"เ้าดื่มเพียงเล็กน้อยพอเป็พิธีก็พอแล้ว"
จางเจิ้นอันกล่าวพลางช่วยรินเหล้าให้นางจนเต็มถ้วย น้ำเหล้าข้าวสีเหลืองอำพันในถ้วยกระเพื่อมไหวเบาๆ อันซิ่วเอ๋อร์ลองจิบไปหนึ่งคำ กลิ่นของกำมะถันในเหล้าสงหวงค่อนข้างฉุนอยู่บ้าง แต่รสชาติของเหล้าข้าวกลับหวานชื่นใจยิ่งนัก นางอดใจไม่ไหว รินเพิ่มให้ตนเองอีกถ้วย
"พอแล้ว ดื่มสองถ้วยก็นับว่ามากพอแล้ว" จางเจิ้นอันห้ามไม่ให้นางรินเพิ่มอีก แม้เหล้าข้าวนี้จะรสหวาน แต่ก็ทำให้มึนเมาได้ อันซิ่วเอ๋อร์ดื่มไปเพียงสองถ้วย แก้มก็เริ่มขึ้นสีระเรื่อ ดวงตาฉ่ำหวานด้วยฤทธิ์สุราเล็กน้อย
เรือัที่อยู่ทางนั้นแข่งกันครบรอบแล้ว กำลังเริ่มกลับลำ อันซิ่วเอ๋อร์จึงบอกให้จางเจิ้นอันพายเรือหลบไปด้านข้างเพื่อให้พวกเขาผ่านไปก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ พายเรือตามหลังพวกเขาไปอย่างไม่เร่งรีบ
"อ๊ะ!"
อันซิ่วเอ๋อร์อุทานออกมาเบาๆ จางเจิ้นอันมองนางอย่างสงสัย นางจึงชี้ไปยังเรือสองลำข้างหน้า กล่าวว่า "แย่แล้ว ท่านพี่รองของข้า พวกเขากำลังจะแพ้แล้ว"
"เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ" จางเจิ้นอันกล้ำกลืนคำว่า "แพ้ก็คือแพ้" ลงคอไปเงียบๆ
"ปีหน้าข้าจะไปบอกท่านผู้ใหญ่บ้าน ให้ท่านลงแข่งเรือัด้วย ถึงเวลานั้นมีท่านอยู่ หมู่บ้านของเราต้องได้ที่หนึ่งแน่นอนเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์มีความมั่นใจในตัวจางเจิ้นอันอย่างเต็มเปี่ยม
จางเจิ้นอันเพียงแต่ยิ้มบางๆ เขาทราบดีถึงธรรมเนียมของหมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้ สำหรับชาวบ้านเหล่านี้แล้ว เขาเป็เพียงคนนอกเท่านั้น
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาดูท่าทางไม่ค่อยกระตือรือร้นเื่นี้ นางก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ทั้งสองเห็นว่าการแข่งเรือัใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ก็หมดความสนใจที่จะชมต่อ เพียงลอยเรือเล่นเอื่อยๆ อยู่บนผืนน้ำอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพายเรือเข้าเทียบฝั่ง แล้วพากันขึ้นจากเรือมา
เพิ่งจะขึ้นจากเรือได้ไม่นาน ก็เห็นอันหรงเหอวิ่งตรงมาหาทั้งสองอีกครั้ง พอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ก็รีบกล่าวว่า "ท่านอาหญิง ข้าเอาสร้อยข้อมือเ่าั้แจกจ่ายไปหมดแล้วขอรับ เอ่อ จริงสิ ท่านย่าบอกให้พวกท่านไปทานข้าวที่บ้านขอรับ"
"ได้สิ" เื่นี้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว นางจูงมืออันหรงเหอ เดินมุ่งหน้าไปยังบ้านสกุลอัน
เมื่อถึงบ้านสกุลอัน อาหารการกินก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทันทีที่เห็นอันซิ่วเอ๋อร์และจางเจิ้นอัน เหลียงซื่อก็รีบต้อนรับพวกเขาเข้ามาอย่างอบอุ่น พลางมองอันซิ่วเอ๋อร์กล่าวว่า "ซิ่วเอ๋อร์ ระยะนี้เ้าไม่ค่อยได้กลับมาบ้านเลยนะลูก"
