเปลี่ยนไป เงยหน้าขึ้นมองไปด้านหน้า แต่ไม่เห็นมีอะไร แต่ยังเห็นเขามองแน่นิ่งไปทางหน้าต่าง
ขณะที่คิดจะเอ่ยถาม จู่ๆ หลิงเซียวก็ยกมือขึ้น มีแรงดูดปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเขา จากนั้นในฝ่ามือก็เหมือนมีอะไรบางอย่างถูกดูดมา
โหยวเสี่ยวโม่จดจ้องฝ่ามือเขา ก็ไม่เห็นอะไรอีกอยู่ดี แต่เสี้ยววิถัดมาก็ต้องสะดุ้งกับภาพที่เกิดขึ้น แมลงสีขาวหิมะจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับล่องหนอยู่บนมือหลิงเซียว ใหญ่พอๆกับกำปั้นเขา ขาแปดข้างนั้นตะเกียกตะกายไม่หยุด
“นี่คือ?” โหยวเสี่ยวโม่จ้องมองแมลงด้วยความตกตะลึง
“นี่คือแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น สัตว์ปีศาจขั้นหก ไม่มีพลังการต่อสู้ แต่จุดเด่นที่สุดของมันคือการติดตาม ทั้งยังไม่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ ปกติแล้วจะอยู่เป็คู่ตัวเมียกับตัวผู้ ตัวเมียจะส่งกลิ่นหอมที่ตัวผู้เท่านั้นถึงจะได้กลิ่น” หลิงเซียวหรี่ตาเอ่ย
“นี่…คงไม่ใช่กำลังติดตามข้ากับท่านหรอกใช่มั้ย?” โหยวเสี่ยวโม่กลืนน้ำลาย
“เ้าว่ายังไงล่ะ?” หลิงเซียวส่งยิ้มถามเขา
ยังต้องให้พูดอีกเหรอ จับได้ในห้องเขา ถ้าไม่ติดตามเขา ก็คงติดตามหลิงเซียว เพียงแต่ใครกันที่ตั้งใจปล่อยแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นมาติดตามพวกเขา? พวกเขาก็ไม่ได้ไปหาเื่ใคร แต่คนที่หาเื่พวกเขาอาจพอเป็ไปได้
โหยวเสี่ยวโม่อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นที่เมืองฮุยจี๋และเมืองอู๋เฟิง ถ้าให้พูดถึงคนที่มีความแค้นกับพวกเขา นั่นคงเป็แก๊งเขี้ยวหมาป่า แต่จากอำนาจของแก๊งเขี้ยวหมาป่าแล้ว คงไม่มีทางทำได้แน่
“ศิษย์พี่หลิง จากนี้เอาไงต่อดี?” โหยวเสี่ยวโม่ถาม
หลิงเซียวมองเขาอย่างน่าสนใจ พลันเอ่ย “แมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นแม้เป็แค่สัตว์ปีศาจขั้นหก แต่หากมีการเปลี่ยนร่างสามครั้ง จากนั้นจะกลายเป็แมลงปีกทอง เมื่อเป็แมลงปีกทองความสามารถในการติดตามจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งทุก่เวลามันจะสามารถสร้างไหมทองออกมาหนึ่งเส้น ไหมทองสิบเส้นสามารถใช้ทำเสื้อเกราะอ่อนได้หนึ่งตัวซึ่งช่วยกันธาตุทั้งห้าและไม่เกรงกลัวสายฟ้า เป็อาวุธป้องกันตัวชั้นยอด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ แมลงปีกทองเป็แมลงที่กลืนกินทุกอย่างได้”
“ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว!” โหยวเสี่ยวโม่ทึ่ง
“ร้ายกาจส่วนร้ายกาจ แต่ไม่ใช่ว่าแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นทุกตัวจะสามารถกลายร่างได้สำเร็จ จากที่ข้ารู้ แมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นเป็พันหมื่นคู่มีเพียงคู่เดียวที่กลายร่างได้สำเร็จ แต่ว่า…” หลิงเซียวเอ่ยอย่างน่าเสียดาย
โหยวเสี่ยวโม่ก็สูดหายใจเฮือก ความน่าจะเป็นี้น้อยนิดจนไร้เหตุผล แต่เมื่อเขาพูดคำว่า แต่ว่า ก็รีบเอ่ยถามต่อ “แต่ว่าอะไร?”
