คังเหว่ยติดตามโจวเฉิงจนทำเงินได้มากมาย
เขาและเซี่ยเสี่ยวหลาน ‘ริเริ่มกิจการ’ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ในขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานค้าไข่ไก่เก็งกำไรที่เขตอันชิ่งคังเหว่ยได้ตามโจวเฉิงเดินทางลงใต้เป็ครั้งแรกพอดี ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานทำเงินได้หมื่นกว่าหยวนแล้วทว่าเงินของคังเหว่ยก็มีมากเสียจนไม่รู้จะใช้อย่างไรดี
เขาอิจฉา ‘โปโลเนซ’ ที่พานซานขับทีเดียวแม้ไม่ได้ใหม่เอี่ยมอ่อง ทว่าอย่างไรเสียนั่นก็เป็รถของตนเองไม่ใช่หรือ?
แต่โจวเฉิงบอกว่าเขาไม่ควรซื้อรถ เพราะคนตระกูลคังต่างจับตามองอยู่หากคังเหว่ยอวดร่ำอวดรวยเอิกเกริก คนในครอบครัวเขาจะคิดอย่างไรคนอื่นอาจนึกว่าลูกชายคนรองของตระกูลคังเป็ผู้สนับสนุนเงินให้จิตใจพาลจะไม่เบิกบานเสียเปล่า ว่ากันตามความจริง ธุรกิจนี้จะสามารถทำต่อไปได้หรือไม่ก็เป็สิ่งที่ไม่แน่นอน
ดังนั้นกระเป๋าเงินคังเหว่ยจึงสมบูรณ์มาก ทว่ากลับทำได้แค่ยกระดับมาตรฐานปัจจัยในการดำรงชีวิตทั่วไปของตัวเองเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นเขาจะหาเงินมากมายเพื่ออะไรกันเล่า?
คังเหว่ยเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานและไป๋เจินจูที่มีแรงขับเคลื่อนเหลือล้น เขารู้สึกอิจฉายิ่งนัก ทางใต้เปิดกว้างกว่าปักกิ่งพานซานขับรถเก๋งสักคันก็ไม่สะดุดตาเกินไป จิตใจของคังเหว่ยค่อนข้างทะเยอทะยานอยู่ในปักกิ่งต้องโดนจำกัดเสียทุกสิ่งอย่าง เงินที่เขาหาได้เ่าั้ควรใช้อย่างไรกัน? ธุรกิจค้าบุหรี่นี้มีความเสี่ยงพอสมควรคังเหว่ยกำลังครุ่นคิดว่าจะสามารถร่วมลงทุนกับพวกเซี่ยเสี่ยวหลานทำอะไรได้บ้าง—อย่างน้อยให้เขามีที่ทางสำหรับใช้เงินเถอะ!
เซี่ยเสี่ยวหลานจ้องเขา
คังเหว่ยแตกต่างจากชนชั้นกรรมาชีพอย่างเธอ เขาจำเป็ต้องทำธุรกิจอะไรเสียที่ไหนแค่เปลี่ยนเงินในมือเป็ซื่อเหอเยวี่ยน [1] ในปักกิ่งไม่ต้องสนใจว่าสภาพบ้านทั้งซอมซ่อทั้งคับแคบหรือเปล่า รออีก 30 ปีค่อยปล่อยขาย นอนใช้เงินที่ขายได้เฉยๆ ก็ไม่มีวันหมด
เอาเถอะ เธอได้มอบกลเม็ดเดียวกันแก่โจวเฉิงไปแล้วการซื้ออสังหาริมทรัพย์รอราคาสูงเป็เื่ที่ควรจะทำก็ต่อเมื่อมีเงินเย็นอยู่ในมือ
คังเหว่ยไม่อาจนำเงินทั้งหมดไปซื้อบ้านได้ก่อนราคาบ้านจะพุ่งทะยานอย่างสมบูรณ์ เขาย่อมต้องใช้เงินอยู่ดี เงินต้องหมุนเวียนต้องนำมาซึ่งความสุขและความอิ่มเอมแก่ผู้ถือ ถึงจะไม่ใช่จำนวนเงินที่ไร้ความหมาย
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดไปคิดมา เธอไม่ได้แนะนำอะไรไปมั่วซั่ว
“เดี๋ยวรอระหว่างกลับซางตู พวกเราสองคนค่อยคุยเื่นี้กันจริงจังอีกที”
ค้าขายบุหรี่เก็งกำไรก็ทำเงินได้มากพอแล้ว คังเหว่ยยังมีแรงทำธุรกิจอื่นอีกหรือถ้าลงทุนอย่างเดียวโดยไม่บริหารเองคังเหว่ยจะหาคนที่น่าเชื่อถือและมีความสามารถได้ไหม?
