การคิดถึงเื่ของเฟิงจิ้งอี้ทำให้หูของอิ้งหลีเกิดร้อนขึ้นมา และเว่ยซูหานที่ไม่ได้พูดสิ่งใดมาั้แ่ต้นก็ตระหนักดีถึงปฏิกิริยาผิดปกติของเขา และเขาก็คาดเดาได้เมื่อรับรู้ถึงจังหวะหัวใจที่กำลังสั่น มุมปากของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเ้าเล่ห์ขึ้นมา...
แตกต่างจากเหยียนชิงและเหยียนลั่วที่ไม่ได้คิดสิ่งใด เขาเป็ผู้ที่ใส่ใจคนรอบข้าง เนื่องจากอิ้งหลีเข้ารับตำแหน่งแทนที่เหยียนชิงในชาติก่อน เขาจึงเฝ้ามองว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างอิ้งหลีกับตี้จวิน ด้วยยามนี้แตกต่างจากชาติก่อน และสุดท้ายตระกูลเหยียนก็ได้เข้าไปอยู่กลางใจของฮ่องเต้แล้ว
ในใจของตี้จวินไร้ความกังวลซึ่งไม่เหมือนกับในชาติก่อน พระองค์สามารถทำสิ่งที่้าได้มากมาย ประกอบกับการที่อิ้งหลีได้รับคำชื่นชมในทุกด้านั้แ่่แรกเริ่ม ดื่มเหล้าและพูดคุยเื่ต่าง ๆ ร่วมกันมากมายหากบังเอิญข้ามเส้นไปผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง...
แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าระหว่างอิ้งหลีกับตี้จวินเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ แต่เมื่อเห็นการปกปิดอย่างไม่เป็ธรรมชาติของอิ้งหลีแล้ว เห็นได้ชัดว่าเื่นี้จะต้องมีสิ่งใดซ้อนเร้นอยู่เป็แน่
หลังจากคิดเื่นี้แล้วเขาก็พูดขัดออกมาอีกครั้ง
“ตี้จวินเป็ฮ่องเต้ที่มีความเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง ในยามนี้ทุกสิ่งที่ตระกูลเหยียนกระทำเขาย่อมมองเห็น มันจึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะให้ตระกูลเหยียนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ดังนั้นจึงสามารถสงบจิตสงบใจได้ชั่วคราว”
หลังจากพูดแล้วเขาก็มองตรงไปทางอิ้งหลี
“หากพี่รอง้าความช่วยเหลือในเื่ใดท่านสามารถไปหาแม่นางซือซือได้ ข้าจะส่งสารไปบอกนางเอาไว้... แม้จะไม่รู้ว่านางและหอเยียนจือมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด แต่นางมีใจที่จะเข้าไปอยู่ในหอเยียนจือ ในชีวิตก่อนนางพยายามทุกวิถีทางเพื่อขึ้นเป็นายแห่งหอเยียนจือ การที่ข้าช่วยนางในยามนี้ก็จะถือได้ว่าเป็การให้ความเมตตาต่อนาง คิดว่านางคงจะไม่รังเกียจที่จะร่วมมือกับพวกเรา”
อิ้งหลีพยักหน้า “ได้ ข้ารู้แล้ว หากมีโอกาสจะเข้าไปเยี่ยมเยือนสักรอบ”
ไม่แปลกเลยที่แม่นางซือซือให้ความสนใจเขาเป็อย่างมาก ด้วยกลายเป็ว่านางถูกเว่ยซูหานค่อยสั่งการอย่างลับ ๆ ก่อนหน้านี้ยังเคยคิดว่าซือซือเป็คนชั่วร้ายอะไรอย่างนี้ หลังจากคอยสืบค้นไปรอบ ๆ กลับกลายเป็ว่านางคือคนของตนเอง
หลังจากเหล่าพี่น้องปรึกษาหารือกันมาเป็เวลานาน ในวันรุ่งขึ้นอิ้งหลีก็เตรียมออกเดินทางกลับไปยังเมืองเทียนซู เพียงแต่ในยามที่เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ เหยียนชิงก็มุ่งมั่นที่จะติดตามเขากลับไปที่เมืองเทียนซูด้วยกันกับเว่ยซูหาน
“เหตุใดข้ากับซูหานจะไปกับพี่รองไม่ได้ล่ะ ที่จวนยังมีพี่ใหญ่คอยดูแลอยู่ พวกเราจะเดินทางไปเมืองหลวงกันสักรอบ”
แม้ว่าจะเสี่ยง แต่ก็ทำให้สามารถตรวจสอบเจตนาของตี้จวินก่อนเข้าหน้าหนาวของปีนี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็เื่ง่ายต่อการจัดเตรียมส่งกองกำลังไปประจำที่ชายแดนเหนืออีกด้วย
“พวกเ้า... เหตุใดจึงเป็เช่นนี้...”
