หลินลั่วหรานพาเสี่ยวตงไปยังคฤหาสน์ที่เขาเซียงชาน
ยังคงเป็กระท่อมหญ้าคาเช่นเดิม ในตอนที่หลินลั่วหรานวางขวดที่บรรจุ “ยาฟื้นฟู” เอาไว้สิบเม็ดลงบนโต๊ะคอของคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างกัวเหล่าก็แดงขึ้นมา
“นี่จะทำอะไร...ฉันไม่ได้อยากจะได้ยาพวกนี้ของหนูหรอกนะ!”
หลินลั่วหรานยิ้มพร้อมทั้งตอบว่าใช่ แต่กลับไม่ยอมรับ “ยาฟื้นฟู” กลับมาหลังจากที่เธอทำการขายยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และบอกว่าจะไม่ทำยาอีกใน่นี้ “ยาฟื้นฟู” ที่สามารถใช้ช่วยชีวิตได้ใน่เวลาสำคัญๆก็มีราคาสูงขึ้นมาก
เมื่อเกิดเื่เหล่านี้ขึ้นคนที่มาแลกเปลี่ยนยากับหลินลั่วหรานไปต่างก็หัวเราะเยาะว่าเธอนั้นขาดทุนแล้วแต่มีเพียงตัวเธอเองเท่านั้น ที่รู้ว่าความจริงนั้นเธอได้กำไรมามากแล้ว ความจริงใจเธอสามารถทำธุรกิจได้อย่างช้าๆ ด้วยความพยายามของตัวเอง เมื่อเข้าไปมีอำนาจในพม่าและได้เป็หุ้นส่วนของเหมืองแร่ หรือได้เป็ผู้อยู่เื้ัเมื่อไร เท่านี้เธอก็จะมีแหล่งหยกไม่ขาดแล้ว
แต่ว่าแบบนี้ ในตอนที่กำลังเริ่มต้นหลินลั่วหรานก็ไม่อาจจะแยกตัวออกมาคนเดียวได้ เพราะว่ามันจะทำให้การฝึกล่าช้าลงและอีกอย่าง เธอไม่ขายยาออกไปในวงกว้างแล้วจะทำให้ทั่วโลกแห่งการฝึกศาสตร์รู้ได้อย่างไรว่าเธอสามารถทำยาได้...และน่าจะเป็ระดับพื้นฐานเพียงคนเดียวที่สามารถทำยาได้ด้วย
ถ้าไม่มีระดับพื้นฐาน ทุกคนก็คงจะจับเธอไปเลี้ยงก็ได้แล้ว
แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่เธอจะมีระดับพื้นฐานแต่เธอยังมีการจำกัดการขายยาด้วย ทำให้ทุกๆคนต่างก็สามารถซื้อยาได้...จับเธอไปแล้วจะได้อะไร ตอนนั้นทุกอย่างก็จะเกี่ยวพันกันสู้ไม่จับเธอ ก็น่าจะมีการกระจายยาได้มากกว่าเสียอีก!
นี่คือความระมัดระวังของหลินลั่วหราน เธอพยายามหาวิธีที่ทำให้เื่สกปรกๆเหล่านี้เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด และทำให้เธอและคนในครอบครัวสามารถฝึกศาสตร์ได้สบายๆ
มู่เหล่าหัวเราะขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัด “กัวเหล่าท่านรับมันไว้เสียเถอะ อย่างไรก็เป็ความหวังดีของเธอนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นกัวเหล่าจึงได้ยอมรับไว้ยาระดับสองขั้นสูงอย่าง “ยาฟื้นฟู” นั้นก็สามารถที่จะใช้รักษาอาการาเ็ของนักปราชญ์ระดับพื้นฐานได้แล้วแม้ว่าอาการาเ็ของเขาจะหนักมากแต่ยาเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้เขาสามารถอดทนได้นานขึ้นสักพัก
ใครๆ ต่างก็พูดว่าไม่มีใครที่อยู่ไปโดยไร้จุดหมาย ขอเพียงแค่มีความหวังใครจะไม่อยากมีชีวิตต่อไป?