"ที่ไหนกันเ้าคะแม่ ข้านับว่ากลับมาบ้านเดิมบ่อยแล้วนะเ้าคะ คนอื่นเห็นเข้า พากันจะนินทาเอาได้" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวอย่างงอนๆ พลางคล้องแขนเหลียงซื่อเดินเข้าไปในบ้าน
ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเดิมยังคงจัดวางเหมือนเช่นเคย บนโต๊ะแปดเซียนกลางห้อง จัดวางถ้วยชามและตะเกียบไว้เรียบร้อยแล้ว พ่อเฒ่าอันกล่าวทักทายบุตรสาวและบุตรเขยให้นั่งลงก่อน รอจนทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ต่งซื่อก็ยกอาหารจานแรกออกมาจากครัว
เป็ซุปปลาใส่ไข่แดง พ่อเฒ่าอันยื่นมืออันสั่นเทาออกมา ตักซุปให้แก่อันซิ่วเอ๋อร์ด้วยตนเองชามหนึ่ง กล่าวว่า "ปลานี่พี่รองของเ้าไปจับมาเมื่อวาน สดมากนะ ลองชิมดูสิลูก"
"ขอบคุณเ้าค่ะท่านพ่อ"
อันซิ่วเอ๋อร์รับชามมาวางไว้บนโต๊ะ เห็นพ่อเฒ่าอันกำลังจะตักให้จางเจิ้นอันต่อ นางจึงรีบยื่นมือไปหยิบทัพพีในมือเขามา กล่าวว่า "ท่านพ่อเ้าคะ เื่พวกนี้ให้ลูกทำเองดีกว่าเ้าค่ะ"
พ่อเฒ่าอันกำทัพพีไว้แน่น ท่านอายุมากแล้ว การจะแสดงความรักต่อลูกหลาน ก็ทำได้เพียงแค่ช่วยตักข้าวตักแกงให้พวกเขาเท่านั้น แต่น่าเสียดาย ร่างกายของท่านไม่ค่อยแข็งแรงนัก จู่ๆ ก็รู้สึกระคายคอ อยากจะไอขึ้นมา จึงจำต้องวางทัพพีลง ก้มหน้าลงไอออกมาสองสามครั้ง
เหลียงซื่อรีบลูบหลังให้ท่านอยู่ข้างๆ อันซิ่วเอ๋อร์ถือทัพพีไว้ในมือ ถามด้วยความเป็ห่วงว่า "เป็อะไรไปหรือเ้าคะ ท่านพ่อ?"
"ไม่เป็ไรๆ" พ่อเฒ่าอันโบกมือ กล่าวว่า "โรคเก่าๆ ของพ่อน่ะ พวกเ้าไม่ต้องกังวล" ไอออกมาสองสามที ท่านก็รู้สึกว่าปอดโล่งขึ้นมาก จึงยืดตัวตรงขึ้นอีกครั้ง
อันซิ่วเอ๋อร์รีบตักซุปให้ท่านชามหนึ่ง กล่าวว่า "มาเ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านดื่มซุปเยอะๆ หน่อย ได้ยินว่าปลาชนิดนี้ช่วยคลายร้อนบำรุงปอดได้นะเ้าคะ"
พ่อเฒ่าอันยื่นมือรับไป อันซิ่วเอ๋อร์จึงตักซุปให้คนอื่นๆ จนครบทุกคน เมื่อยื่นซุปชามสุดท้ายส่งให้จางเจิ้นอัน เขาก็ส่งยิ้มบางๆ อบอุ่นให้กับนาง แล้วก้มลงจิบไปหนึ่งคำ ช่างแปลกนัก ซุปปลาไข่แดงธรรมดาๆ ชามนี้กลับมีรสชาติอร่อยเลิศล้ำอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เพียงแต่ไม่มีกลิ่นคาวของปลาเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ยังหอมกรุ่นเข้มข้น กลมกล่อมอย่างยิ่ง
"ซุปชามนี้รสชาติดีมากเ้าค่ะ ท่านพี่ ท่านกินเยอะๆ หน่อยนะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เห็นเขาชอบ ก็ตักเพิ่มให้อีกทัพพีหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปถามพ่อเฒ่าอันว่า "นี่ก็ถึงเทศกาลไหว้บะจ่างแล้ว เหตุใดท่านพี่ใหญ่ยังไม่กลับมาอีกหรือเ้าคะ?"
