พรรคเทพหมาป่า์
สุดท้ายแล้วหวังเค่อก็ไม่ได้รีบร้อนฝึกปรือ《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》เพราะเคล็ดวิชานี้ประหลาดพิสดารเกินไป เอาไว้รอสอบถามท่านอาจารย์เื่แนวทางพื้นฐานในการฝึกฌานก่อนค่อยว่ากัน
หลังจากเฉินเทียนหยวนสะสางเื่ราวภายในพรรคเสร็จ มันก็มาหาหวังเค่อที่ยอดเขาหยั่งรู้กระบี่
“ท่านอาจารย์ ศิษย์จัดแจงให้คนรับใช้ที่พามาด้วยรับหน้าที่ช่วยปัดกวาดยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ชั่วคราว องค์หญิงโยวเยว่เองก็ต้องมีคนรับใช้ไว้คอยปรนนิบัติ ข้าขอให้พวกมันได้อาศัยอยู่ที่นี่สักสองสามวันแล้วค่อยส่งพวกมันลงเขาไป!” หวังเค่อเอ่ยอย่างนอบน้อม
“องค์หญิงโยวเยว่อยู่ที่ใด?” เฉินเทียนหยวนถามอย่างใคร่รู้
“องค์หญิงโยวเยว่ได้รับแผลเป็บนดวงหน้า สองวันมานี้นางยังทำใจอยู่เลย!” หวังเค่อยิ้มขื่น
แผลเป็นี้ใช่ว่าหวังเค่อจะไม่เคยเห็น ด้วยเหตุผลบางประการ สองวันมานี้องค์หญิงโยวเยว่กลับไม่อยากให้หวังเค่อมองแผลเป็ของนาง สุดท้ายถึงขนาดไม่ยอมโผล่หน้ามา
“องค์หญิงมีศักดิ์ฐานะสูงส่ง ในอดีตนางได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพเทิดทูน ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็ให้คนรับใช้ของเ้าพำนักอยู่ในยอดเขาหยั่งรู้กระบี่นี้คอยรับใช้นางก็แล้วกัน!” เฉินเทียนหยวนพยักหน้า
“ขอรับ!” หวังเค่อตาเป็ประกาย
ไอิญญาภายในพรรคเทพหมาป่า์เข้มข้นนัก ท่านยินยอมให้คนรับใช้ข้าอาศัยอยู่ด้วย แบบนี้ต่างจากรับเข้าเป็ศิษย์ตรงไหน? ก็แค่ไม่ได้รับฐานะอย่างเป็ทางการเท่านั้น!
“แล้วจางเจิ้งเต้าไปไหนแล้ว?” เฉินเทียนหยวนถาม
“หลังจากปลดผนึกกำไลเก็บของไปเมื่อวาน จู่ๆ มันก็ดันเคืองแล้วเก็บตัวไปเสียอย่างนั้นขอรับ!” หวังเค่ออธิบาย
เฉินเทียนหยวนทำหน้าสงสัย เคืองเื่อะไร? แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้สนใจอีก
“เอาเถอะ ่นี้ข้ายังมีเื่ต้องทำในฐานะอาจารย์อีกมาก วันนี้ข้าจะให้เ้าได้เลือกวิชาฝีมือ!” เฉินเทียนหยวนเอ่ย
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หวังเค่อตาลุกวาว
ทันทีที่เฉินเทียนหยวนอุ้มหวังเค่อขึ้น มันก็เหินฟ้าลงสู่หุบเขาด้วยกระบี่บิน
“ที่หอคัมภีร์ยุทธ์ของพรรคเทพหมาป่า์เรามีผู้าุโทั้งสิบสองพำนักอยู่! พวกเขาล้วนเป็ศิษย์ขั้นดวงธาตุทองคำของสำนัก แม้ไม่มีหวังทะลวงด่านเข้าสู่ทารกแกนิญญาแต่ก็ภักดีกับพรรคอย่างที่สุด ดังนั้น ข้าจึงได้มอบสถานะผู้าุโและหน้าที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ศิษย์พรรคทุกคนแก่พวกเขา!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
“ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์แต่ละคนไม่ได้ฝึกฝนกับอาจารย์ประจำตัว? แต่รับความรู้จากเหล่าผู้าุโแทน?” หวังเค่อถามอย่างใ
นี่ไม่ใช่เหมือนโรงเรียนหรอกหรือ? สิบสองผู้าุโก็คือครูประจำโรงเรียน?
