ข้าหลับตารับลมเย็นๆในยามดึกที่มีแสงดาวพร่างพราว
“ปู้อี้เชวียน ท่านเสนาบดีเชิญให้เ้าไปพบ”
เสียงของท่านลุงหลงดังมาจากด้านนอกข้าจึงต้องลืมตาแล้วลุกขึ้นตามเขาไป
ในห้องที่อยู่ไม่ไกลนักมีทั้งซูซีเฉิงซูเหยียนและถังเชวียหรานอยู่ด้านในเมื่อข้าเข้ามาในห้องท่านลุงหลงก็ปิดประตูจากข้างนอกในห้องนี้จึงมีเพียงพวกเราสี่คน
“มีเื่อะไรหรือเปล่าขอรับ ท่านเสนาบดี?” ข้าถามขึ้น
ซูซีเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกมา“แน่นอนอยู่แล้ว พรุ่งนี้พวกเ้าก็จะเข้าร่วมการประลองกันแล้วซึ่งข้าเองก็เคยเข้าไปด้านในถึงสองครั้ง มันเป็สถานที่ที่อันตรายไม่ว่าจะเป็เสี่ยวเหยี่ยนหรือเชวียหรานเข้าไปข้าก็ไม่สบายใจทั้งนั้นดังนั้นข้าจึงอยากจะข้อร้องเ้าสักเื่ว่าหลังจากที่เข้าไปในสนามเซินยวนแล้ว เ้าจะต้องปกป้องทั้งสองคนนี้ให้ดีเ้าทำได้หรือไม่?”
ข้าถึงกับชะงักไปก่อนจะถาม“ท่านคิดว่าข้าจะสามารถปกป้องสองคนนี้ได้อย่างนั้นเหรอขอรับ?”
ซูซีเฉิงหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดขึ้น “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ข้าพอจะรู้มาบ้างว่าเ้าเป็ถึงน้องชายของปู้เสวียนยิน ฉะนั้นแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งแต่คงจะไม่อ่อนแอแน่นอนเพราะในสนามเซินยวนมีอันตรายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อดังนั้นเมื่อมีคนคอยดูแลเพิ่มมาอีกสักคนข้าจะได้สบายใจมากขึ้นยังไงล่ะ”
ซูเหยียนที่อยู่ในชุดรัดรูปสวยงามอีกทั้ง่ขาเรียวยาวยิ่งทำให้นางดูดีมีสง่า ขณะยืนหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างๆ
ข้ายิ้มเล็กน้อยก่อนจะรับคำ“ท่านเสนาบดีได้โปรดวางใจ เพราะเดิมทีทั้งข้าเสี่ยวเหยียนและถังเชวียหรานต่างก็เป็เพื่อนกันแถมยังวางแผนกันเอาไว้แล้วว่าจะต้องมารวมตัวกันให้ครบก่อนจะเข้าไปยังชั้นต่อไปของสนามประลองดังนั้นต่อให้ท่านไม่เอ่ยปากข้าก็ต้องดูแลพวกนางอยู่แล้วล่ะขอรับเพราะไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าทำร้ายพวกนางข้าจะต้องทำให้มันตายทั้งเป็!”
“ดี...ดีมาก!”
...