สายตาหลิงเซียวแฝงด้วยความขี้เล่นเ้าเล่ห์ หัวเราะแล้วเอ่ย “แมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นเป็สัตว์ปีศาจที่มีความพิเศษ พวกมันกินหญ้าเจ็ดดาวเป็อาหาร มีแค่หญ้าชนิดนี้ที่จะช่วยให้พวกมันกลายร่างได้”
“หญ้าเจ็ดดาวคืออะไร?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอย่างสงสัย สายตาลุกวาว
เขาเคยอ่านตำราหญ้าเซียนไม่น้อย ขั้นหนึ่งถึงขั้นหกอ่านมาหมดแล้ว แต่ยังไม่เคยอ่านเนื้อหาหญ้าเซียนขั้นเจ็ด
หลิงเซียวชำเลืองเขาแล้วเอ่ย “หญ้าเจ็ดดาวคือหญ้าเซียนขั้นหกชนิดหนึ่ง แต่มันไม่มีคุณค่าทางเื่สรรพคุณยา ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้หลอมยา แต่มันก็เป็อาหารของแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น…”
พูดถึงแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น ในแผ่นดินหลงเสียงอาจไม่มีชื่อมากเท่าใด แต่หากพูดถึงแมลงปีกทองละก็ ชื่อเสียงโด่งดังนัก แทบไม่มีใครไม่รู้จัก แต่คนส่วนน้อยที่จะรู้ว่าแมลงปีกทองนั้นพัฒนาร่างมาจากแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น
แม้คนมากมายจะคลั่งไคล้แมลงปีกทอง แต่ไม่ว่าจะเป็แมลงปีกทอง หรือแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีปัญญาเลี้ยงดูมันได้ อย่างสำนักใหญ่อย่างเทียนซินเองก็ไม่ได้เช่นกัน
ข้อแรกเพราะแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น ทุกครั้งที่กลายร่างจะต้องกินหญ้าเจ็ดดาว ครั้งแรกต้องกินหนึ่งร้อยต้น อีกทั้งคุณภาพชั้นยอดยิ่งดี เท่านี้การกลายร่างก็จะมีความเป็ไปได้สูงขึ้น ครั้งที่สองต้องกินสี่ร้อยต้น ครั้งที่สามต้องกินหนึ่งพันต้น
ตัวเลขนี้หากพูดถึงหญ้าเซียนนับว่าไม่สูงมากนัก แต่ต้องทราบว่า หญ้าเจ็ดดาวไม่มีคุณค่าทางยา หลอมยาไม่ได้ จึงไม่มีปรากฏให้เห็นมานานแล้ว อีกทั้งหญ้าเจ็ดดาวมีไม่มากอยู่แล้ว ดังนั้นแมลงปีกทองสัตว์มีค่าเช่นนี้จึงใกล้สูญพันธุ์เต็มที
แม้ว่าแมลงปีกทองจะไม่สูญพันธุ์ แต่คงไม่มีใครมีปัญญาเลี้ยงมันได้
เพราะแมลงปีกทองจะพ่นใยสักเส้นต้องกินหญ้าเจ็ดดาวคุณภาพยอดเยี่ยมถึงร้อยต้น ทั้งยังหยุดระหว่างทางไม่ได้ คุณภาพของไหมทองที่พ่นออกมาก็จะลดต่ำลง พูดได้ว่าเป็สัตว์ปีศาจที่สูงส่งมีค่าแต่ก็ฟุ่มเฟือยมากเช่นกัน
“ศิษย์น้องเล็ก คนอื่นอาจไม่มีกำลังพอเลี้ยงดูมันได้ แต่เ้าทำได้ อยากจะลองเลี้ยงแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นสักคู่ดูมั้ย?” หลังจากหลิงเซียวปูพื้นความรู้ให้เขาเรียบร้อย ก็หัวเราะแล้ววางแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นลงบนมือเขา
โหยวเสี่ยวโม่ขนลุกพลัน มือที่จับแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นนั้นสั่นเล็กน้อย เขาไม่ได้กลัว แต่จากที่ฟังหลิงเซียวพูดจนจบ เขาก็อดใจเต้นไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่มีหญ้าเจ็ดดาว
หลิงเซียวดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ย “เื่หญ้าเจ็ดดาวเ้าไม่ต้องห่วง แผ่นดินหลงเสียงอาจไม่มี แต่ไม่แน่ว่าแดน์วิมานจะไม่มีนี่ ถึงตอนนั้นค่อยลองหาที่นั่น น่าจะเจอ”
โหยวเสี่ยวโม่คิดตามรู้สึกมีเหตุผล “งั้นแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นอีกตัวล่ะ จะทำไง?”
หลิงเซียวเผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ทันใด มองเขาแล้วเอ่ยอย่างมีความหมายแฝง “ตัวเมียอยู่ที่มือเ้าแล้ว ตัวผู้จะหนีไปไหนรอด?”
โหยวเสี่ยวโม่ก็นึกออก พลันมองเขาอย่างเคืองๆ ปากสุนัขไม่อาจคายงาช้างได้ ท่านสิตัวเมีย ทั้งบ้านท่านก็เป็ตัวเมีย!
ตกดึก หลิงเซียวไม่ได้ดึงดันอยู่ค้างที่นี่เหมือนที่แล้วมา ราวสามทุ่มก็กลับไป
โหยวเสี่ยวโม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่เขารู้ว่าทำไมหลิงเซียวถึงไม่อยู่ต่อ เ้าสำนักเตือนเขาแล้ว เขาก็ไม่อาจหายไปจากสายตาผู้อื่นได้นานมากนัก ไม่งั้นอาจทำให้คนอื่นสงสัยได้
วันต่อมา โหยวเสี่ยวโม่ไปทานมื้อเช้าที่โรงอาหารเหมือนปกติ จากนั้นก็หลอมยาอยู่ในห้องทั้งเช้า จนถึงเที่ยงค่อยออกมา
ขณะไปทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหาร โหยวเสี่ยวโม่พบกับจ้าวต๋าตัน แต่ไม่ยักเห็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง
ท่าทีของจ้าวต๋าตันที่มีต่อโหยวเสี่ยวโม่นั้นเปลี่ยนไปสิ้นเชิง เมื่อเห็นเขาก็ไม่ได้เมินเฉยเหมือนแต่ก่อน ะโเรียกเขาไปนั่งด้วยแล้วถามถึงเื่ที่ขงเหวินกำหนดให้เขาเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสามให้ได้ในสองเดือน
พูดจนโหยวเสี่ยวโม่นึกว่าเื่กระจายไปทั่วแล้ว ผ่านไปชั่วครู่ถึงรู้ว่าเป็ข่าวจากในบ้าน เพราะในทัพพิภพเขามีท่านพ่อที่มีตำแหน่งสูง ดังนั้นเขามักจะรู้ในเื่ที่ผู้อื่นไม่รู้
เมื่อจ้าวต๋าตันได้ยินเื่นี้ ก็ตั้งใจหาโหยวเสี่ยวโม่ เขาเองก็ไม่นึกว่าโหยวเสี่ยวโม่จะทำได้ทันตามกำหนดของอาจารย์ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อมั่นในตัวโหยวเสี่ยวโม่ แต่ภายในสองเดือนต้องเลื่อนจากนักหลอมโอสถขั้นสองเป็ขั้นสาม เื่นี้แค่ฟังก็เหลือเชื่อแล้ว เขารู้ดีที่สุด
่เวลาที่จ้าวต๋าตันหยุดนิ่งอยู่ระหว่างนักหลอมโอสถขั้นสองขึ้นขั้นสามนั้นไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งปี เขารู้ดีว่าตรงกลางนั้นมันยากแค่ไหน สองเดือนไม่มีทางเป็ไปได้ ดังนั้นเขาจึงเสนอว่าจะให้พ่อเขาช่วยออกหน้าให้ ขอแค่พ่อเขาออกหน้าเอง อาจารย์ต้องให้เกียรติแน่ แต่ก็ถูกโหยวเสี่ยวโม่ปฏิเสธเสียก่อน