“พรรคเทพหมาป่า์แตกต่างจากพรรคอื่น เมื่อเข้าร่วมพรรคแล้ว ศิษย์พรรคจะถูกแบ่งไปตามสี่ตำหนัก คอยรับคำสั่งจากสี่เ้าตำหนัก! ตำหนักหมาป่าบูรพา ตำหนักหมาป่าทักษิณ ตำหนักหมาป่าประจิม และตำหนักหมาป่าอุดร! สี่เ้าตำหนักต่างคอยดูแลตำหนักคนละแห่ง! ส่วนอาจารย์เคยเป็เ้าตำหนักหมาป่าอุดรก่อนจะได้ขึ้นเป็ประมุขพรรค เ้าตำหนักหมาป่าอุดรเวลานี้คือศิษย์อีกคนของข้า หรือก็คือศิษย์พี่ของเ้า แต่ตอนนี้เขาออกเดินทางพร้อมศิษย์ตำหนักหมาป่าอุดรทั้งหมดไปทำภารกิจลับสุดยอด ข้าเลยบอกอะไรเ้าเพิ่มไม่ได้!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
“ใต้ท่านประมุขก็คือสี่เ้าตำหนัก แต่ละคนคอยดูแลศิษย์พรรคหนึ่งในสี่? ก่อนหน้านี้มู่หรงลวี่กวงเตรียมงานแต่งงานใหญ่โตที่ตำหนักหมาป่าบูรพา เช่นนั้นมู่หรงลวี่กวงก็คือคนของตำหนักหมาป่าบูรพา?” หวังเค่อเปลี่ยนสีหน้า
“ใช่แล้ว! พรรคเทพหมาป่า์เรา ผู้แข็งแกร่งเป็ศิษย์พี่ ผู้อ่อนแอเป็ศิษย์น้อง! ศิษย์ทั่วไปขั้นเซียนเทียนรับการสั่งสอนจากเหล่าผู้าุโ ส่วนศิษย์ขั้นดวงธาตุทองคำจะสลับกันรับการสอนโดยตรงจากสี่เ้าตำหนักรวมถึงตัวอาจารย์เอง อาจารย์หวังว่าศิษย์ดวงธาตุทองคำจะบรรลุเป็ทารกแกนิญญาได้! ขณะเดียวกัน ศิษย์พรรคเองต่างก็หมายมั่นกำราบมารเพื่อรับกุศลและรางวัลจากพรรค!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
“มิน่าเล่าท่านอาจารย์ถึงมีศิษย์สายตรงแค่สองคน! ที่แท้เ้าตำหนักทั้งสี่เองก็รับศิษย์สายตรงน้อยคนนัก! อย่างมากก็เพียงช่วยชี้แนะแนวทางใช่หรือไม่?” หวังเค่อกล่าวด้วยสีหน้าพิกล
“ใช่แล้ว เ้าฝึกฝนเสียก่อน แล้วข้าค่อยช่วยชี้แนะทีหลัง หลังบรรลุถึงขั้นทารกแกนิญญา แม้อายุขัยจะยืนยาวขึ้น แต่ก็ใช่ว่าควรเอาเวลามาเสียเปล่า ไหนเลยจะรับศิษย์มากมายมั่วซั่วได้? อาจารย์รับศิษย์สายตรงแค่สองคนก็พอแล้ว!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
หวังเค่อทำหน้าพิกลอยู่พักใหญ่