หลังจากผ่านค่ำคืนที่เงียบสงบไปแล้วข้าก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าตรู่ของวันใหม่หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จสรรพผู้เข้าร่วมการประลองทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบคนก็มารวมตัวกันซึ่งแต่ละคนต่างก็พกสายรัดผูกิญญาและขลุ่ยขนาดเล็กที่ท่านาุโให้ไว้ติดตัวจากนั้นก็พากันเดินเข้าไปตรงส่วนลึกในบริเวณของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะมาหยุดลงตรงหน้าของก้อนหินก้อนหนึ่งโดยก้อนหินขนาดใหญ่ถูกแกะสลักเหมือนกับหัวกะโหลกของสัตว์ ซึ่งเต็มไปด้วยพลังิญญาที่แข็งแกร่งตรงปลายยอดของมันยังแหลมพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างน่าเกรงขาม
“และนี่ก็คือปากทางเข้าของสนามเซินยวนที่ใช้เป็สนามประลองในครั้งนี้”ผู้าุโท่านนั้นพูด
ผู้เข้าร่วมการประลองแต่ละคนต่างก็ต้องแปลกใจเพราะคิดว่าสนามประลองเซินยวนเป็ถ้ำขนาดใหญ่แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็เพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น
องครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ตรงนั้นพูดขึ้น“นี่ไม่ใช่ก้อนหินธรรมดาอย่างที่พวกเ้าคิดกันแต่มันคือก้อนหินที่เทพศาสตราได้ช่วยกันสร้างเพื่อให้เป็สนามประลองชื่อว่าหินสรรพสัตว์โดยพวกเ้าก็แค่ใช้แขนข้างที่มีสายรัดผูกิญญาอยู่ และกางมือััก้อนหินนี้เบาๆมันก็จะพาเ้าเข้าไปในสนามประลองชั้นที่หนึ่ง...เอาล่ะข้าขอประกาศว่าการประลองได้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ส่วนที่เหลือก็อยู่ที่ว่าพวกเ้าจะมีความสามารถแค่ไหนแล้วล่ะและที่สำคัญก็คือจะมีเพียงผู้ที่มีขั้นการบำเพ็ญต่ำกว่าขั้นผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์เท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ถ้าเกินกว่านี้ก็หมดสิทธิ์”
หลายๆคนก็ต้องแปลกใจอีกครั้งดูเหมือนว่าการประกาศเริ่มการประลองในครั้งนี้จะดูหยาบเกินไปหน่อย
เมื่อเป็แบบนี้แต่ละคนก็ใช้มือข้างที่ผูกสายรัดผูกิญญาไว้แตะไปที่ก้อนหินอย่างรวดเร็วเมื่อมือของพวกเขาแตะลงไปบนหินาาสรรพสัตว์นั้นแล้วจากนั้นก็มีพลังิญญาสีเขียวเกิดขึ้นมารอบกายก่อนจะหายวับเข้าไปในโลกที่เทพศาสตราวุธสร้างขึ้นอย่างสนามประลองเซินยวนอย่างรวดเร็ว
“พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ” ซูเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม ไปเจอกันที่หินาาสรรพสัตว์ด้านในแล้วกัน”
“ตกลง!”
ข้ายืนมองซูเหยียนและถังเชวียหรานเข้าไปด้านในส่วนตัวเองก็ยื่นมือเข้าไปใกล้หินก้อนนั้นเหมือนกันและขณะที่มือของข้ากำลังจะเข้าไปแตะ ร่างของใครอีกคนก็วางมือลงไปบนหินก้อนนั้นเช่นกันและเขาก็คือหยู่เหวินชิงซึ่งกลิ่นอายพลังของเขาอยู่ในขั้นเทวิญญาเท่านั้นเมื่อเห็นแบบนั้นข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจะต้องใช้ยาสะกดพลังเหมือนกันแน่ๆ
“ไว้เจอกันในสนามแล้วกัน ไอ้สวะ!ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าอยู่ในสนามเซินยวน ปู้เสวียนยินจะเข้าไปปกป้องเ้ายังไง!”
ข้าขมวดคิ้วแล้วจับจ้องไปยังใบหน้าที่บ่งบอกถึงความโหดร้ายของเขาก่อนจะเข้าไปในสนามประลองชั้นที่หนึ่ง!
...
วูบ...
ทั่วทุกอณูรูขุมขนของข้าเหมือนกับถูกบางอย่างดึงลงไปในห้วงเหวลึกทั้งร่างเบาหวิวราวกับไร้น้ำหนักก่อนที่ตัวของข้าจะตกลงไปในเหวลึกที่มืดแปดทิศ
เพลงขาเมฆาหมอก!
ข้าใช้พลังส่วนมากไปกับการทำให้ตัวเองสมดุลก่อนจะตกลงมาบนพื้นด้วยความสูงประมาณสามเมตรจาก้าจนเม็ดหินดินทรายแถวๆ นั้นกระเด็นกระดอนขึ้นตามแรงกระแทกเมื่อมองไปข้างหน้าก็พบว่าที่แห่งนี้เป็ทุ่งกว้างและป่ารกร้างไร้ซึ่งผู้คนด้านหน้ามีเพียงต้นไม้ที่ขึ้นซ้อนกันเป็ต้นๆ จนกลายเป็ป่าใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วงบนกิ่งใหญ่เต็มไปด้วยผลไม้สีแดงสดเมื่อลองดมแล้วมันกลับมีกลิ่นที่ค่อนข้างคุ้นเคย...