"เฮ้อ พี่ใหญ่ของเ้าทำงานอยู่ที่ในเมือง งานคงจะยุ่งมาก การเดินทางไปกลับก็เสียเวลา เทศกาลไหว้บะจ่างก็ได้หยุดพักไม่กี่วัน ไม่กลับมาก็ถือเป็เื่ปกติล่ะนะ" พ่อเฒ่าอันตอบคำถามของอันซิ่วเอ๋อร์ พลางกล่าวแก้ต่างให้อันเถี่ยสือไปในตัว
"อืม ท่านพี่ใหญ่อาจจะงานยุ่งจริงๆ ก็ได้เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์รู้ดีว่า พ่อเฒ่าอันเองก็คงอยากให้พี่ใหญ่กลับมาเช่นกัน อย่างไรเสียอันเถี่ยสือก็เป็บุตรชายคนโต ครั้งนี้เขาเดินทางไปทำงานที่ในเมืองเป็เวลานานแล้ว ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งกลับมาเลย บิดามารดาอยู่ที่บ้าน ไหนเลยจะไม่เฝ้าเป็ห่วงได้
"เอาล่ะๆ อย่าพูดเื่นี้เลย" พ่อเฒ่าอันโบกมือ แล้วหันไปมองจางเจิ้นอัน กล่าวว่า "พ่อได้ยินว่าตอนนี้ลูกเขยไปสอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาแล้วรึ?"
"ขอรับ" จางเจิ้นอันพยักหน้า พ่อเฒ่าอันก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที รอยยิ้มนั้นทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้ของท่านยิ่งดูลึกลงไปอีก
"สอนหนังสือที่สำนักศึกษารู้สึกเป็อย่างไรบ้าง เทียบกับการหาปลาแล้ว เ้าว่าอย่างไร?"
"ท่านพ่อเ้าขา ท่านพี่ของข้าตอนนี้ทั้งหาปลาทั้งสอนหนังสือนะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์รีบตอบแทนจางเจิ้นอัน กล่าวว่า "เขาทั้งขยันทั้งฉลาด ทำอะไรก็เก่งไปหมดเ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ดีแล้ว มอบเ้าให้เขาดูแล พ่อก็วางใจแล้ว" พ่อเฒ่าอันพยักหน้า แสดงท่าทีพึงพอใจในตัวจางเจิ้นอันอย่างยิ่ง
เพียงแต่ ยิ่งจางเจิ้นอันดูยอดเยี่ยมมากเท่าไร ในใจของพ่อเฒ่าอันกลับยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น บัดนี้จางเจิ้นอันก็ไม่ได้สวมผ้าปิดตาอีกต่อไปแล้ว ทุกวันเขาจะรวบผมขึ้นมุ่นเป็มวยอย่างประณีตหมดจด ยิ่งขับเน้นให้ดูองอาจภูมิฐานเหนือธรรมดา ท่านอดกังวลเื่ที่มาที่ไปของลูกเขยผู้นี้ไม่ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะลองเอ่ยปากหยั่งเชิงถามดูสักครั้ง
"ไม่ทราบว่าบ้านเกิดเมืองนอนของลูกเขยอยู่ที่ใดรึ? เหตุใดจึงได้เดินทางรอนแรมมาถึงหมู่บ้านชิงสุ่ยของเราแห่งนี้ได้เล่า?"
"บ้านเกิดข้าก็อยู่ในเขติ่เยว่แห่งนี้ขอรับ เดินทางรอนแรมมาถึงหมู่บ้านชิงสุ่ย เห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่งดงามน่าอยู่ จึงตัดสินใจพำนักอยู่ที่นี่ขอรับ" จางเจิ้นอันตอบอย่างจริงจัง
พ่อเฒ่าอันจึงถามต่อไปอีกว่า "แล้วบิดามารดาของเ้าเล่า ท่านทั้งสองยังสบายดีอยู่หรือไม่?"