เหยียนลั่วที่มีขนมฟางเกา[1] อยู่ในปากกำลังอ้าปากค้าง เมื่อเห็นว่าสามีภรรยาคู่นี้ดูมีความพร้อมเป็อย่างมากจึงรู้ว่าพวกเขาคงเตรียมตัวไว้แล้ว มันสายเกินไปที่จะห้ามปราม... เขาคงต้องอยู่จวนเพียงผู้เดียวอย่างเหงาหงอย...
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านแม่ยอมรับเื่นี้อย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง เขาจึงไม่อาจหยุดยั้งพวกเขาเอาไว้ได้ ได้แต่มองดูพวกเขาจากไปด้วยความรู้สึกใจสลาย หัวใจที่แสนเกเรของเขามันเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง...
รถม้าสองคัน เว่ยซูหานกับเหยียนชิงหนึ่งคัน อิ้งหลีอีกหนึ่งคัน หลังจากออกจากเมืองฝูซังเว่ยซูหานที่ได้รับการยืนยันจากผู้ติดตามในกองคาราวานมาหลายครั้งแล้วจึงพูดกับเหยียนชิงว่า
“ชิงเอ๋อร์ ข้าจะไปหารือบางสิ่งบางอย่างกับพี่รอง เ้าพักอยู่ที่นี่สักครู่นะ”
เหยียนชิงไม่ได้ถามอะไร เขาลุกออกจากอ้อมแขนแล้วหยิบหนังสือที่พกติดตัวมาด้วยขึ้นมาอ่าน “ไปเถอะ”
ขบวนรถม้าจึงหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เว่ยซูหานจะขึ้นมาบนรถม้าของอิ้งหลี
“เหตุใดจึงมาที่นี่ล่ะ?”
อิ้งหลีที่กำลังงีบหลับอยู่ในรถม้า พอเห็นเขาขึ้นมาก็รีบลุกขึ้นนั่ง
เว่ยซูหานยกม่านขึ้นอีกครั้งแล้วมองไปยังผู้ติดตามทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มาถามบางสิ่งกับพี่รอง”
“...เื่อะไร?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นการแสดงออกของเว่ยซูหานเขาก็เริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งสังเกตว่าผู้ติดตามของพี่รองไม่ใช่คนของตระกูลเหยียน”
เว่ยซูหานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่อิ้งหลีจะกลับมาที่จวนเขาไม่ได้สังเกต อีกทั้งผู้ติดตามของอิ้งหลีใน่ไม่กี่วันมานี้ก็ล้วนอยู่อย่างสงบภายในเรือน เขาจึงเพิ่งรู้เช่นกัน ทั้งยังเป็การค้นพบที่ยิ่งใหญ่
คราวนี้มีผู้ที่ติดตามอิ้งหลีกลับมาจากเมืองเทียนซูทั้งหมดสิบคน สาวน้อยหงเย่าไม่ได้ติดตามมาด้วย ผู้ติดตามสิบคน เมื่อยามอยู่ที่เรือนมีเพียงห้าคนที่พูดทักทายเหยียนลั่ว ส่วนอีกห้าคนที่ทำเพียงพยักหน้าทักทายเท่านั้น
ซึ่งกล่าวได้ว่าทั้งห้าคนที่เมื่อเห็นเหยียนลั่วแล้วพูดทักทายนั้น เป็เหล่าบ่าวในเรือนของอิ้งหลีที่เมืองหลวง ส่วนอีกห้าคนที่เหลือกลับมีที่มาจากที่อื่น อีกทั้งสองคนที่เขาเพิ่งได้พบนั้นเป็คนที่เขาเคยพบในชาติก่อน
อิ้งหลีผงะ ก่อนจะรีบพยักหน้า “เอ่อ มีบางส่วนที่รับเข้ามาในยามที่อยู่ในเมืองเทียนซู... มีอะไรผิดปกติหรือ?”
