สำหรับเคล็ดวิชาเก้าดาบทลายคลื่นนั้น มู่เฟิงเล็งเห็นว่ามู่ขวงสามารถฝึกฝนมันได้ แม้วรยุทธ์ของเด็กหนุ่มจะยังไม่ดีเท่าเขา แต่พลังะเิของมู่ขวงก็ไม่นับว่าอ่อนแอ อย่างน้อยการฝึกวิชาเก้าดาบทลายคลื่นก็สามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอีกฝ่ายได้
มู่เฟิงขบคิดกับตัวเอง ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ทอดถอนใจให้กับความล้ำค่าของหยกเทพชูร่า ภายในตระกูลมู่มีทักษะวิชาระดับธาตุทองขั้นสูงเพียงไม่กี่วิชาเท่านั้น แต่ภายในหยกเทพชูร่านี้กลับสามารถนำมันออกมาได้โดยไม่ต้องใส่ใจด้วยซ้ำ
สำหรับทักษะพลังปราณระดับนิลกาฬ ภายในอาณาจักรหนานหลิงมีเพียงราชวงศ์และสำนักศึกษาราชวงศ์เท่านั้นที่มี ซึ่งนี่เป็เหตุผลที่ผู้คนมากมาย้าเข้าไปศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ เพราะสถานที่แห่งนั้นจะเป็เพียงสถานที่แห่งเดียวในอาณาจักรหนานหลิงที่พวกเขาจะสามารถเรียนรู้และฝึกฝนทักษะวิชาระดับนิลกาฬได้
มู่เฟิงทำการจดจำวิชาดาบทั้งสองวิชาที่ซีเยว่ถ่ายทอดเข้ามาในหัวของเขา รวมถึงวิชาดรรชนีด้วย จากนั้นทั้งเขาและมู่ขวงก็ทำการฝึกอยู่ในเทือกเขาอันหนานต่อไป
นับเป็เวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่เด็กหนุ่มทั้งสองขึ้นเขามาฝึกวิชา คาดไม่ถึงว่าคนในตระกูลมู่จะไม่มีใครเป็กังวลเื่ความปลอดภัยของพวกเขาเลย เื่นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย
สองวันถัดมา ขอบเขตการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มทั้งสองยังคงอยู่ใกล้ๆ กับเส้นแบ่งเขตแดนที่จะพาไปยังส่วนลึกของป่า เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในรัศมีสิบลี้นั้นถูกพวกเขาสังหารลงทุกวัน
เวลานี้มู่เฟิงสามารถควบแน่นเส้นโลหิติญญาจุดที่สิบสองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
สัตว์อสูรในบริเวณโดยรอบล้วนถูกพวกเขาล่าสังหารไปจนหมด ตอนนี้ความแข็งแกร่งของคนทั้งสองได้พัฒนาขึ้นเป็อย่างมาก ด้านมู่ขวงเองก็เกือบจะทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่ได้แล้ว ร่างกายของเขานั้นแกร่งขึ้นมาก เช่นเดียวกับทักษะการเคลื่อนไหวของเขาที่คล่องตัวขึ้นไม่น้อย
เด็กหนุ่มทั้งสองร่วมมือกันล่าสังหารสัตว์อสูรระดับจื่อฝู่อย่างง่ายดาย และพวกเขาก็ได้มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกไปอีกหลายสิบลี้
มู่เฟิงคิดว่าการขึ้นเขาในครั้งนี้ขอเพียงสามารถฟื้นฟูเส้นลมปราณทั้งสิบสองจุดและสามารถฟื้นฟูจุดตันเถียนส่วนกลางของเขากลับคืนมาได้ก็นับว่าเป็เื่ดีที่สุดแล้ว
หลังจากที่มู่เฟิงและมู่ขวงมุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึกได้ไม่นาน พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงการต่อสู้ เด็กหนุ่มทั้งสองจึงหยุดฝีเท้าลงในทันที จากนั้นพวกเขาก็ลอบขยับเข้าไปใกล้ๆ ตามทิศทางที่มาของสียง
ภายในผืนป่าสนมีกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด กระทั่งเสียงการปะทะกันของอาวุธมีคมยังดังก้องกังวานเสียดหู
คนกลุ่มนี้มีจำนวนทั้งหมดสิบคน โดยสามารถแยกระหว่างทั้งสองฝ่ายได้จากเสื้อผ้าของพวกเขา ฝั่งหนึ่งมีจำนวนหกคน พวกเขาล้วนสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ส่วนฝั่งที่มีจำนวนสี่คน พวกเขาล้วนสวมใส่เสื้อเกราะคล้ายทหารรับจ้าง
ในบรรดาคนทั้งสองฝ่าย ระดับวรยุทธ์ของผู้นำของพวกเขาต่างอยู่ในระดับจื่อฝู่ ส่วนวรยุทธ์ของคนที่เหลือล้วนอยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้า
ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด พลังปราณของผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่นั้นทรงพลังเป็อย่างมาก ตอนนี้บรรยากาศในการต่อสู้ของพวกเขาก็กำลังร้อนระอุ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำถือกระบี่ยาวสีขาวเอาไว้ในมืออย่างตั้งมั่น แม้ใบหน้าของเขาจะดูธรรมดา แต่ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นกลับส่องประกายเย็นะเื
ส่วนชายร่างกำยำอีกคนนั้นมีใบหน้าหยาบกระด้าง ทั้งยังเต็มไปด้วยหนวดเครา ในมือของเขาถือมีดพร้าเล่มหนาและกำลังเข้าไปต่อสู้โรมรันกับชายชุดดำอย่างดุเดือด
ฉัวะ!
กระบี่ในมือของชายชุดดำเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว มันว่องไวจนไม่อาจจับทิศทางการเคลื่อนไหวได้ ่เวลาเดียวกันนั้นคมกระบี่ก็ได้พุ่งไปที่ลำคอ หัวไหล่ และทรวงอกของชายร่างกำยำถึงสามตำแหน่ง
ใบหน้าของชายร่างกำยำซีดเผือด ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการใช้มีดพร้าในมือสกัดกั้นคมกระบี่ที่พุ่งมายังลำคอของตน แต่ท้ายที่สุดกระบี่เล่มนั้นกลับยังคงแทงเข้าที่จุดตายของเขา
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ เขาพบว่าคมกระบี่ที่แทงมายังลำคอของตนนั้นแท้จริงแล้วเป็เพียงเงาของกระบี่ที่ไม่มีจริง กระทั่งคมกระบี่ที่เขาใช้ดาบสกัดกั้นเมื่อครู่ก็ยังเป็เพียงอากาศเท่านั้น
ส่วนคมกระบี่ของจริงนั้นคือกระบี่ที่กำลังเจาะทะลวงผ่านหัวไหล่ของเขาจนเืไหลทะลัก
“ต่ำทราม!”
ชายร่างกำยำคำรามออกมาอย่างกริ้วโกรธ เขาแกว่งมีดออกมาในทันใด แสงของคมมีดส่องประกาย พร้อมกับที่ปราณมีดกวาดไปทางชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำ
ชายในชุดคลุมสีดำแสยะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน ร่างกายของเขาสามารถหลบหลีกการโจมตีได้อย่างคล่องแคล่ว ส่งผลให้ปราณมีดนั้นเฉียดผ่านร่างของเขาไป ก่อนจะตัดผ่านลำต้นของต้นสนที่อยู่ไม่ไกลจนขาดออกเป็สองท่อน
ชายร่างกำยำกุมหัวไหล่ของตัวเองก่อนจะก้าวถอยออกไปสองก้าว
“อ๊าก…!”
ฉับพลันนั้นเสียงกรีดร้องก็ได้ดังขึ้น ทหารรับจ้างผู้หนึ่งถูกปิดล้อมโดยชายในชุดคลุมสีดำสองคน เขาถูกคมกระบี่แทงที่ทรวงอกก่อนจะทรุดตัวลงนอนจมกองเื ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีแรงพอที่จะต่อสู้ได้อีกแล้ว
“โก่วจือ!”
เมื่อเห็นฉากนั้น ชายร่างกำยำพลันเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม เขาพุ่งทะยานตัวไปข้างหน้าพร้อมกวาดมีดในมือปลดปล่อยพลังปราณออกมา ส่งผลให้ชายในชุดคลุมสีดำทั้งสองคนถูกบีบให้ต้องล่าถอยออกไป จากนั้นทหารรับจ้างอีกสองคนก็เข้าไปพยุงร่างของคนเจ็บขึ้นมา
ตอนนี้ทหารรับจ้างทั้งสี่คนได้ถอยกลับมารวมกลุ่มเพื่อตั้งหลักกันอีกครั้ง ในบรรดาพวกเขามีหนึ่งคนาเ็สาหัส ส่วนอีกสามคนก็ได้รับาเ็เล็กๆ น้อยๆ
ทางฝั่งชายชุดดำทั้งหกคนก็ได้มองไปยังอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยาม และกล่าวเย้ยหยันว่า “จ้าวเชิน รีบส่งผลชิงหยวนที่เ้าได้รับมาเสีย ไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเ้าอย่าได้คิดว่าจะหนีรอดไปได้”
“หวังลิ่วผิง เ้าคนบัดซบ เ้ากล้าคิดสังหารกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าของพวกข้าเชียวรึ กลุ่มทหารรับจ้างของเ้าไม่กลัวว่าจะเกิดาระหว่างสองฝ่ายเลยหรืออย่างไร?”
