ปีศาจสาวในอาภรณ์สีชาดลุกขึ้นจากฟูก สยายปีกหงิกงอดูไม่เป็โครงร่าง หลังเปลี่ยนชุดจากหีบอาภรณ์ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้ง
ร่างบอบบางของนางแทบปลิวไปกับสายลม ด้วยความที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาร่วมอาทิตย์ นางมิได้ดื่มกลืนพลังิญญาหลังการสู้รบกับเ้าตำราโหด นางเดินโซเซไปทางบริเวณด้านหลังเรือนไม้
ใต้เวหาเยียบเย็นทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเหมันต์ เบื้องหน้าปรากฏเพียงความมืดมิด นางยกสองมือกอดกุมตน ริมฝีปากสีชาดสั่นระริก นางใช้เวทแห่งแสงจากฝ่ามือเป็เครื่องนำทางแทนโคมไฟและเพื่อบรรเทาความหนาว
ั์ตาสีอำพันของปีศาจมองเห็นได้ไกลแม้ในความมืด นางชะเง้อคอมองถัดไปจากสวนพฤกษาขนาดเล็ก เป็ูเาทิศตะวันออกทอดยาวสุดตา เมืองกว้างใหญ่ไพศาลแบ่งออกเป็แดนเหนือแดนใต้ นางพอมองเห็นเป็เค้าโครงบ้านเรือน น่าจะเป็ที่พำนักอาศัยของเหล่ายมทูต
“เ้าจะไปไหน?” น้ำเสียงเยียบเย็นที่ดังขึ้นจากข้างหลังเรียกนาง ถิงถิงหน้าตาตื่นตระหนก ก่อนจะตั้งสติได้ว่านางไม่จำเป็ต้องหวาดกลัวเขาผู้นี้ ไม่มีทางทำร้ายนางแน่ ตราบใดที่นางยังมีประโยชน์
“ข้ามาเดินเล่น ดูข้างหลังห้องข้า ข้าจะไปที่ไหนได้”
“เ้ารู้ก็ดี ผู้ไม่มีพลังยมทูต ไม่สามารถเปิดทางเข้าออกแดนมรณา...”
เทพมรณาเอามือไพล่หลัง กดสายตาลงมองนางด้วยท่าทางดูแคลน คล้ายจะบอกว่า ‘เ้าปีศาจน่ารำคาญ เ้าไปไหนไม่ได้อยู่ดี’ เขาขยับฝีเท้าเข้าไปใกล้นาง
ถิงถิงเงยหน้าขึ้นสบั์ตาสีชาด เอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ที่ข้าหยุดร้องไห้คร่ำครวญเป็เพราะว่าข้าหมดเรี่ยวแรง ข้าไม่ได้กินอะไรเลย”
เทพมรณาผายมือออก ยื่นลูกแก้วิญญาให้นาง เมินหน้าหนีไปอีกทาง
“ข้าไม่กิน”
“เ้ารู้สึกดีขึ้นเมื่อไร จะได้กลับมาทำงานของเ้า เื่ต้นไม้ิญญา ข้าจะจัดการให้เ้าในภายหลัง”
“ภพชาตินี้ของข้าเป็ปีศาจต่ำช้าบาปหนา ข้าไม่รับพลังจากลูกแก้วิญญา ไม่สร้างวิบากกรรมใหม่ พวกเขาสมควรไปเวียนว่ายตายเกิด ข้าดับกระหายด้วยผลของต้นไม้ิญญาเท่านั้น”
‘เ้าปีศาจเื่มาก!’
ความเกรี้ยวกราดภายในใจเทพมรณาไม่ประกาศออกมาเสียทีเดียว ทว่าดวงตาคู่คมปลาบประกายดุดันสีโลหิตราวกับว่าจะเข่นฆ่านาง มือหยาบกร้านยื่นลูกแก้วิญญาให้นางอย่างยัดเยียด แต่นางกลั้นหายใจ
“จะเดินทางไปหาต้นไม้ิญญาไม่ใช่เื่ง่าย ข้ายังไม่สะดวกไปตามหาแหล่งอาหารชั้นยอดให้เ้า”
“เพียงข้ามไปยังภพภูมิปีศาจ ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมของข้า อาจเป็ภพภูมิลับแล ในเทวโลกชั้นน้ำ ภพภูมิบาดาล เทพระดับท่านกะพริบตาครั้งเดียวก็เกิดขึ้นได้แล้ว”
“ข้ายังไม่ว่างไปตอนนี้ ทำไมเ้าพูดไม่รู้เื่?”