“จริงหรือ...” เว่ยซูหานยิ้มให้เขา ก่อนจะลดเสียงลง “ข้าเพียงแค่เคยรู้จักพวกเขาทั้งสองมาจากในชีวิตก่อน”
“…” เมื่ออิ้งหลีได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ในคนทั้งสิบมีห้าคนที่เป็คนที่เฟิงจิ้งอี้มอบให้เขา เขาไม่สามารถปฏิเสธได้จึงทำได้เพียงยอมให้พวกเขาตามกลับมาในฐานะผู้ติดตาม พวกเขาตั้งใจปลอมตัวกันอย่างเต็มที่ แม้แต่คนตัวสูงก็ยังจงใจก้มหน้าก้มตา คาดไม่ถึงว่าจะมีเื่บังเอิญถึงเพียงนี้...
เมื่อเว่ยซูหานเห็นว่าเขาตอบสนองเช่นนี้ จึงพูดต่อช้า ๆ ว่า
“ผู้พิทักษ์ทั้งสิบสามแห่งเทียนซู หรือที่รู้จักในนามสิบสามผู้พิทักษ์บุตรแห่ง์[2] ได้รับการคัดเลือกมาจากหนึ่งในหมื่นคน พวกเขาไม่คำนึงถึงความบาดหมางในตระกูลหรือความเกลียดชังในบ้านเมือง ไม่ถามหาชีวิตหรือความตายไม่ว่าจะถูกหรือผิด ไม่สนการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ ไม่มองหลักฐานยืนยันตนและไม่เคารพพระราชกฤษฎีกา เชื่อฟังเพียงคำสั่งที่ออกมาจากปากของบุตรแห่ง์โดยตรงเท่านั้น... เอาล่ะ พี่รองเหตุใดท่านจึงไม่ยอมบอกความจริงกับข้า ข้าจะไม่บอกชิงเอ๋อร์”
สิบสามผู้พิทักษ์แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยในชาติที่แล้วในยามที่ความแข็งแกร่งของเขาถึงจุดสูงสุดก็ยังไม่อาจเอาชนะได้ หลังจากได้เผชิญหน้ากันหลายครั้ง ด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุดก็ยังทำได้เพียงเสมอกันโดยไม่มีประโยชน์อันใด ในชีวิตที่แล้วตี้จวินยังวางสิบสามผู้พิทักษ์ไว้ข้างกายเหยียนชิง แต่ในท้ายที่สุดเหยียนชิงก็ยังได้รับยาพิษมาจากจิงโม่อยู่ดี หลังจากคิดถึงเื่นี้แล้วเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของจิงโม่
“เฮ้อ... ราชองครักษ์[3] ธรรมดาสามคน และมีสองคนมาจากสิบสามผู้พิทักษ์... เป็ตี้จวินที่ส่งมาให้ข้า ส่วนที่เหลืออีกห้าคนเป็ผู้ติดตามที่ข้าคัดเลือกมาจากเมืองเทียนซู...”
อิ้งหลีบอกความจริง ใบหน้าที่กำลังถูกเว่ยซูหานมองอย่างสำรวจเริ่มร้อนระอุขึ้นมา
เว่ยซูหานพยักหน้า
“อย่าบอกว่าเป็เพียงขุนนางเลย แม้กระทั่งตลอดทั้งชีวิตของพระราชโอรสผู้สืบทอดเชื้อสายโดยตรงก็ยังไม่เคยเห็นสิบสามผู้พิทักษ์บุตรแห่ง์ ในฐานะฮ่องเต้มันเป็ไปไม่ได้เลยที่จะเคลื่อนย้ายผู้พิทักษ์ทั้งสิบสามคนออกจากข้างกายตนโดยพลการ แท้จริงแล้วพี่รองเป็ที่โปรดปรานของตี้จวินมาก... ทำให้คนรอบข้างอิจฉาจริงๆ”
ในชีวิตที่แล้วที่เขาได้พบกับสิบสามผู้พิทักษ์นั้นเป็เพราะตี้จวินกำลังออกสำรวจชายแดนเป็การส่วนพระองค์จึงพาพวกเขาไปด้วยและให้เขาได้เผชิญหน้าบางเป็ครั้งคราว และสุดท้ายจึงได้รู้ว่า แม้จะเป็ในยามที่ตี้จวินทรงประชวรอยู่ก็ตาม ตราบใดที่ยังมีสิบสามผู้พิทักษ์อยู่โดยรอบก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยพระองค์ได้เช่นกัน
“ข้า... เฮ้อ...”
