“อะไรหรือเ้าคะ?” เจินจูถามด้วยความประหลาดใจ
หวงถิงเฉิงลังเลขึ้นมาเล็กน้อย เกาศีรษะมองซ้ายแลขวา ทำท่าอ้าปากกำลังจะกล่าวอะไรแล้วก็หยุดลงไปอีก
เจินจูขมวดคิ้ว “พี่เขยใหญ่ มีเื่อะไรก็ลองกล่าวออกมาตามตรงได้เลยเ้าค่ะ ท่านก็รู้นี่ เื่ในบ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็ข้าที่ตัดสินใจ หากท่านไปเอ่ยกับท่านพ่อหรือท่านแม่ของข้า พอท่านหันหลังไปพวกเขาก็ต้องบอกข้าอยู่ดีนะเ้าคะ”
“แหะๆ” หวงถิงเฉิงหัวเราะอย่างวางตัวไม่ถูก “คืออย่างนี้ วันนี้ตอนกลางวันที่ข้าไปซื้อปลา ผ่านโรงน้ำชาของตลาด ได้ยินฟู่เหรินผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายแม่สื่อกำลังกล่าวเื่ของครอบครัวเ้า ความหมายในคำพูดล้วนใช้คำประชดประชันทั้งสิ้น กล่าวในทำนองว่าครอบครัวพวกเ้าธรณีประตูสูงนัก [1] แม้แต่ครอบครัวร่ำรวยในอำเภอก็ไม่อยู่ในสายตา ต่อไปผู้ใดจะกล้าเป็แม่สื่อให้ครอบครัวเ้า”
ในความเป็จริงแม่สื่อเ่าั้กล่าวกันได้ไม่น่าฟังยิ่งกว่านี้เสียอีก ในทำนองที่ว่าเด็กสาวของครอบครัวร่ำรวยในชนบทผู้หนึ่ง ไม่เห็นครอบครัวร่ำรวยที่มีนาดีร้อยหมู่อยู่ในสายตา ยังคิดจะบินขึ้นไปบนยอดไม้เปลี่ยนเป็หงส์ [2] อีกหรืออย่างไร
เจินจูชะงักงัน ที่แท้ก็เป็เื่นี้นี่เอง ดูท่าแม่สื่อที่มาครั้งก่อนจะไม่พอใจครอบครัวนางสินะ เชอะ ไม่กล้าเป็แม่สื่อให้ครอบครัวนางสิถึงจะดี จะได้ไม่มีแม่สื่อมาหาถึงหน้าประตูทุกสามวันห้าวันอีก หากเป็เช่นนั้นตนคงจิตใจว้าวุ่นน่าดู
“เื่นี้น่ะหรือ ฮ่าๆ ไม่ต้องสนใจนางเ้าค่ะ ปากยาวไปถึงบนใบหน้าผู้อื่นเพียงนั้น คงไม่สามารถปิดปากนางได้กระมัง ขอบคุณพี่เขยใหญ่ ท่านไปทำงานของท่านก่อนเถอะ ข้าจะเอาปลาเข้าไปสับทำเป็ลูกชิ้นปลาก่อนเ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะ แล้วหิ้วตะกร้าเดินไปทางด้านหลังห้องโถง
หวงถิงเฉิงกลัดกลุ้มอยู่บ้าง เื่นี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่จะว่าเล็กก็ไม่เล็กเลยกระมัง พอแม่สื่อนั่นกล่าวเื่สกุลหูเช่นนี้ เื่การแต่งงานของเจินจูในปีหน้าก็จัดการไม่ง่ายแล้ว
เขาจะรู้ได้เสียที่ไหนล่ะว่า เจินจูรู้สึกว่าจัดการไม่ง่ายสิถึงจะพอดี ยังสามารถยืดเวลาออกไปได้เป็ปีๆ หากยืดเวลาออกไปไม่ได้จริงๆ ก็จะลองหาบุรุษครอบครัวชาวนาธรรมดาที่ซื่อๆ ประพฤติตัวดีสักคน ผู้ที่เชื่อฟังไม่ชี้มือวาดเท้าใส่นาง คนซื่อที่ไม่ก้าวก่ายชีวิตอิสระของนาง
เจินจูนำปลาให้จ้าวหงยู่แล้วกลับไปในห้อง ครุ่นคิดถึงความเป็ไปได้ของเื่นี้
อืม... ไม่เช่นนั้นก็อยู่ในหมู่บ้าน หาคนที่เหมาะสมสักคนเพื่อแต่งงาน
เอ้อร์หนิวก็ไม่เลวเลย หน้าตาเรียบร้อย ดูแล้วพอถูกชะตาอยู่บ้าง รูปร่างกำยำล่ำสัน วรยุทธ์ก็ฝึกได้ไม่เลว นิสัยเรียบง่ายซื่อสัตย์ ั้แ่เด็กก็เป็คนรักษาคำพูด แต่น่าเสียดายเด็กกว่านางไปสองปี
ถู่วั่งก็ไม่เลวเลยนะ เชื่อฟังแล้วยังรู้ความอีก ลักษณะนิสัยใจเย็นทั้งยังขยันอีกด้วย แต่เขายังเด็กกว่าเอ้อร์หนิวไปอีกเล็กน้อย
ตงเซิ่งขี้อายหน้าตาดี อื้ม... เด็กไปอีก
จ้าวขุย… ตัดทิ้งได้เลย
หลิ่วต้าหลางก็คล้ายกับหลิ่วฉางผิงผู้เป็บิดาของเขาเล็กน้อย ล้วนเป็คนเฉลียวฉลาดมีความสามารถ แต่พอลำดับรุ่นแล้วต่างกัน ไม่ควรให้พิจารณา
อาชิงเป็ชาวยุทธ์ แต่เอื่อยเฉื่อย สกปรกมอมแมม เช่นนี้ตัดทิ้งไปได้เลย
ยังเหลือผู้ใดอีกนะ?