ผลไม้พิษ!มันคือผลไม้ที่แม้แต่จอมยุทธ์ในขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพกินลงไปก็ยังทำให้ท้องไส้ขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี!
นี่คงจะเป็สนามเซินยวนชั้นที่หนึ่งที่เรียกว่า‘โลกทุ่งร้าง’ สินะ
ข้ารู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีเมื่อเจอกับการท้าทายแบบนี้เพราะมีเพียงการต่อสู้ในสนามจริงเท่านั้นถึงจะทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วข้ามีพลังขนาดไหน!
ซ่า!ซ่า! ...
หลังจากที่ใช้พลังการััก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีพลังอันร้อนระอุกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้ดินซึ่งมันก็คือสัตว์ิญญานั่นเอง!
ตูม!
พื้นดินะเิออกมาก่อนจะเผยให้เห็นร่างของเม่นโลกันตร์ที่มีหนามขึ้นอยู่ทั่วร่างโผล่ขึ้นจากใต้ดินและพุ่งพลังไฟของมันเข้ามาหาข้าอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เพิ่งจะเจอกันแต่เ้าสัตว์ตัวนี้กลับไม่มีมารยาทเอาเสียเลย!
มันเป็สัตว์ิญญาระดับสามที่มีการโจมตีรวดเร็วจนข้าไม่ทันได้หลบเลี่ยงดังนั้นข้าจึงรวมพลังเข้าไปไว้ในกระบี่คมจันทราที่เพิ่งจะเรียกออกมาก่อนจะฟันเข้าไปอย่างรวดเร็ว
พลังของมันถูกฟันให้แยกออกเหมือนกับร่างที่ถูกฟันเป็สองท่อนของมัน สัตว์กระจอกๆแบบนี้ไม่เหมาะจะเป็คู่ต่อสู้ของข้าเลยสักนิด!
ชวิ้ง!
พลังไสยศาสตร์สีแดงของเม่นโลกันตร์ตัวนั้นลอยเข้ามาอยู่ในสายรัดผูกิญญาที่ข้อมือของข้าอย่างรวดเร็วเมื่อพลังของมันถูกดูดเข้าไปก็มีแสงกะพริบขึ้นครั้งหนึ่ง รวมถึงเส้นสีเขียวที่อยู่บนสายรัดผูกิญญาที่มีความยาวเพียงเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นและก็คงจะเป็อย่างที่พี่เสวียนยินเคยบอกเอาไว้ว่าพลังไสยศาสตร์ของสัตว์ิญญาระดับสามมีน้อยจนสามารถมองข้ามไปได้เลยทีเดียว
ในเมื่อไม่รู้ว่าหินาาสรรพสัตว์ตั้งอยู่ที่ไหนข้าจึงทำได้เพียงแค่ตามหาซึ่งระหว่างทางก็เจอสัตว์ิญญาระดับสามอีกสามตัวก่อนจะมาเจอหินาาสรรพสัตว์ในป่าใหญ่มันเป็เพียงก้อนหินที่มีความสูงพอๆ กับคนและยังมีใบไม้ปกคลุมไปทั่วจนแทบมองไม่เห็นอีกต่างหาก
“ทำไมเ้าถึงเพิ่งมาฮะ?”
ซูเหยียนที่ยืนพิงต้นไม้ข้างๆพูดขึ้น “ข้ากับเชวียหรานมารออยู่ที่นี่ตั้งนานแล้วนะ”
ถังเชวียหรานที่ถือธนูคลื่นมรกตอยู่ในมือพูดเสริม“เ้าดูรอยมือที่อยู่บนหินาาสรรพสัตว์นั่นสิมีคนผ่านเข้าไปยังชั้นที่สองเยอะแล้วนะ พวกเราก็รีบไปกันเถอะ...”
และก็เป็อย่างที่นางบอกเมื่อข้าเห็นว่าบนก้อนหินนั้นมีรอยมือที่ลึกบ้างและตื้นบ้างอยู่บนนั้นมากมาย
“เจอกันในชั้นที่สองแล้วกัน!”
“อืม!”
และเมื่อข้าวางมือไว้บนหินาาสรรพสัตว์ก็รับรู้ได้ถึงความเย็นที่แล่นเข้ามาปะทะร่างก่อนจะเข้ามาอยู่ในชั้นที่สองของสนามประลองเซินยวนที่มีชื่อว่าแผ่นดินหิมะท้องฟ้าน้ำแข็ง
สวบ!สวบ!