ใบหน้าและหูของอิ้งหลีแดงไปหมด หลับตาลงก่อนจะเบือนหน้าออกไป ยังคงพูดอะไรไม่ออกเช่นเดิม...
“ตี้จวินเป็คนเช่นไรข้าย่อมรู้ดี หากไม่ใช่ผู้ที่เข้าไปอยู่ในหัวใจจริง ๆ ก็คงไม่ดูแลท่านมาจนถึงตอนนี้ พี่รอง ท่าน...”
“ข้ากับเขาอยู่ด้วยกันแล้ว[4]...”
หลังจากพูดจบอิ้งหลีก็กางพัดออกมาบังหน้าตนไว้ รู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี คิดว่าคุณชายอิ้งหลีผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็ผู้ที่ล่องลอยดุจสายลม[5] อ้อยอิ่งอยู่ในดงบุปผาแต่แท้จริงแล้วกลับถูกโดยชายผู้หนึ่ง...
เว่ยซูหานหัวเราะอย่างมีความสุขหลังจากได้ยินเื่นี้ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดวิกฤตนี้ก็จบลง แม้ว่าในภายภาคหน้าเขาจะต้องไปชายแดนก็ไม่ต้องระแวงว่าจะถูกตี้จวินเข้ามาฉกไปกินแล้ว! ไม่ต้องกังวลแล้วว่าในยามที่เขาอยู่ชายแดนเพื่อสร้างผลงานอันทรงคุณค่าให้สำเร็จตี้จวินจะเข้าหาคนรักของเขา
ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่ออิ้งหลีสามารถปรับอารมณ์ของตนได้จึงหุบพัดกลับไป แล้วพูดกับคนที่ยังยิ้มอยู่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“เมื่อครู่เ้ารับปากแล้วว่าจะไม่บอกชิงเอ๋อร์ รอข้าคิดคำพูดและหาโอกาสที่เหมาะสมได้แล้วจะบอกเขาด้วยตนเอง... ในยามนี้ข้ากับตี้จวิน... ความสัมพันธ์ยังไม่ควรเปิดเผย ไม่อาจให้คนในใต้หล้ารับรู้ได้ ดังนั้น... ข้าจึงยังไม่อยากให้คนในตระกูลรับรู้”
“ข้าเข้าใจ...” เว่ยซูหานพยักหน้า “แต่การที่ไม่อาจประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ได้เช่นนี้พี่รองนี่มันไม่เป็ธรรมเกินไปแล้ว...”
อิ้งหลีส่ายหัว
“มันไม่ใช่การไม่ได้รับความเป็ธรรม ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็อะไร... การจะประกาศออกไปในใต้หล้าจำเป็ต้องทำใน่เวลาที่เหมาะสม รอเ้าและชิงเอ๋อร์สามารถเข้าเมืองเทียนซูได้อย่างเปิดเผย รอชิงเอ๋อร์สอบผ่านจนเข้ามาเป็ขุนนางได้ รอเ้าทะยานกลับสู่สมรภูมิด้วยความสำเร็จอันโดดเด่น... ฮ่องเต้ทุกพระองค์ล้วนมีแผนการอันยิ่งใหญ่ของตนเอง ตระกูล แคว้นและใต้หล้าล้วนสงบสุข[6] เจริญรุ่งเรืองตลอดกาล”
“เหล่าขุนนางาุโข้ารับใช้ของเซียนหวง อย่างเช่นท่านราชครูเฒ่า อัครมหาเสนาบดี รวมทั้งเสนาบดีหกฝ่ายและรองเสนาบดีต่างกำลังจะหมดยุคสมัยของพวกเขาแล้ว ใน่หลายปีหลังจากที่ตี้จวินเสด็จขึ้นครองบัลลังก์พระวรกายล้วนประชวรเรื่อยมาทำให้ไม่สามารถดูแลการเมืองการปกครองได้อย่างทั่วถึง ทั้งหมดจึงตกอยู่ภายใต้การดูแลของขุนนางเหล่านี้ ยามที่ผู้าุโเหล่านี้ถอนตัวออกไปและตี้จวินยังไม่มีขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊เป็ของพระองค์เองท่านเคยคิดหรือไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?”