“ข้ากินพวกเขาไม่ลงเ้าค่ะ ท่านพาลูกแก้วในมือท่านไปส่งปรภูมิเถิด”
“หากว่าเ้าไม่ไหว อย่ามาหาว่าข้าแล้งน้ำใจ เพราะยมทูตล้วนไม่มี...”
“ข้าจะจำคำนั้นเอาไว้” นางตอบด้วยแววตาก้าวร้าว ไม่สนใจใบหน้าหล่อเหลาที่เกรี้ยวกราด แม้ว่าเขาจะพยายามต่อรองกับนาง สะบัดปีกหงิกงอราวดอกไม้แห้งเหี่ยวกลับเข้าเรือนนอนไป
ด้วยสัญชาตญาณปีศาจราตรี เป็พวกรักศักดิ์ศรีจนตัวตาย
ถึงแม้ว่านางทั้งหวาดกลัวและหิวโหย แต่นางเป็พวกมากเื่ ปากท้องสำคัญเท่าฟ้า นางยอมตายได้เพื่ออาหารจานเดียว นางเคยอ่านตำราในเรือนใต้ จากปากต่อปาก ได้ยินมาว่ามนุษย์บนโลกก็เป็เช่นนั้น
มนุษย์สามารถทำทุกอย่างเพื่ออาหารอันโอชะ พระกระยาหารของฮ่องเต้พิถีพิถันทุกขั้นตอน ต้องประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ข้าว อาหาร สิ่งล้ำค่า ภาชนะที่บรรจุพระกระยาหารก็ต้องไม่ซ้ำกัน
ประชาชนทั่วไปยังทำกับข้าวเต็มโต๊ะอาหาร ต้อนรับการกลับมาของครอบครัว ภรรยาปรุงอาหารบำรุงบำเรอใจสามีและลูกน้อย
ในเมืองปีศาจแทบทุกเรือนมีสุราอาหารสำหรับการสังสรรค์ในยามราตรี แม้แต่เทพก็ยังสังสรรค์ให้การต้อนรับมิตรสหายในบางโอกาส
นางไม่กินขยะพวกนี้!
สตรีในอาภรณ์สีนิลนำผลไม้หน้าตาประหลาดมาให้นาง ซุปต้มกระดูกโรยด้วยข้าวเปลือกแห้ง ๆ รสชาติห่วยแตกสิ้นดี
โยนให้สุนัขกิน มันจะกินหรือเปล่า?
พอนางถามพวกเขาไปตามตรง ยมทูตนี่ไม่รู้วิธีการทำอาหารเลยหรือยังไง พวกเขาหน้าตาบึ้งตึงแล้วหายไป ยมทูตตนใหม่ในร่างชายชรานำอาหารมาให้นางอีก นางเลยบอกว่ามันกินไม่ได้ ทำไมท่านลุงไม่ลองกินเข้าไปดูล่ะ
ค่ำนี้อาหารทั้งน้ำต้มแกงและผักทอดบนโต๊ะไม้สักที่เหมือนกับห้องนอนของนางในเรือนใต้ ยังคงเย็นชืดและไม่พร่องหายไป กระทั่งกลุ่มเมฆาหยินหยางก่อตัวขึ้นกลางหอนอน
บุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีนิลยืนเอามือไพล่หลัง ั์ตาสีชาดแลดูดุดันร้ายกาจกว่าทุกวัน
“เ้าคิดว่ามีข้อต่อรองกับข้าหรือ? เ้าปีศาจผีเสื้อ”
“คิดว่ามี...” นางเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง แน่ใจว่าเทพมรณาคงหวังให้นางเข้าไปต่อสู้กับตำราแห่งความตายอีก เพื่อยืดอายุขัยของยมทูต เขาจึงพยายามบังคับนางให้นางกินอาหารฟื้นฟูพลังกายแม้เพียงสักเล็กน้อย
“กินอาหารของเ้าแล้วลุกขึ้นมาทำงาน” เสียงเข้มออกคำสั่ง มือหนากางตำราเล่มเก่าออก มันลอยอยู่กลางห้อง
สิ่งที่นางทำคือกระโจนกายเข้าไปในตำราทั้งในสภาพไร้ปีก หลังจากนั้นกลไกข้างในก็ทำให้นางเกือบเอาชีวิตไม่รอด เทพมรณาดึงนางออกมาด้วยเวทหยินก่อนที่นางจะถูกเสาต้นหนึ่งล้มทับ กรงเล็บอสุรกายตะครุบข้อเท้านางไว้ มันคงจับได้เพียงอาภรณ์ขาดวิ่น
“โง่เง่าสิ้นดี!”
บุรุษเทพบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด นางลืมตาข้างหนึ่งมองเขา กัดกรามกรอด ๆ
รอยกรงเล็บของอสุรกายในตำรายังปรากฏบนลำคอเพรียวระหง ผิวขาวละเอียดมีโลหิตเกรอะกรัง แม้กระทั่งตรงมุมปาก
โดยปกติแล้วเขามักยืนมองนางด้วยแววตาไร้อารมณ์ แต่เมื่อนางมีลมหายใจในร่างที่ดูไม่ได้ ควรสมใจเขาหรือไม่อย่างไร นางหาได้รู้ไม่
“ข้ายอมทำตัวโง่เง่าเพราะว่าข้าหิว ข้าอยากกินของดี ๆ ข้าผิดด้วยหรือ?”
“ข้าจะพาเ้าไป เมื่อข้าสะสางปัญหาในแดนมรณาเรียบร้อยดี”
“เมื่อไร?”
ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษของนางยืนกรานว่าเขาควรให้ความเมตตาต่อนางบ้าง นางคิดว่ามีข้อต่อรอง นางไม่ควรให้ท่านเทพเห็นนางเป็วัตถุชิ้นหนึ่งที่จะทำอะไรก็ได้
“เอาไว้ข้าจะบอกเ้า”
“ข้าไม่ดับกระหายด้วยลูกแก้วิญญาโดยเด็ดขาด ต่อให้พวกเขาจะเป็ิญญาหลงทาง สูญเสียความทรงจำ ไม่คิดไปเกิดใหม่แล้วก็ตาม และหากข้าไม่มีพลังเวทเต็มกาย ข้าก็ทำงานไม่ได้” นางกระตุกยิ้มอย่างมีลับลมคมใน นึกขึ้นได้ว่าเ้านครมรณาพยายามเข้าหานางมาสักระยะ
ก่อนหน้านี้บุรุษแปลกหน้าลักลอบเข้าห้องนอนของนาง เพื่อยื่นข้อต่อรองกับนางว่าจะมาช่วยงานให้เขาหรือไม่ เป็นางเสียเองไม่มีโอกาสรับสาร
มักมีเหตุการณ์บางอย่างมาขัดขวางไม่ให้นางได้พูดจากับเขา ประกอบกับว่านางกำลังจะแต่งงาน จึงหาเื่ออกไปสังสรรค์กับมิตรสหาย นางไปไหนต่อไหนประสาปีศาจรักสนุก รุ่งอรุณเมื่อใดนางไม่เคยที่จะอยู่เรือน
นางเชื่อว่าตัวนางน่ะสำคัญมากพอที่เขาจะพานางไปดื่มด่ำพลังิญญาแน่ เพียงแต่ว่าเมื่อไร?
ตาสบตาในห้องเงียบเชียบ นางคิดว่าเขากำลังจะให้คำตอบนาง แววตาที่แสนเยือกเย็นดันหายไปเสียเฉย ๆ นางเอามือกอดอก เบิกตาถลน
“เทพเผด็จการเช่นท่านไร้มารยาทจริง ๆ คอยดูเถิด ยังไงท่านก็ต้องพาข้าไป!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้