คนแก่ทั้งสองต่างก็ชอบหลินลั่วตงที่แม้ว่าจะขี้อายแต่ก็มีมารยาทคนนี้โดยเฉพาะมู่เหล่า เมื่อเห็นหลินลั่วตงที่มีพื้นฐานพลังธาตุดินเดี่ยวแววตาของเขาก็เป็ประกายขึ้นมาแล้ว หากว่าไม่ใช่เพราะเกรงใจอาจารย์ของหลินลั่วหรานเขาก็คงจะออกปากขอรับเขามาเป็ศิษย์เองแล้ว
เขาถามขึ้นอย่างสงสัยว่าทำไมถึงไม่ให้ลั่วตงฝึกศาสตร์หลินลั่วหรานจึงบอกว่าจะรอให้เขาอายุครบสิบแปดแล้วค่อยให้เลือกด้วยตัวเองคนแก่ทั้งสองต่างก็มองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกใจทำเอาหลินลั่วหรานรู้สึกราวกับมีดอกไม้งอกขึ้นมาบนใบหน้าของตัวเอง
“หนูควรจะรู้นะ ปกติแล้วอายุแปดปีก็จะเริ่มแยกแยะธาตุได้เพียงเท่านี้ก็ทำให้ใครหลายๆ คนไม่อยากจะอดใจรอแล้วพวกเขาอยากจะเริ่มฝึกศาสตร์ั้แ่อยู่ในท้องแม่เสียด้วยซ้ำ...คงมีแต่หนูนี่แหละที่ไม่สนใจ่เวลาไม่กี่ปีนี้ แต่กลับกังวลว่าจะต้องมาเสียใจภายหลัง มุมมองของหนูกว้างเสียยิ่งกว่าพวกฉันเสียอีก”
คำพูดของเขาทำเอาหลินลั่วหรานประหลาดใจขึ้นมาเธอก็เพิ่งจะรู้ว่าสามารถแยกธาตุได้ตอนอายุแปดปีจากปากของมู่เหล่านี่แหละแล้วจะไปมีเื่มุมมองได้อย่างไร หากจะพูดถึงเื่ที่ต่างไปจากคนอื่นแล้วก็น่าจะเป็เื่ของการสั่งสอนเด็กของเธอเสียมากกว่า เธอยังคงยืนหยัดอยู่กับความคิดที่เป็ประชาธิปไตยอยู่เธอหวังว่าตัวเองจะทำเป็ชี้นำแต่เส้นทางชีวิตนั้นก็ยังคงขึ้นอยู่ที่ตัวเด็กเป็คนเลือกเอง
เพราะว่าทั้งสองต่างก็มีระดับพื้นฐานสถานการณ์ในตอนนี้เปลี่ยนจากตอนแรกที่ได้รับคำชี้นำจากคนแก่ทั้งสองมาเป็คนที่สามารถพูดฟังได้ จนมีเื่ได้พูดคุยกันมากมาย
เมื่อคำนวณเวลาแล้ว ไม่ถึงสี่ปี หลินลั่วหรานเองก็ไม่ใช่คนอย่างอวี้เิเธอศึกษาสารานุกรมเกี่ยวกับการฝึกศาสตร์ของนักปราชญ์ระดับรวมพลังจากท่านเทพป๋ายมานานแล้วทำให้เมื่อได้มาพูดคุยกกับคนแก่ทั้งสองอีกครั้ง นอกจากการรับฟังเธอก็สามารถพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมาได้แล้วทำให้มู่เหล่าต้องคิดอะไรอย่างตั้งใจ
ทั้งสามคนดื่มเหล้าพูดคุยกันไป เหล้านี่เหรอมันคือเหล้าลิงหมักที่หลินลั่วหรานได้มาจากลิงแก่จริงๆ แม้ว่าเหล้าที่เธอหมักขึ้นมาเองจะมีฤทธิ์พลังเช่นกันแต่ว่ามันกลับขาดกลิ่นหอมที่เกิดขึ้นจากการหมักตามระยะเวลาไปและนี่ก็เป็ครั้งแรกที่หลินลั่วหรานรู้สึกไม่พอใจกับพื้นที่ลึกลับขึ้นมาสำหรับพืชที่มีชีวิตแล้ว เพียงวันเดียวมันก็สามารถสุกงอกขึ้นมาได้แต่สำหรับของไม่มีชีวิตหรือพวกผักผลไม้ที่ห่างออกมาจากดินแล้วมันก็จะถูกเก็บปกป้องเอาไว้ราวกับอยู่ในตู้เย็น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไรแต่อายุของเหล้าจึงไม่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เหล้าลิงหมักนั้นหมักขึ้นมาจากผลไม้ ทำให้มันไม่ทำให้คนมึนเมากลิ่นหอมของมันทำให้เหล่ากระรอกตัวน้อยพากันะโโลดเต้นอยู่บนกิ่งไม้แต่กลับไม่กล้าลงมาง่ายๆ
เพราะว่าการพูดคุยของพวกเขานั้น ไม่อาจจะหลบจากลั่วตงได้ทำให้เขาทำตัวเป็เด็กรินเหล้าไปพร้อมกับรับฟังไปด้วย
ที่แท้ คนที่อยากจะศึกษาเวทมนตร์วิเศษที่เขาอยากจะเรียนรู้นั้นก็จำเป็จะต้องมีพื้นฐานพลังก่อน?