“เป็อย่างไร แตกต่างจากพรรคเซียนที่เ้าเคยได้ยินมาใช่หรือไม่?” เฉินเทียนหยวนยิ้มแย้ม
“ใช่ขอรับ ศิษย์รู้สึกว่าแนวทางของพรรคเทพหมาป่า์ไม่เหมือนสำนักเซียน แต่ออกจะเหมือน…” หวังเค่อขมวดคิ้ว
“เหมือนอะไร?” เฉินเทียนหยวนมองหน้าหวังเค่อ
“เหมือนเขตทหาร ไม่สิ เหมือนค่ายทหาร! ท่านอาจารย์เป็แม่ทัพบัญชาการ ท่านสี่เ้าตำหนักเป็ขุนพลนำทัพ โดยมีศิษย์พรรคที่เหลือเป็พลทหาร!” หวังเค่อกล่าวด้วยสีหน้าพิกล
เฉินเทียนหยวนเหลือบมองหวังเค่อด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง แววตาของมันทอแววชื่นชม แต่คนไม่ได้เอ่ยปากอธิบายเพิ่มอีก
คนทั้งสองพลันร่อนลงด้านหน้าประตูทางเข้าหอ
ก่อนผู้าุโทั้งสองจะเข้ามาต้อนรับ
“น้อมรับท่านประมุข!” สองผู้าุโหอคัมภีร์ยุทธ์คารวะอย่างนอบน้อม
“ท่านผู้าุโทั้งสอง นี่คือหวังเค่อ เป็หนึ่งในศิษย์สายตรงของข้าเอง ประเดี๋ยวภายภาคหน้าข้าไม่อยู่ หากมันมาขอคำชี้แนะต้องขอฝากพวกท่านช่วยส่งเสริมด้วย!” เฉินเทียนหยวนยิ้มแย้ม
“ท่านประมุขเกรงใจเกินไปแล้ว!”
“ข้าจะทุ่มเทสุดความสามารถ!”
ผู้าุโทั้งสองสุภาพต่อหวังเค่อเป็อย่างยิ่ง หวังเค่อเองก็เคารพนอบน้อมต่อพวกมัน
บางทีอาจเป็เพราะเพิ่งผ่านพ้นศึกสังหารมารมา ทำให้บริเวณนี้มีศิษย์พรรคเทพหมาป่า์อยู่ไม่มาก
สองผู้าุโเดินนำทั้งคู่เข้าไปในหอคัมภีร์ยุทธ์ ตัวหอมีสองชั้น ชั้นแรกอัดแน่นไปด้วยตำราความรู้มากมาย
“ชั้นแรกมีตำราวิชาทุกรูปแบบ ทั้งวิชากระบี่ วิชาปรุงยา และวิชาหลอมศาสตรา! นี่ก็คือคัมภีร์! ชั้นสองคือยุทธ์ ตามข้ามา!”
เฉินเทียนหยวนพาหวังเค่อขึ้นไปยังชั้นสองของหอคัมภีร์ยุทธ์ ชั้นสองของหอแบ่งออกเป็สี่ส่วน แต่ละส่วนมีตำราเรียงอยู่ราวหนึ่งร้อยเล่ม
ขณะมองดูเคล็ดวิชาฝึกตนเกือบสี่ร้อยเล่มตรงหน้า หวังเค่อก็อุทานออกมา “พรรคเทพหมาป่า์สมเป็พรรคเซียนชั้นแนวหน้าของสิบหมื่นมหาบรรพตโดยแท้ ถึงกับมีเคล็ดลมปราณฝึกตนประจำสำนักเป็ร้อย?”