คังเหว่ยไม่รีบร้อน
หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ไป๋เจินจูได้เงิน 5400 กว่าหยวน เธอถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าเงินส่วนนี้ต้องปันผลหรือเปล่า
ตอนแรกทั้งสองคนลงทุนด้วยเงินจำนวน 500 หยวนเพื่อเหมาสินค้าทว่าใน่เวลานี้มีไป๋เจินจูคนเดียวที่วิ่งวุ่นจัดการขาย เซี่ยเสี่ยวหลานจึงบอกว่าตนเองรับกำไรเพียงร้อยละ 30“เงินทุนของพี่ไป๋ก็มากพอแล้ว นี่ถือว่าฉันถอนหุ้นนะ!”
ร้อยละ 30 ของ 5400 หยวนก็ได้สัก 1600 บวกกับต้นทุนที่เซี่ยเสี่ยวหลานลงทุนในนั้นอีก 500 หยวน เธอเพียงเสนอความคิดเห็นแก่ไป๋เจินจูเท่านั้น ลงทุนเงิน 500 หยวนไม่ถึงหนึ่งเดือนก็กลายเป็ต้นรวมดอก 2100 หยวน ยังมีอะไรที่ไม่พอใจกันเล่า
ไป๋เจินจูเหลอหลาไป “ทำไมเธอถึงจะถอนหุ้น?”
คิดว่าบัญชีมีปัญหาหรือคิดว่าเงินที่เธอทำได้ใน่เวลานี้น้อยเกินไป ใช่ เซี่ยเสี่ยวหลาน้ากำไรเพียงสามส่วนนั่นจะสมควรได้อย่างไร เงินทุนที่ทั้งสองคนลงมีจำนวนเท่ากันนี่
“ต่อให้ปันผลก็ต้องคนละครึ่ง เธอต้องได้ 2700 หยวน!”
เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายหน้า “พี่ไป๋พี่ต้องคิดค่าแรงของตัวเองเข้าไปด้วย แม้พวกเราออกเงินต้นเท่ากันแต่ธุรกิจนี้มีพี่คนเดียวที่ลำบาก ฉันไม่ได้ช่วยเหลือดังนั้นจึงไม่สามารถแบ่งเงินคนละครึ่ง ฉันรู้ดีว่าพี่ไป๋นิสัยไม่ใช่คนหยุมหยิมแผงผลไม้ทำมาหากินยังยอมยกให้คนอื่นได้ แต่ฉันอยากเป็เพื่อนกับพี่ไปนานๆเพราะแบบนั้นฉันถึงเอาเปรียบพี่ไม่ได้ ที่ฉันบอกว่าจะถอนหุ้นก็ด้วยเหตุผลนี้สำหรับธุรกิจค้าขายเสื้อผ้าที่เผิงเฉิง ฉันไม่อาจให้ความช่วยเหลืออันมีค่าใดใดได้ และยิ่งไม่ควรเอาเปรียบพี่เข้าไปใหญ่...คราวนี้พวกเราร่วมหุ้นกันในระยะสั้น ภายภาคหน้าหนทางทำเงินจะมีแต่เพิ่มพูนขึ้น พวกเราอย่าทำลายมิตรภาพต่อกันเลย”
เซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่แม่พระ เธอจะรังแกความจริงใจของไป๋เจินจูก็ได้เอาเปรียบเ้าตัวอย่างเต็มที่ก่อนที่ไป๋เจินจูจะถูกสังคมนิยมวัตถุอบรมให้ ‘ฉลาดเฉลียว’ เงินที่ไป๋เจินจูหาได้จากเผิงเฉิงถายในหนึ่งเดือนใกล้เคียงกับเงินที่เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางระหว่าง ‘ซางตู-หยางเฉิง’ หนึ่งปีเธอก็สามารถแบ่งผลกำไรจากไป๋เจินจูได้หลายหมื่นหยวน
ทว่าหลังจากนั้นเล่า?