ตัวเขานั้นเป็ธาตุดิน...ลั่วตงไม่ได้รู้ว่าพื้นฐานพลังเดี่ยวนั้นมีความ้ามากแค่ไหนแต่กลับดีใจขึ้นมาจากใจจริงเพราะได้รู้ว่าตัวเองก็มีพื้นฐานพลัง
ที่แท้คนที่ฝึกอยู่ในระดับเดียวกันกับพี่สาว หรือก็คือ “ระดับพื้นฐาน” ที่พวกเขาพูดถึงกันไม่เพียงแต่สามารถใช้เวทมนตร์ได้มากขึ้นเท่านั้นแต่ยังสามารถบังคับสิ่งที่ไม่อยู่ในทั้งห้าธาตุได้อีกด้วย?
ไม้กลายเป็ป่า ป่าสร้างลม หรือว่าไฟเจอน้ำเกิดลมอะไรพวกนั้นหลินลั่วตงฟังไปด้วยความมึนงง จึงทำให้เพียงจดจำมันเอาไว้ในใจ สรุปก็คือเื่เดียวที่เขาเข้าใจก็คือ ตอนนี้พี่หลินของเขานั้นสุดยอดมากแม้ว่าจะไม่ขี่เสี่ยวจิน ก็สามารถร่าย “เวทควบคุมลม” อะไรสักอย่าง ในการบินขึ้นไปบนฟ้าได้แล้ว!
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ เหล่ากระรอกตัวน้อยต่างก็พากันหมดความอดทนพวกมันมองไปยังเหล้าที่ไม่ได้กิน ก่อนที่จะถือลูกสนกลับรังไป พร้อมกับแสดง “ความโมโห” ออกมา
ในที่สุด หลินลั่วตงก็เริ่มง่วงขึ้นมาแล้ว...
“มู่เหล่า ท่านช่วยดูแลเสี่ยวลั่วตงให้หน่อยได้ไหมคะ?” เมื่อหลินลั่วหรานเห็นว่าเขาหลับไปแล้ว ก็ถามขึ้นมาเบาๆ
มู่เหล่าตั้งใจถลึงตาขึ้น “ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเสียหน่อย...”
“เหล้าลิงหมักหนึ่งขวด!” หลินลั่วหรานปล่อยไม้ตายออกมา
“สามขวด!” มู่เหล่านั่งนิ่งดูท่าทางสง่ามีราศีมาก
“สองขวด...ไม่ได้ก็ไม่เป็ไรค่ะ”
“โอเค ตกลง!”
ทั้งสองต่างก็พอใจในผลลัพธ์ ไม่ว่าอย่างไรหลินลั่วหรานก็ตั้งใจจะเอาเหล้ามาให้เขาอยู่แล้วพูดแค่สองประโยคก็น้อยลงไปหนึ่งขวดแล้ว ดีจะตายแต่มู่เหล่ากลับกำลังภาคภูมิใจในตัวเอง เดิมทีเขาก็ตั้งใจจะเอาแค่สองขวดอยู่แล้วเสี่ยวหลินจึยังจะคิดว่าตัวเองต่อรองชนะแล้วอีกต่างหาก ฮ่าๆสุดท้ายแล้วขิงแก่ก็เผ็ดกว่าอยู่ดี!
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานจะอาศัยความมืดเดินออกไปในใจของมู่เหล่าก็เข้าใจทันที แต่กัวเหล่ากลับพูดออกมา “กล่อมเด็กนอนแล้ว จะไปไหนเสียล่ะ?”
หลินลั่วหรานเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา “ฉากเืสาดไม่เหมาะกับเด็กน่ะค่ะท่านว่าหนูจะไปไหนล่ะ”
กัวเหล่าพยักหน้าลงโดยไม่พูดอะไรต่อนิสัยของเขานั้นดูเหมือนกับนักดาบพเนจรในสมัยก่อน ฝึกศาสตร์แล้วจะทำไมล่ะหากฝึกแล้วไม่สามารถจัดการกับเื่บุญคุณความแค้น กินเนื้อคำโตดื่มเหล้าชามใหญ่ได้ เทพอะไรนี่ ก็ไม่อยากจะฝึกแล้ว!