สองผู้าุโต่างยิ้มแย้มโดยไม่กล่าวอันใด คล้ายเคยเห็นท่าทีแบบนี้มามาก
“เ้าเข้าใจผิดแล้ว ชั้นสองของหอนี้มีเคล็ดฝึกฌานเพียงสี่วิชาเท่านั้น《เคล็ดเทพปฐี》 《เคล็ดเทพอัคคี》 《เคล็ดเทพน้ำแข็ง》 และ 《เคล็ดเทพวายุ》!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
“มีเพียงสี่วิชา? แล้วไฉนถึงได้มีตำราเป็ร้อย…?” หวังเค่อเอ่ยอย่างแปลกใจ
“เคล็ดเทพวิชาแต่ละชนิดมีอักษรนับสิบล้าน ย่อมไม่อาจบันทึกใส่ไว้ในตำราเล่มเดียวได้ จึงจำต้องแบ่งออกเป็หนึ่งร้อยเล่ม!” เฉินเทียนหยวนตอบ
“ตำราร้อยเล่มคือวิชาเดียว? มากมายปานนี้? นี่ ข้าคงต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยใช่หรือไม่?”
นี่สำนักฝึกตนหรือชมรมคนรักหนังสือกันแน่?
“ตัวอาจารย์เลือกฝึก《เคล็ดเทพสายลม》จำต้องอ่านตำราอยู่ร่วมปีก่อนจะเริ่มฝึกฝน!” เฉินเทียนหยวนกล่าว
หวังเค่อ “...!”
“เ้าเคยฝึกวิชาลมปราณชั้นต่ำของโลกปุถุชนมาก่อน วิชาชั้นต่ำย่อมอ่อนด้อยและไม่ต้องกล่าวบรรยายโดยละเอียด ยิ่งเป็วิชาฝีมือระดับสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีจุดที่ต้องใส่ใจมากขึ้นเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ความผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็กลายเป็ล้มเหลวได้!” เฉินเทียนหยวนว่า
“สินค้าระดับสูงซับซ้อนเหมือนกันหมดใช่หรือไม่?” หวังเค่อถามคำถามประหลาดออกมา
“เ้าหมายถึงอะไรกัน?” เฉินเทียนหยวนยิ้มแย้ม
หวังเค่อขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจ
จริงด้วย! ถ้าหากเปรียบเทียบวิชาเซียนเป็เทคโนโลยี ยิ่งเป็วิทยาการล้ำยุคเท่าไหร่ คู่มือการใช้งานก็ยิ่งต้องละเอียดไปด้วย จะคิดว่าคู่มือการใช้ ‘เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์’ เหมือนกับคู่มือการใช้ ‘ไฟฉาย’ ก็คงไม่ถูกกระมัง? ยิ่งเป็วิชาระดับสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งจำเป็ต้องพึ่งพาความรู้มากมายเป็เงาตามตัวไม่ใช่หรือ?
ในเคล็ดวิชาจะมีตัวอักษรมากมายเกินอ่านไหวก็อย่าได้หวั่น อย่าไปคิดว่าเ้าไม่มีความอดทนพอจะเรียนรู้! ยิ่งมีอักษรเยอะเท่าไหร่ วิชายิ่งทรงพลัง!
“ขอรับ ศิษย์ลืมตัวไปหน่อย!” หวังเค่อยิ้มขื่น
“ไม่เป็ไร อาจารย์เองก็ทำพลาดตอนเริ่มฝึกตนเหมือนกัน อาจารย์ใช้เวลาเรียนรู้《เคล็ดเทพวายุ》อยู่เป็ปีกว่าจะเริ่มฝึก แต่เ้าไม่จำเป็ต้องทำเช่นนั้น เ้าสามารถศึกษาและฝึกฝนไปพร้อมกันได้! เพราะวิชาที่บันทึกอยู่ในตำรานั้นละเอียดถี่ถ้วนนัก ขอเพียงมีตำราอยู่ ยังไงก็ไม่มีปัญหา!” เฉินเทียนหยวนหัวเราะ
“ประเสริฐยิ่งขอรับ!” หวังเค่อส่งเสียง
นั่งจ่อมศึกษาตำราอยู่เป็ปีกว่าจะเริ่มลงมือฝึก? ไม่ใช่บ้าบอไปใหญ่แล้ว? มันก็ต้องเรียนรู้ควบคู่ฝึกฝนไปอยู่แล้วสิ!