หากเป็เวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้น ไป๋เจินจูย่อมรู้สึกขุ่นเคืองใจ แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานจะหาหุ้นส่วนทางธุรกิจผู้ซื่อสัตย์สักคนได้จากไหนอีก!
ไป๋เจินจูไม่เข้าใจความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลานนัก แต่เซี่ยเสี่ยวหลานฉลาดกว่าเธออย่างไร้ข้อกังขาศิษย์น้องเธอทำได้เพียงเอ่ยปากขอแผงผลไม้ ผิดกับเซี่ยเสี่ยวหลานที่ชี้แนะเส้นทางทำเงินแก่เธอเมื่อเปรียบเทียบทั้งสองฝ่ายแล้ว ไป๋เจินจูไม่รู้สึกอะไรถึงจะแปลก
ไปค้าขายเสื้อผ้าหาเงินในเผิงเฉิง ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ยินดีแบ่งกำไรของเธอมากมายนักไป๋เจินจูตัดสินใจกับตนเองว่าจะรีบเร่งช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานสร้างหนทางนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากเผิงเฉิงให้รวดเร็วที่สุด
“ได้ พวกเราร่วมลงทุนทำอย่างอื่นได้ แต่ครั้งนี้เธอต้องแบ่งกำไรไปครึ่งหนึ่งอยู่ดี”
เซี่ยเสี่ยวหลานพิจารณาแล้วก็ตกลง ถ้าไม่รับกำไรครึ่งหนึ่งไว้ไป๋เจินจูคงไม่สบายใจแน่เธอนึกถึงที่โจวเฉิงบอกว่าพี่ชายของไป๋เจินจูน่าเชื่อถือจากการปันผลกำไรในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าไป๋เจินจูก็น่าเชื่อถือเช่นกัน
อย่างน้อยก็ในตอนนี้ อนาคตไป๋เจินจูจะแปรเปลี่ยนหรือไม่ ใครจะรับรองได้? อย่าได้อุตริทดสอบมนุษยธรรมของใครโดยเด็ดขาด
รวมต้นทุนเข้าไป เงินในกระเป๋าของเซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่มขึ้นราว 3400 หยวน นี่ไม่ใช่ส่วนที่ร่วมหุ้นกันของเธอและลุง แต่เป็ทรัพย์ส่วนตัวของเธอเมื่อครั้งกระเป๋ายังไร้เงินทอง ครานั้นทำให้ปกติเธอใช้เงินด้วยความวิตกกังวลมีสามพันหยวนนี้ติดตัวไว้ ไม่ว่าร้านเสื้อผ้าจะปันผลก่อนตรุษจีนหรือไม่เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาเธอก็สามารถฉลองได้อย่างมั่งคั่งแล้ว!
“ต้องคว้าร้านในตลาดสินค้าเล็กสะพานเหรินหมินมาให้ได้นะ ถ้าไม่ได้ตอนนี้อีกหน่อยคงจะยิ่งยากเย็น”
เซี่ยเสี่ยวหลานเตือนอีกรอบ
คังเหว่ยหูผึ่งที่ตั้งร้านของตลาดสินค้าเล็กสะพานเหรินหมินในเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงหรือ? ได้ยินว่าสิ่งนี้สามารถทำเงินได้ คังเหว่ยจึงคิดว่าตนเองจะเข้าร่วมด้วยดีหรือเปล่า
พอดวงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า ตลาดค้าส่งเสื้อผ้าก็เริ่มคึกคักขึ้นมา พานซานเป็ผู้ขับรถเหมือนเดิมส่งทั้งสามคนไปจนถึงตลาดค้าส่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินปรี่ไปยังแผงของเฉินซีเหลียงดังที่ผ่านมา ทว่าเถ้าแก่เฉินไม่มีท่าทางดีใจแม้แต่น้อย
หางตาเขากระตุกเล็กน้อย สายตาเบนไปด้านหลังเมื่อพบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าใจนัยยะของเขา หางตาเฉินซีเหลียงก็กระตุกหนักยิ่งขึ้น
“เถ้าแก่เฉิน ครั้งนี้ฉันซื้อของเยอะหน่อย คุณมีส่วนลดบ้างหรือไม่?”