เท้าทั้งสองข้างจมลงไปในกองหิมะที่หนากว่าครึ่งเมตรซึ่งในชั้นนี้มีเกล็ดหิมะขนาดใหญ่เท่าขนเป็ดลอยปลิวอยู่บนท้องฟ้าจนวิสัยทัศน์การมองเห็นก็แย่เอามากๆอีกต่างหาก เมื่อเป็แบบนั้นก็จะทำให้การตามหาหินาาสรรพสัตว์ยากขึ้นไปอีกแต่ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าในชั้นนี้มีทั้งหินิญญาและหญ้าิญญาอยู่มากมายดังนั้นไม่จำเป็ต้องรีบผ่านเข้าไปในชั้นต่อๆ ไปก็ได้
ข้าะโขึ้นสูงก่อนจะใช้พลังของเพลงขาเมฆาหมอกเดินเหินบนอากาศแต่นึกไม่ถึงว่าร่างของข้าจะเบาจนสามารถเดินบนเกล็ดหิมะที่ลอยอยู่กลางอากาศได้ถึงอย่างไรก็คงจะเป็เพราะข้าฝึกฝนพลังของเพลงขาเมฆาเมฆาหมอกจนเข้าขั้นเซียนแล้วดังนั้นวิชาตัวเบาจึงเป็เื่ง่ายๆ ที่ข้าทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว
และในตอนนี้เองข้าก็ได้ยินเสียงร้องของใครสักคนดังขึ้นท่ามกลางหิมะหนาดูเหมือนว่าจะอยู่ไม่ไกลจากข้าเท่าไรด้วย
ข้าเหยียบเกล็ดหิมะเหาะขึ้นไปข้างหน้าด้วยพลังของเมฆาหมอกและมาหยุดลงบนเนินเขาเล็กๆที่สูงประมาณเจ็ดแปดเมตรใกล้ๆ ก่อนจะเห็นว่าคนกลุ่มนั้นกำลังถูกหมาป่าขนาดใหญ่กว่าสิบตัวล้อมไว้อยู่หมาป่าพวกนั้นมีเขี้ยวยาวและแหลมคมอันน่าขยาด รวมทั้งขนสีขาวปกคลุมไปทั่วร่างซึ่งมันก็คือ ‘หมาป่าทุ่งน้ำแข็ง’ ซึ่งเป็สัตว์ิญญาระดับห้านั่นเองและที่สำคัญคือพวกมันมีถึงสิบสองตัวและกำลังทำให้ผู้ฝึกฝนิญญาพวกนั้นต่างรู้สึกกดดันอย่างมาก
และเมื่อพยายามมองให้ชัดก็พบว่าพวกนั้นมีใบหน้าคุ้นๆโดยสองคนในกลุ่มนั้นเหมือนจะเป็ศิษย์ของสำนักวรยุทธ์นักปราชญ์ชื่อว่าหลี่ชูหนานและจ้าวชูเยว่ซึ่งอยู่ในขั้นเทวิญญาทั้งสองคน และยังเป็สองในสิบของจำนวนผู้เข้าร่วมการประลองที่ฝีมือดีอีกต่างหาก
นอกจากนั้นอีกหกคนก็เหมือนจะเป็ศิษย์ของสำนักอื่นที่ต่างก็มีพลังต่ำกว่าระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญากันทั้งนั้นซึ่งพลังของพวกเขาน้อยกว่าหลี่ซูหนานและจ้าวชูเยว่อยู่มาก
“เป็แค่สัตว์เดรัจฉานไม่กี่ตัวแต่กลับมาขวางทางพวกข้าอย่างนั้นเหรอ?!”
หลี่ชูหนานขมวดคิ้วเข้มก่อนจะปล่อยพลังลมของกระบี่เข้าใส่หมาป่าทุ่งน้ำแข็งจนล่าถอยไปถึงสองตัวถึงแม้พลังของจ้าวชูเยว่จะอ่อนแรงกว่าหลี่ซูหนานแต่กลับมากด้วยความละเอียดอ่อนและรวดเร็วซึ่งพลังที่เป็ดั่งหยดน้ำพิษนั้นจะคอยคุ้มกันจนหมาป่าพวกนั้นไม่สามารถเข้าใกล้ร่างกายของเขาได้
“รีบยืนเป็วงกลมเร็วพวกเรา!”