อย่างที่หลิงเซียวบอก ขงเหวินนั้นตั้งใจทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก ไม่อยากยกสิทธิ์ให้เขา
หากอาจารย์ลุงจ้าวไปช่วยพูดกับขงเหวินอีก เห็นทีความไม่ปลื้มที่ขงเหวินมีต่อเขาคงทวีคูณแน่ ไม่มีใครชอบให้คนมาตั้งแง่กับตัวเองตลอดเวลา โดยเฉพาะคนที่ว่านั่นคือคนสนิทของเขาเอง
ดังนั้นไม่ว่าจ้าวต๋าตันจะหวังดีหรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่อาจรับไว้ได้ แต่เขาก็ซึ้งใจที่ศิษย์พี่ห้าพยายามที่จะตอบแทนน้ำใจเขา คนแบบนี้แบ่งแยกบุญคุณความแค้นได้ชัดเจน คบหาได้
โหยวเสี่ยวโม่กังวลว่าศิษย์พี่ห้าจะไปบอกกับอาจารย์ลุงจ้าว จึงเน้นย้ำกำชับ จนเขารับปากว่าจะไม่ไปบอกพ่อจึงวางใจ
เมื่อคุยกับศิษย์พี่ห้าเสร็จ เขาก็ตรงกลับห้อง ไม่ได้หลอมยาต่อแต่อย่างใด แล้วมุดเข้าห้วงมิติ หญ้าเซียนขั้นสองที่ปลูกไว้ไม่กี่วันก่อนโตเต็มที่แล้ว นี่คงเป็หญ้าเซียนขั้นสองชุดสุดท้าย หลังเก็บเกี่ยวเขาก็ตั้งใจจะไม่ปลูกต่อ ตอนนี้เขาเป็นักหลอมโอสถขั้นสามแล้ว จึงต้องเพาะหญ้าเซียนขั้นสามเป็หลัก
โหยวเสี่ยวโม่จัดการเก็บเกี่ยวหญ้าเซียนขั้นสองทั้งสิบสองแปลง จากนั้นหว่านเมล็ดหญ้าเซียนขั้นสามลงไป หลังจากรดน้ำ เขาก็เดินเข้าบ้านไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังไม้หนึ่งใบ
ในกะละมังเต็มไปด้วยน้ำปราณ ในน้ำปราณมีเมล็ดหลากชนิดแช่อยู่ เมล็ดพวกนี้เป็เมล็ดหญ้าเซียนขั้นกลาง เนื่องจากคนละขั้นกัน จำเป็ต้องแช่ในน้ำก่อน นี่เป็เพียงหนึ่งในเหตุผลทั้งหมด
โหยวเสี่ยวโม่กลับมาแล้วได้ตรวจดูเมล็ดพันธุ์พวกนี้ ทั้งหมดนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์หมด มีบ้างที่เริ่มเหี่ยวแล้ว เป็ตะปุ่มตะป่ำ หากปลูกไปทั้งแบบนี้ คงส่งผลกับหญ้าเซียน และมีปัญหาตอนดูแลอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงใช้น้ำปราณแช่อยู่หลายวัน เมล็ดที่ผ่านการแช่แล้ว ดูดน้ำได้ดีทุกเม็ด เมื่อตักเมล็ดออกมาจนหมด เขาก็ตรงไปยังแปลงปลูกหญ้าเซียน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้