เฉินซีเหลียงกลอกตา ใจคิดว่ามอบทั้งแผงให้เธอยังได้ ขอเพียงเธอออกไปจากหยางเฉิง!
ช่างมีหน้าตาสะสวยเสียเปล่าจริง โง่งมเหลือทน เห็นกลุ่มคนติดตามข้างกายเธอคนหนึ่งผมสั้นชายไม่ใช่หญิงไม่เชิง คนหนึ่งก็คือคุณชายเ้าสำราญผู้ดูท่าทางแล้วคงไม่เคยลำบาก ทั้งยังมีอีกคนที่ดูป่าเถื่อน พวกเขาจะมีประโยชน์อะไร? หัวเดียวกระเทียมลีบเอาชนะพรรคพวกกลุ่มนั้นของเคออีสฺยงได้หรือ!
“ราคาต่ำที่สุดแล้ว ถ้าเธอคิดว่าแพงนัก ก็ไปซื้อร้านอื่นสิ!”
เฉินซีเหลียงตอบอย่างไม่สบอารมณ์
คังเหว่ยคันไม้คันมือขึ้นมา เ้านี่ไม่รู้จักพูดจาดีๆ หรือ เอาเงินมาให้แต่กลับมีท่าทางแบบนี้?
“ฮ่าฮ่าฮ่า เถ้าแก่เฉิน นายทำลูกค้าใหนีไปจะทำอย่างไรเล่า?”
คนคนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากหลังร้านของเฉินซีเหลียงเคออีสฺยงผู้มีใบหน้ากลมอันแสนเป็มิตรนั่นเอง
ในตลาดค้าส่งเสื้อผ้าที่ผู้คนเบียดแน่นไม่ทราบว่าพวกเซี่ยเสี่ยวหลานได้ถูกคนของเคออีสฺยงล้อมไว้ั้แ่เมื่อไรเฉินซีเหลียงค้อนใส่เซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความขุ่นเคือง
“หัวหน้าเคอ คุณทำแบบนี้ไม่เหมือนคนที่้าจะผูกมิตรเอาเสียเลยคุณรู้หรือไม่ การกระทำของคุณนำความไม่สงบใหญ่หลวงมาแก่ฉันฉันแทบไม่อยากมาทำธุรกิจที่หยางเฉิงแล้ว”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ไม่เข้าใจนัยยะของเฉินซีเหลียงแต่เวลานั้นเธอจะหนีไปได้อย่างไร?
หากเื่นี้ไม่คลี่คลาย เมื่อเธอมาหยางเฉิงย่อมอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกครั้งไป
เคออีสฺยงมองเธอพลางชมเชย “ไม่หรอกฉันคิดว่าเธอกล้าหาญมาก เธอไม่กลัวฉันด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่? แถมเธอยังดูไม่ใที่ฉันโผล่มายังร้านของเถ้าแก่เฉินสักนิดเดียว”
สีหน้าของเฉินซีเหลียงดูไม่ได้ เคออีสฺยงกวาดสายตามองเขา “เถ้าแก่เฉินซื่อสัตย์ต่อพวกพ้องยิ่งนัก ฉันถามตั้งหลายหนเขาเอาแต่บอกไม่รู้ว่าเธอคือคนที่ไหน และฉันไม่ชอบคนโกหก”
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกคิดในใจ ฉันก็ไม่ชอบคนถือดีอวดโอ้หรอกนะคุณดูภาพยนตร์ฮ่องกงมากไปแล้วหรือ?!
เชิงอรรถ
[1]四合院 ซื่อเหอเยวี่ยน คือ สถาปัตยกรรมบ้านเก่าแก่ของจีนแบบปักกิ่งโดยสร้างตัวบ้านขึ้นล้อมสี่ทิศเชื่อมกัน ตรงกลางเป็ลานบ้านโล่ง