ศิษย์จากแต่ละสำนักต่างก็กวัดแกว่งกระบี่ในมือพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือดก่อนจะพูดขึ้น“ใช้การป้องกันเป็หลักแล้วพึ่งพาพลังของศิษย์พี่หลี่ซูหนานและศิษย์พี่จ้าวชูเยว่เพื่อสกัดและทำลายพวกมันเป็หลักพวกเราจะต้องไม่เป็อะไร!”
คนพวกนั้นพากันยืนเรียงเป็วงกลมเพื่อสร้างเกราะกำบังให้กันและกันทว่าพลังการโจมตีของหมาป่าทุ่งน้ำแข็งก็แข็งแกร่งจนการป้องกันของผู้ฝึกฝนในขั้นเทวิญญายากจะรับมือได้เมื่อหมาป่าทุ่งน้ำแข็งโจมตีซ้ำหลายๆ ครั้ง คนพวกนั้นก็เริ่มจะรับไม่ไหว
ง่ำ!
ผู้เข้าร่วมการประลองคนหนึ่งถูกเ้าหมาป่าทุ่งน้ำแข็งกัดเข้าที่ขาก่อนจะสะบัดหัวแรงๆเพื่อฉีกาแของผู้โชคร้ายคนนั้น
ฉึบ!
หลี่ซูหนานใช้พลังกระบี่ฟันไปที่หัวของหมาป่าตัวนั้นจนถอยกลับออกไปจากนั้นเขาก็ะโกลับไปที่เดิมแล้วพูดขึ้นเสียงเข้ม “เ้าหมาป่าพวกนี้มันร้ายกาจมากทุกคนระวังตัวด้วย!”
เมื่อเป็แบบนั้นหมาป่าทั้งสี่ตัวก็เริ่มโกรธจนขนสีขาวของมันพองตั้งและยืนล้อมพวกนั้นไว้ทั้งสี่ด้านพร้อมกับโจมตีเรื่อยๆ
แม้ว่าพลังกระบี่ของหลี่ซูหนานจะแข็งแกร่งและรวดเร็วเพียงใดแต่ถ้าต้องสู้ติดต่อกันแบบนี้ก็จะทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าได้เช่นกันและตอนนี้เขาก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วด้วย
ข้ายืนอยู่บนเนินหิมะพร้อมกับครุ่นคิดว่าข้าควรเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเื่นี้ดีหรือไม่?
ถ้าเข้าไปยุ่งก็จะถือว่าเข้าไปยุ่งเื่ของคนอื่นแต่ถ้าไม่ยุ่งและปล่อยให้พวกนั้นต่อสู้กับหมาป่าทุ่งน้ำแข็งต่อก็คงจะไม่ดีแน่และเมื่อถึงตอนสุดท้ายทั้งหลี่ซูหนานและจ้าวชูเยว่ก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายจนอาจจะถึงชีวิตเพราะถึงอย่างไรหมาป่าทุ่งน้ำแข็งก็เป็ถึงสัตว์ิญญาระดับห้าที่มีพลังอยู่ในระดับต้นๆของสัตว์ชนิดอื่นๆ ในระดับเดียวกัน ซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับเซียนในขั้นเทวิญญาและยังมีถึงสิบสองตัวแบบนี้สองคนนั้นจะต้องรับมือไม่ไหวแน่
แต่พอคิดอีกด้านหนึ่งเ้าหมาป่าทุ่งน้ำแข็งก็เป็สัตว์ิญญาธาตุน้ำแข็งที่ตรงกับพลังธาตุของทั้งกระบี่จันทราและเกราะรบเสี้ยวจันทราของข้าพอดีหากข้านำเืของเ้าหมาป่าทุ่งน้ำแข็งตัวนี้มาหลอมเป็พลังให้ตัวเองจะต้องมีประโยชน์นานัปการแน่นอนดังนั้นถือโอกาสนี้เข้าไปช่วยพวกนั้นก็คงจะเป็ทางเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน!
และเมื่อคิดได้แบบนั้นข้าก็เรียกกระบี่คมจันทราออกมาไว้ในมือก่อนจะะโจนเข้าไปในสนามรบที่กำลังดุเดือดอยู่ขณะนี้!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้