“จัดการเศษเล็กเศษน้อยแบบนี้ จะใช้เวลาเท่าไร? เราจะรอหนูกลับมากินเหล้าด้วยกันต่อนะมา มาดื่มแก้วนี้ให้หมดก่อน!” กัวเหล่าเปิดประเดิมด้วยการยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดก่อน
หลินลั่วหรานเองก็ยกขึ้นดื่มเช่นกัน ความจริงแล้วเธอนั้นเ็ปใจมากรู้แบบนี้เอาเหล้าที่หมักเองมาั้แ่ทีแรกน่าจะดีกว่า เหล้าลิงหมักแบบนี้ถ้าอยากจะได้อีกก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากที่ไหนแล้ว
พวกเขานั้นมองว่าตระกูลโจวก็เป็เหมือนกับหมัดตัวหนึ่งดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไร
แต่ในทางฝั่งตระกูลโจวนั้น มือของนายทหารโจวขาวซีดขึ้นเพราะการออกแรงบีบลงที่โทรศัพท์
“เขาว่ายังไงบ้าง?” ดวงตาของคุณนายโจวแดงก่ำก่อนจะถามขึ้น
นายทหารโจวส่ายหน้าไปมา “เขาบอกว่าั้แ่ที่เวยเอ๋อร์ขับรถชนฉินเป่าเจีย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณปู่ก็จบลงที่ตรงนั้นแล้ว”
คุณนายโจวสิ้นหวังขึ้นมา ก่อนที่จะโมโห “จบลง? ตอนที่คุณปู่แบกเขาออกมาจากกองศพในตอนนั้นเขาคิดอยากจะให้มันจบมันก็จบเหรอ? ...คนในตระกูลฉินที่แท้ก็เหมือนกับเด็กสาวทุเรศอย่างฉินเป่าเจียคนนั้น ไม่ได้มีจิตใจดีๆ เลยสักนิดเวยเอ๋อร์ชอบเธอขนาดนั้น ถ้าเธอตอบรับเขาั้แ่ทีแรกเธอก็คงจะเป็สะใภ้ของตระกูลโจวไปแล้ว แล้วเวยเอ๋อร์ของฉันก็คงจะไม่ตาย...”
“พอได้แล้ว!” นายทหารโจวขัดคำพูดของคุณนายโจวขึ้นและในเวลาเดียวกันเพราะว่าเขาใช้แรงมากเกินไปเส้นเืที่คอของเขาจึงปรากฏขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด “เธอยังจะพูดแบบนี้ได้อีกเหรอถ้าว่าไม่ใช่เพราะว่าความสัมพันธ์ตรงนี้ไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลฉินอยู่เกือบทุกวันพวกเขาจะหนีจากงูพิษอย่างเธอได้อย่างไรแล้วยังจะพยายามหาทางสู่ขอหลานสาวของเขามาอีก? ถ้าจะพูดกันตรงๆแล้ว คนที่ทำร้ายเวยเอ๋อร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็เธอที่โง่เขลาคนนี้แหละ!”
คนที่ทำร้ายเวยเอ๋อร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็เธอที่โง่เขลาคนนี้แหละ
ประโยคนี้เป็ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมายังตัวของคนที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายอย่างคุณนายโจว
ริมฝีปากของเธอซีดเซียว มือไม้ของเธอสั่นไปหมด สุดท้ายเธอก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเลี้ยงลูกชายมาให้เสียคนตอนนี้ดูเหมือนว่า มันจะไม่มีทางให้ถอยหนีไปไหนแล้ว
“ใช่แล้ว ฉันจะไปหาอาจารย์ของเวยเอ๋อร์ เป็ไง?” แม้ว่าจะรู้สึกว่าการตายของลูกชายนั้นอาจารย์ลึกลับคนนั้นเองก็ควรจะรับผิดชอบครั้งใหญ่ แต่ในระหว่างที่กำลังไร้หนทาง เขาก็ยังคงหวังว่าอาจารย์เก่งกล้าที่ลูกชายของเขาพร่ำบอกจะสามารถช่วยพวกเขาให้ผ่านมันไปได้
เขาเลิกคิ้วขึ้นมองคุณนายโจว คุณนายที่เคยมีท่าทางสูงส่งในวันวานตอนนี้ใบหน้าของเธอซีดเซียว ก่อนส่ายหน้าไปมา...
มือที่ถือบุหรี่เอาไว้ของนายทหารโจวนั้นสั่นไหว เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตระกูลโจวของเขา จะเดินมาถึงตรงนี้ได้
พวกผู้ฝึกศาสตร์พวกนั้น แข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
สิ่งที่ตอบกลับเขามาในความมืดมิดคือสายตาเ็าของหลินลั่วหรานที่ทิ้งลงมาจาก้าของคฤหาสน์ตระกูลโจว