ชายร่างกำยำคำรามออกมาด้วยความโกรธ
“ถูกต้อง กว่าพวกข้าจะได้ผลชิงหยวนนี้มาก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด เหตุใดต้องมอบให้พวกเ้าด้วย”
ในบรรดาคนทั้งสี่มีสตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่งรวมอยู่ด้วย สตรีผู้นั้นอยู่ในวัยยี่สิบปี นางมีใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ คิ้วโค้งโก่งเรียวยาว ริมฝีปากเล็กบางแดงก่ำเหมือนผลอิงเถา* นับว่าเป็สตรีที่มีใบหน้าสวยหยาดเยิ้มผู้หนึ่ง นางสวมใส่กระโปรงสั้นที่ทำมาจากหนังสัตว์ เผยให้เห็นขาเรียวยาวขาวผ่องดั่งหยก
(*ผลเชอร์รี่)
“เฮอะ กลุ่มหมาป่า กลุ่มหมาป่าของพวกเ้าจะนับเป็อะไรได้ พวกข้าพยัคฆ์เหลืองไม่เกรงกลัวพวกเ้าหรอก หยุดพูดเื่ไร้สาระและส่งผลชิงหยวนมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้น พวกเ้าจะต้องตายอยู่ที่นี่กันทั้งหมด”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวเสียงเย็น
“เ้า…”
ใบหน้าของคนทั้งสี่แสดงออกถึงโทสะที่มี แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งกว่า อีกทั้งในกลุ่มพวกเขายังมีคนที่ได้รับาเ็สาหัสอยู่ด้วย
ชายร่างกำยำชำเลืองมองสหายร่วมกลุ่มที่กำลังาเ็ ก่อนจะกัดฟันพูดขึ้นว่า “เอาละ ข้าจะมอบผลชิงหยวนให้พวกเ้า แต่พวกเ้าต้องปล่อยสหายทั้งสามคนของข้าไปก่อน!”
“ไม่ได้นะพี่เชิน เราต้องไปด้วยกัน!”
คนอื่นรีบแย้งขึ้นอย่างกังวล
“เสี่ยวถิง เ้าฟังข้า เวลานี้โก่วจือกำลังาเ็สาหัส จำเป็ต้องส่งตัวไปรักษาในตัวเมือง พวกเ้าไปก่อน แล้วข้าจะตามไป”
จ้าวเชินส่ายหัวพร้อมกับบอกกล่าวเหตุผล
จากนั้นเขาก็หันมองไปที่ชายวัยกลางคนอีกครั้ง และพูดอย่างเ็าว่า “หวังลิ่วผิง เ้าปล่อยสหายของข้าไปเสีย หลังพวกเขาจากไปแล้ว ข้าจะให้ผลชิงหยวนแก่เ้า”
“ฮ่าๆ ๆ ย่อมได้ แต่ข้าจะปล่อยไปเพียงสองเท่านั้น สตรีผู้นี้ต้องอยู่ก่อน”
การได้พบสตรีหน้าตางดงามในสถานที่เช่นนี้ เขาจะยอมปล่อยนางไปได้อย่างไร
“สารเลว ไม่มีทาง เ้าต้องปล่อยพวกเขาไปก่อนแล้วข้าจะมอบของให้เ้า!”
จ้าวเชิงตวาดออกมาเกรี้ยวกราด เขาตระหนักได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
ห่างออกไปราวยี่สิบเมตร มู่เฟิงและมู่ขวงกำลังก้มหมอบอยู่ในพุ่มไม้ แน่นอนว่าพวกเขาได้ยิน และเห็นเื่ทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน
“ชายมีเคราผู้นั้นมีคุณธรรมมาก พี่เฟิง เราควรช่วยพวกเขาดีหรือไม่”
มู่ขวงเอ่ยถาม
เห็นได้ชัดว่ามู่ขวงนึกชื่นชมในคุณธรรมของชายมีเคราเป็อย่างมาก ทั้งยัง้าช่วยเหลืออีกฝ่ายด้วย
มู่เฟิงเองก็นึกชื่นชมจ้าวเชินอยู่เช่นกัน แต่ความแข็งแกร่งของคนทั้งหกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอเลย ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่รวมอยู่ด้วย สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความลังเลขึ้นมา เขาไม่สามารถพาน้องชายของตัวเองพุ่งเข้าไปหาอันตรายได้
“จ้าวเชิน ว่าอย่างไร เ้าพิจารณาเื่นี้ดีแล้วหรือยัง?”
หวังลิ่วผิงแสยะยิ้ม
“ต้าหู เ้าพาโก่วจือออกไปก่อน ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่กับพี่ใหญ่จ้าว”
สตรีผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
“ไม่ได้ การที่คนพวกนั้น้าให้เ้าอยู่ที่นี่ต่อย่อมไม่ใช่เื่ดีแน่! ข้าเองก็จะไม่ไปไหนเช่นกัน”
ต้าหูปฏิเสธ
“หวังลิ่วผิง เ้าคนสารเลว”
จ้าวเชินกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ
“ฮึ่ม ในเมื่อข้าให้โอกาสแล้วเ้ากลับปฏิเสธ เช่นนั้นก็อย่าได้โทษพวกข้าที่ต้องลงมือเลย จัดการเสีย สังหารผู้ชายทิ้งให้หมด หึๆ...”