จางเจิ้นอันนิ่งเงียบไป อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเปลี่ยนเื่ ชูถ้วยเหล้าขึ้น กล่าวว่า "เอาล่ะเ้าค่ะท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งถามเื่เหล่านี้เลย ลองชิมเหล้าที่ข้าซื้อมาฝากท่านก่อนดีกว่า ว่ารสชาติเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ"
พ่อเฒ่าอันเหลือบมองแววตาขุ่นมัวของตนเองครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้ติดใจซักถามในประเด็นนี้อีกต่อไป นิ้วมือที่แห้งเหี่ยวของท่านค่อยๆ ยกถ้วยเหล้าขึ้นมา
"ดื่มๆ"
จางเจิ้นอันกล้ำกลืนคำพูดที่เตรียมไว้ลงคอไป เห็นอันซิ่วเอ๋อร์ช่วยเปลี่ยนเื่ให้ ในใจก็รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง บรรยากาศงานเลี้ยงในครอบครัวอันแสนธรรมดาดำเนินต่อไปอย่างอบอุ่นครึกครื้น คำถามก่อนหน้านี้ของพ่อเฒ่าอันราวกับไม่เคยถูกเอ่ยขึ้นมาเลย
จนกระทั่งงานเลี้ยงเลิกรา ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยถามคำถามทำนองนี้กับเขาอีก ระหว่างทางกลับบ้าน อันซิ่วเอ๋อร์เดินเคียงข้างเขา ก็เพียงแต่พูดคุยเื่สัพเพเหระในบ้านเท่านั้น เื่ราวเกี่ยวกับตัวเขา นางไม่ได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่ครึ่งคำ
เมื่อเดินผ่านใต้ต้นไทรใหญ่ร่มรื่นในหมู่บ้าน จางเจิ้นอันก็พลันหยุดฝีเท้าลง ถามอันซิ่วเอ๋อร์ว่า "เ้าไม่กลัวข้าบ้างรึ?"
"กลัวท่านเื่อะไรหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองเขา ดวงตาใสซื่อ
"ข้ามีที่มาไม่แน่ชัด" จางเจิ้นอันกล่าว "เ้าไม่กลัวรึว่าข้าอาจจะเป็คนชั่วช้าสามานย์? เช่น เป็โจรป่า หรือเป็นักโทษหนีคดีของทางการ"
"ฮิฮิ…" อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะแห้งๆ ออกมาสองครั้ง พอหยุดหัวเราะแล้ว นางก็ถามเขาอย่างจริงจังว่า "แล้วจะอย่างไรหรือเ้าคะ? ท่านพี่เป็โจร หรือเป็นักโทษหนีคดีจริงหรือเ้าคะ?"
"ข้าย่อมไม่ใช่แน่นอน แต่ดูเหมือนเ้าจะไม่สงสัยในตัวข้าเลยแม้แต่น้อย?"
"สงสัยแล้วจะมีประโยชน์อันใดหรือเ้าคะ? อย่างไรเสีย ไม่ว่าท่านจะเป็โจรหรือเป็นักโทษหนีคดี ท่านก็คือท่านพี่ของข้า จะใช่หรือไม่ใช่ ก็เปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ไปไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่าง ข้าคิดว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว อดีตของท่าน ท่านมีที่มาอย่างไร เื่เ่าั้หาได้สำคัญไม่"
นางกล่าวพลางยิ้มอีกครั้ง "ตอนแรกข้าก็สงสัยอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ตอนนี้ข้าคิดตกแล้ว เื่พวกนั้นไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย สิ่งสำคัญคือการที่ท่านอยู่เคียงข้างข้าในตอนนี้ และปฏิบัติต่อข้าเป็อย่างดี ่เวลาที่ข้าแต่งกับท่านมานี้ ข้ารู้สึกมีความสุขมากจริงๆ เ้าค่ะ"
"ข้าก็เช่นกัน" จางเจิ้นอันยื่นมือออกไป กุมมือนางไว้แน่น ทั้งสองสบตากันแล้วแย้มยิ้มให้กัน ความรู้สึกอ่อนโยนหวานชื่นอบอวลอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แววตาต่างสะท้อนเงาของกันและกัน เปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่
"พรุ่งนี้ข้ายังหยุดพักอยู่ ถือโอกาสนี้พาเ้าไปเที่ยวเล่นในตัวเมืองดีหรือไม่" จางเจิ้นอันเอ่ยชวนอันซิ่วเอ๋อร์
"ตัวเมืองรึเ้าคะ?"