ยิ่งมีอักษรบันทึกไว้มากก็ยิ่งเป็วิชาระดับสูง? ถ้าเช่นนั้นข้าจะยังฝึกวิชาทั้งสี่เหล่านี้ไปทำไมอีก? ในเมื่อข้ามี “เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ” อยู่แล้ว จำนวนอักษรของวิชานี้เยอะกว่าตำราเหล่านี้ร่วมยี่สิบเท่า แสดงว่าวิชานี้เหนือล้ำยิ่งกว่าอีกไม่ใช่หรือ?
“สี่เคล็ดมหาเทพเหล่านี้ล้วนเป็ยอดวิชาขั้นสูงสุดในสิบหมื่นมหาบรรพต แต่เ้าเลือกฝึกได้เพียงวิชาเดียวเท่านั้น นี่ไม่ใช่เพราะกลัวเ้าโลภมากเกินตัว แต่เป็เพราะแต่ละธาตุจะขัดแย้งกันเอง!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
“เลือกฝึกได้เพียงวิชาเดียวรึขอรับ?” หวังเค่อถามอย่างใคร่รู้
“ใช่แล้ว ฝึกตน ฝึกตน! ตนเคี่ยวกรำพลังเทพภายใน ฝึกฝนวิชาฝีมือภายนอก! พลังเทพฝึกฝนเปลี่ยนแปลงแก่นธาตุของตัวเ้า ส่วนวิชาลมปราณทั้งหลายทำให้เ้าใช้งานแก่นธาตุออกมา อย่างเช่นตัวข้าเองก็ฝึกปรือวิชาเพียงสายเดียว แต่ที่จริงข้าก็สามารถเลือกฝึกวิชากระบี่และคาถาได้หลายสาย อย่างเคล็ดเทพอัคคีจะเปลี่ยนแก่นธาตุของเ้าให้เป็อัคคี ปราณกระบี่ของเ้าจะเป็ปราณเพลิง เคล็ดเทพน้ำแข็งจะทำให้ปราณกระบี่เ้าเย็นเยือก! ตัวข้าฝึก《เคล็ดเทพวายุ》ช่วยส่งเสริมพลังธาตุลม!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
“ขอรับ ศิษย์เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ชี้แนะ!” หวังเค่อตอบอย่างนอบน้อม
“เ้าสามารถคัดลอกเคล็ดวิชาที่ชั้นนี้ได้แล้วค่อยลงไปเลือกวิชากระบี่และคาถาที่ถูกใจ หากมีตรงไหนติดขัดก็สอบถามผู้าุโทั้งสองได้ หากยังไม่เข้าใจอีกก็มาหาอาจารย์! หนึ่งเดือนหลังจากนี้ อาจารย์จะสอนวิชากระบี่ให้เ้า!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
“ขอรับ ท่านอาจารย์!” หวังเค่อคารวะอย่างนอบน้อม
“ผู้าุโทั้งสอง ต้องรบกวนท่านแล้ว!” เฉินเทียนหยวนมองไปทางสองผู้าุโ
“เป็หน้าที่พวกเราอยู่แล้ว!” ทั้งสองต่างตอบอย่างสุภาพ
เฉินเทียนหยวนหลังอธิบายให้หวังเค่อฟังเสร็จก็จากไป
ภายใต้การชี้แนะของสองผู้าุโแนะแนว หวังเค่อก็คัดลอก《เคล็ดเทพอัคคี》สองฉบับแรกมา
“ศิษย์น้องหวัง เ้านี่มีวาสนายิ่งนัก หากเ้าเป็ศิษย์พรรคทั่วไปที่ไม่มีกุศลมากพอก็ไม่อาจอ่านตำราทั้งเล่มจบได้ อย่างมากก็ทำได้แค่อ่านสองสามเล่มแรกเท่านั้น ยิ่งปราบมารบำเพ็ญกุศลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถอ่านเคล็ดวิชาบำเพ็ญตนได้มากขึ้นเท่านั้น!” ผู้าุโที่ส่งตำราวิชามาให้กล่าว
“เ้าพูดอะไร? ศิษย์น้องหวังช่วยเหลือพรรคเทพหมาป่า์เอาไว้ นี่ไม่ใช่คุณความชอบใหญ่หลวงหรอกหรือ? ท่านประมุขมีหรือจะจัดฉากเพื่อช่วยเหลือมัน? เ้านี่เลอะเลือนใหญ่แล้ว!”