“เกิดความโกลาหล”
เว่ยซูหานพูดออกมาอีกสองสามคำ ชาติที่แล้วท้องพระโรงเกิดความโกลาหลขึ้นหลายครั้งเนื่องจากการประชวรของตี้จวิน แม้ภายนอกจะดูสงบเยือกเย็น แต่ภายในต่างฝ่ายต่างแย่งชิงกัน มีแม้กระทั่งผู้ที่ลอบปล่อยข่าวลือออกมาว่าให้อ๋องฉางอันและอ๋องติ้งหย่วนทั้งสองพระองค์กลับมาสืบทอดบัลลังก์
โชคยังดีที่เหยียนชิงผู้ได้รับแต่งตั้งเป็ราชครูกับเฟิงฉางหลินซึ่งได้ขึ้นเป็เซ่อเจิ้งอ๋องร่วมมือกันเปลี่ยนกระแสน้ำ[7] ประกอบกับในเวลาต่อมาเขาที่อยู่ชายแดนได้เข้ายึดครองเขตแดนสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังได้มอบยารักษาโรคให้กับตี้จวิน ระบอบการปกครองของแคว้นเทียนซูถึงได้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง...
น่าเสียดายที่เหยียนชิงช่วยตี้จวินได้สำเร็จแต่กลับล้มเหลวในการช่วยตระกูลเหยียน ในฐานะที่เป็หนึ่งในตระกูลที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดนับั้แ่การก่อตั้งแคว้นเทียนซูแต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงมหันตภัยแห่งการทำลายล้างนี้ได้ บางทีอาจเริ่มั้แ่ในยามที่นายท่านแห่งตระกูลเหยียนนำป้ายทองอภัยโทษออกมาก็มีกับดักรออยู่เบื้องหน้าแล้ว
อิ้งหลีพยักหน้า
“ใช่ ทุกคนรู้ดีว่าพระวรกายของตี้จวินไม่แข็งแรง หากเหล่าท่านผู้าุโค่อย ๆ ถอนตัวออกไปทีละคน ความโกลาหลในท้องพระโรงย่อมไม่อาจเลี่ยง ดังนั้น ในยามนี้ที่ตี้จวินทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ย่อมต้องค่อย ๆ วางแผนการอย่างลับ ๆ... ซูหาน ตี้จวินกำลังรอให้เ้ากลายเป็แม่ทัพ และรอให้ชิงเอ๋อร์เข้ามารับ่ต่อ”
อันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็เฟิงจิ้งอี้ที่บอกกับเขา แม้ว่าจะไม่ได้บอกอย่างตรงไปตรงมา แต่ความหมายก็เป็เช่นนี้ ทุกครั้งที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้คนผู้นั้นจะกอดเขาและฝังศีรษะลงระหว่างคอก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ
สุดท้ายก็ยังเป็เช่นนี้ ตระกูลเหยียนมีค่าคู่ควรด้วยเป็ตระกูลที่ได้รับการแต่งตั้งจากบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งแคว้น
คราวนี้ถึงคราวของเว่ยซูหานที่ต้องตกตะลึงอย่างรุนแรง ผ่านไปสักพักจึงยกมือขึ้นแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
“เช่นนั้นพี่รองท่านควรถือโอกาสนี้ไปบอกตี้จวิน ข้าจะปกป้องความสงบสุขของแคว้นเทียนซูจากาที่ชายแดน... และสิ่งที่ข้า้าก็คือการฟื้นฟูตระกูลเว่ยขึ้นมาใหม่ ผลสุดท้ายจะเป็อย่างไรข้าขอรับผิดชอบเอง ขอแค่ให้พระองค์ให้โอกาสข้าก็พอ”