ดวงตาของอันซิ่วเอ๋อร์เป็ประกายขึ้นมาทันที สถานที่ใจกลางเมืองเช่นนั้นนางยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง นางรู้สึกใคร่รู้เกี่ยวกับตัวเมืองอยู่ไม่น้อย เงยหน้าขึ้นสบสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของจางเจิ้นอัน นางกำลังจะเอ่ยปากตอบตกลง แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าการเดินทางไปตัวเมืองจะต้องใช้เงินมากมายเป็แน่ นางก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา จึงได้แต่ส่ายหน้า กล่าวว่า "อย่าเลยดีกว่าเ้าค่ะ ไว้พวกเราค่อยหาโอกาสไปคราวหน้าเถิด""ข้านานๆ จะได้หยุดพักสักวันหนึ่ง หากเ้าไม่ไปครั้งนี้ ภายหน้าอาจจะไม่มีโอกาสดีๆ เช่นนี้อีกแล้วก็ได้" จางเจิ้นอันกล่าว
"ไม่มีทางเสียหรอกเ้าค่ะ อีกไม่นานก็จะถึง่วันหยุดยาวฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว ถึงตอนนั้นสำนักศึกษาก็จะหยุดตั้งสองเดือนเต็มๆ" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม เื่วันหยุดของสำนักศึกษานั้น นางย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
"เ้านี่รู้ดีไปเสียทุกเื่จริงๆ" จางเจิ้นอันกล่าวอย่างอ่อนใจ อันซิ่วเอ๋อร์กลับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
โดยไม่รู้ตัว ทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว จางเจิ้นอันกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นออกมาขวางทางเขาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นมอง พลันเห็นบุรุษผู้หนึ่งในชุดหรูหรา ท่าทางราวคุณชายเ้าสำราญเสเพล เดินส่ายอาดๆ เลี้ยวออกมาจากด้านข้าง มาหยุดยืนขวางหน้าเขาไว้ กล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน
"ในที่สุดก็เจอตัวจนได้ อยู่ที่นี่จริงๆ สินะ"
"เป็ท่าน!" อันซิ่วเอ๋อร์จำคุณชายผู้นี้ได้ในทันที นี่ไม่ใช่คนที่มาขอน้ำนางดื่มเมื่อวันก่อนหรอกหรือ?
"ข้าน้อยคารวะแม่นาง ขอเรียนถามอายุของแม่นางได้หรือไม่?"
เยี่ยนจิ่งซิวเห็นอันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม ก็พลันเคลื่อนกายราวกับล่องลอยมายืนอยู่เบื้องหน้าอันซิ่วเอ๋อร์ กล่าวว่า "ครั้งก่อนข้าน้อยขอน้ำดื่มจากแม่นาง แม่นางไม่ยินยอม ครั้งนี้พอจะให้ข้าน้อยเข้าไปในบ้านได้หรือไม่? ในเมื่อชายหยาบกระด้างเช่นเขายังเข้าไปได้ คุณชายผู้สง่างามภูมิฐาน รูปงามหมดจด และหล่อเหลาราวเทพบุตรเช่นข้าผู้นี้ แม่นางคงไม่ใจร้ายขับไล่ข้าออกไปนอกประตูหรอกกระมัง?"
"เขาคือสามีข้า เขาย่อมต้องเข้าไปได้อยู่แล้ว!"
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ฟังคำพูดของคุณชายผู้นี้ ก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจเขามากขึ้นไปอีก นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มายืนอยู่ข้างกายจางเจิ้นอัน จ้องมองเขาด้วยท่าทีปกป้อง กล่าวว่า "หากท่านยัง้าจะขอน้ำดื่ม ก็เชิญไปบ้านอื่นเถิดเ้าค่ะ!"
ดวงตาของเยี่ยนจิ่งซิวแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขามองจางเจิ้นอันขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบ แล้วหันไปพิจารณาอันซิ่วเอ๋อร์อีกครั้ง กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่เจิ้นอันผู้สูงส่งจะมาแต่งงานกับหญิงชาวบ้านเช่นนี้ พวกเ้าสองคนร่วมมือกันหลอกลวงข้าอยู่ใช่หรือไม่?"
"แม่นางผู้นี้หน้าตาก็งดงามอยู่ไม่ใช่น้อย หาซื้อมาจากที่ใดรึ?"
เยี่ยนจิ่งซิวเห็นอันซิ่วเอ๋อร์นิ่งเงียบ ก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง หารู้ไม่ว่า ใบหน้าของอันซิ่วเอ๋อร์นั้นโกรธจนแทบจะเปลี่ยนสีอยู่แล้ว
ให้ตายเถอะ! ข้าเป็หญิงชาวบ้านแล้วมันหนักส่วนไหนของท่านรึ? หญิงชาวบ้านไปขอข้าวบ้านท่านกินรึอย่างไร? ยังจะมากล่าวหาว่าข้าเป็เพียงสาวใช้ของท่านพี่อีก คนผู้นี้ช่างน่าชัง น่ารังเกียจเหลือทน!
แต่ว่า... เขารู้จักชื่อของท่านพี่ได้อย่างไรกัน?