“ถูกแล้ว ถูกแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านประมุขเที่ยงธรรมเถรตรงเสมอมา ย่อมเป็เพราะกุศลที่ศิษย์น้องสั่งสมมาจึงคัดลอกวิชาได้!”
.........
.........
......
......
...
...
สองผู้าุโพูดพล่ามไม่หยุด ทำเอาหวังเค่อไม่กล้าเอ่ยปากอยู่พักใหญ่
ถึงหวังเค่อจะยังไม่พร้อมเริ่มฝึกปรือเคล็ดวิชาที่นี่ แต่ตัวมันก็ไม่อยากให้ผู้คนทราบว่าตนเองเลือกฝึก《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》เหมือนกัน!
หลังจากเสียเวลาหนึ่งวันคัดลอกตำราในหอคัมภีร์ยุทธ์เพื่อเป็ฉากบังหน้าแล้ว หวังเค่อก็ล่าถอยกลับไปยังยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ของตน พอบอกกล่าวเื่ราวให้ลูกน้องฟังแล้ว หวังเค่อก็เก็บตัวฝึกวิชา
《เคล็ดเทพอัคคี》อันใด? เพลิงเทพอัคคีเป็เพลิงแบบไหน? จะเทียบชั้นมหาสุริยันมิดับสูญได้หรือ? มหาสุริยันมิดับสูญนั่นก็คือดวงอาทิตย์! ในห้วงจักรวาลนี้ ยังมีเพลิงไหนร้อนแรงยิ่งกว่าดวงตะวันอีก? ข้าต้องฝึกเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษนี่แหละ!
พอตั้งสมาธิที่จุดตันเถียน มันก็มองเห็น《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》อีกครั้ง!
มีตัวอักษรมากเกินไปรึ? ไม่เป็ไร ข้าอ่านไปฝึกไปก็ได้ วิชาฝีมือทุกแขนงล้วนเริ่มจากง่ายไปยาก ข้าเริ่มต้นใหม่จากขั้นเซียนเทียน จะต้องรีบร้อนไปทำไม?
หวังเค่อเริ่มอ่านั้แ่แรก
“หาก้าฝึกวิชานี้…!”
หวังเค่อชะงักไป ทำไมเริ่มมาก็ดูลางไม่ค่อยดีแล้ว?
โชคยังดีที่ประโยคต่อมายังพอยอมรับได้บ้าง
“หาก้าฝึกวิชานี้ จำต้องสั่งสมกุศลบ่มเพาะกรรมดี! หากเล่นกับไฟมีแต่จะเผาผลาญตนเอง!” หวังเค่ออ่านด้วยสีหน้าเหม่อลอย
คำนำนี่มันอะไร? คำเตือนเรอะ? หรือจะไม่ใช่? แล้วทำไมถึงฟังดูทะแม่งๆ?
ช่างปะไร หลังพ้นประโยคนี้ไป สิ่งที่ตามมาก็คือแนวทางเคล็ดวิชาที่มันยังพอทำความเข้าใจได้!