ยิ่งได้รับโอกาสเร็วขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อพวกเขามากขึ้นเท่านั้น
อิ้งหลียกมือขึ้นมาตบไหล่ของเขา “พระองค์จะต้องเห็นด้วย”
หากคนฉลาดอย่างเฟิงจิ้งอี้ปราศจากความตระหนักรู้ในเื่นี้เขาก็คงไม่กล้าใกล้ชิดกับตระกูลเหยียนมากถึงเพียงนี้ และเพื่อที่จะไม่ให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงมากเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องทำจึงต้องค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างสมเหตุสมผล พวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจน เฟิงจิ้งอี้ก็ย่อมมองเห็นมันเช่นกัน
เหยียนชิงผล็อยหลับไปบนผ้าห่มด้วยความง่วงงุน แต่กลับหลับไม่สนิทนัก จนกระทั่งเว่ยซูหานขึ้นรถม้ามาแล้วกอดเขาไว้ในอ้อมแขนถึงได้รู้สึกสบายขึ้น ขยับตัวหาท่าที่สบายอีกเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นมาทั้งที่ยังหลับตาอยู่ว่า
“คุยอะไรกับพี่รองเหตุใดจึงนานเช่นนี้?”
เว่ยซูหานจุมพิตลงบนมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดีของเขา “ความลับเล็ก ๆ น้อย ๆ เ้าจะได้รู้ในวันหน้า”
คนที่หลับตายกมือขึ้นโบกเบา ๆ “ได้ ข้าจะนอน เมื่อคืนเหนื่อยเกินไปแล้ว...”
“ขอโทษ เมื่อคืนข้ามีความสุขมากจนอดไม่ได้...”
“คนขี้โกง...”
เชิงอรรถ
[1] ขนมฟางเกา (方糕) คือขนมทรงสี่เหลี่ยม เป็อาหารว่างพื้นเมืองของชาวฮั่น ทำมาจากข้าวเหนียวโดยผิวชั้นนอกเป็ข้าวเหนียว แต่ข้างในมีไส้หลายประเภทเช่น งา ถั่วแขก พุทรา ถั่วแดงและดอกหอมหมื่นลี้ หากเทียบกับขนมไทยจะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายขนมเปียกปูน
[2] บุตรแห่ง์ (天子) เป็คำอุปมาถึงฮ่องเต้หรือจักรพรรดิ ด้วยในสมัยโบราณเชื่อกันว่าอำนาจของฮ่องเต้หรือจักรพรรดิได้รับมาจาก์ดังนั้นฮ่องเต้หรือจักรพรรดิจึงได้ชื่อว่าเป็บุตรแห่ง์
[3] ราชองครักษ์ (御前侍卫) คือเป็นายทหารชั้นสูงในหน่วยงานส่วนราชการในพระองค์ มีหน้าที่ถวายพระเกียรติ ถวายความปลอดภัย และ ถวายงานตามพระราชประสงค์ของฮ่องเต้
[4] อยู่ด้วยกัน (在一起) หมายความว่าคบกัน เป็แฟนกัน
[5] ล่องลอยดุจสายลม (风流潇洒) อุปมาถึงคนที่มีความร่าเริง โรแมนติก และเป็คนที่มีอิสระ
[6] ตระกูล แคว้น และใต้หล้าล้วนสงบสุข (家国天下) เป็การอุปมาถึงความสงบสุข โดยการบอกว่าหากปลูกฝังในครอบครัวที่ดี คนในครอบครัวก็จะอยู่อย่างในระเบียบ เมื่อครอบครัวอยู่ในระเบียบประเทศก็จะเป็ระบบ เมื่อประเทศเป็ระบบแล้วโลกก็จะสงบสุข
[7] เปลี่ยนกระแสน้ำ (力挽狂澜) หมายถึงความพยายามกอบกู้สถานการณ์ที่อันตรายและพลิกสถานการณ์จากความพ่ายแพ้ให้เป็ชัยชนะขึ้นมาได้