เจินจูนึกถึงเด็กผู้ชายอายุเหมาะสมในหมู่บ้านหนึ่งรอบ สิ่งที่ค้นพบน่าเศร้ายิ่งนัก กลับไม่มีบุคคลที่เหมาะสมเลย
ฮือ... นางกลิ้งอยู่บนเตียงไม้ กลัดกลุ้มใจไม่หยุด
รัศมีออร่านางเอกของนางล่ะจะให้ทำเช่นไร? พระเอกพระรองล่ะอยู่ที่ไหน? เวลาที่สำคัญกลับหาบุคคลที่เหมาะสมออกมาไม่ได้สักคนเลย
พอผ่านปีหน้าไปนางต้องทำอย่างไร? หรือต้องหายอดเขาไปหลบซ่อนตัวจริงๆ หรือนี่?
น่าชังนัก... เจินจูพลิกกายลุกขึ้นนั่ง วิ่งไปข้างตู้บนเตียงอิฐแล้วดึงลิ้นชักของตู้เปิดออก
ขลุ่ยไม้ไผ่สีเหลืองอ่อนนอนแน่นิ่งอยู่ด้านใน
นางหยิบขึ้นมาเบาๆ กุมไว้กลางฝ่ามือ ความขุ่นเคืองที่อธิบายออกมาไม่ได้ปรากฏขึ้นในดวงตา
เด็กหนุ่มผู้นี้... ไม่กล่าวอะไรสักประโยคก็หนีไปแล้ว ชิชะ!
นางดึงอีกหนึ่งลิ้นชักชั้นถัดไปให้เปิดออก กระดาษจดหมายหนึ่งกองวางอยู่ด้านในเป็ระเบียบเรียบร้อย
นางสุ่มหยิบออกมาหนึ่งฉบับ รูปแบบตัวอักษรที่คุ้นเคยปรากฏเข้าสู่สายตา ปลายพู่กันตั้งตรงแข็งแรง ผ่อนปรนน้ำหนักมีระดับ มีความเป็ธรรมชาติจรดปลายพู่กันได้ดังใจ
เนื้อหากระชับชัดแจ้งเหมือนอย่างเคย คำพูดสั้นๆ ดูเรียบร้อยนุ่มนวล ดั่งเขียนจดหมายราชการก็ไม่ปาน ไม่มีการประดิดประดอยถ้อยคำ ไม่ใส่อารมณ์และไม่มีส่วนไหนโดดเด่น
เจินจูแกะตัวหนังสือในประโยคเ่าั้ มองหนึ่งรอบก็ไม่มีคำพูดพิเศษอื่นใดจริงด้วย
ชิ... นางนำจดหมายและขลุ่ยไม้ไผ่ยัดเข้าลิ้นชัก ...มองค้อนใส่วงโต
ช่างเถอะ วันไหนเื่มาถึงวันนั้นค่อยกลัดกลุ้ม
...การสับลูกชิ้นปลาต้องเปลืองแรงอย่างมาก จ้าวหงยู่ พานเสวี่ยหลันและเจินจูสับเปลี่ยนกันลงมือ กว่าจะสับเนื้อปลาสิบกว่าชั่งเสร็จได้ไม่ง่ายเลย หลังจากนั้นสามคนก็เริ่มคลึงลูกชิ้นขึ้น
“พี่เสวี่ยหลัน ผู้าุโหลิงกำลังทำอะไรหรือ? อีกสักพัก พอทำลูกชิ้นปลาเสร็จแล้ว ท่านยกไปให้ผู้าุโสักถาดเถอะ เขาชอบทานลูกชิ้นปลานี่” เจินจูคลึงลูกชิ้นและชวนคุยเรื่อยเปื่อย
“ขอบคุณเ้ายิ่งนัก เจินจู ท่านปู่กำลังคัดตำราขงจื้ออยู่ เล่มนี้ยังเหลืออีกนิดเดียวก็จะคัดลอกเสร็จแล้ว ส่วนหลิงซีกำลังให้อาหารปลา” พานเสวี่ยหลันรีบตอบ
หลิงเสี่ยนเขียนตัวอักษรได้ดีอย่างยิ่ง ค่าเขียนหรือคัดลอกข้อความในตำราสูงกว่าราคาคัดตัวอักษรบนกระดาษธรรมดาไม่น้อยเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงรับงานคัดตัวอักษรบนกระดาษจำนวนหนึ่งอยู่บ่อยๆ เพื่อสะสมค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งในอนาคต
“ให้ท่านปู่ของท่านอย่าทำงานหนักเกินไป หากจำเป็ต้องใช้จ่ายอะไรมากมายมาบอกกับพวกเราก็ได้ อย่าเคี่ยวกรำทนทุกข์จนร่างกายแย่เอานะ” เื่ที่หลิงเสี่ยนเขียนและคัดหนังสือ ทุกคนล้วนทราบทั้งสิ้น ผู้าุโ้าเก็บเงินติดกายเล็กๆ น้อยๆ ให้หลานชาย เจินจูจึงไม่ได้ปริปากแสดงความเห็นใดออกไป
“ไม่อย่างแน่นอน สองปีมานี้ท่านปู่ร่างกายแข็งแรงดีอย่างมาก ตื่นขึ้นมาตอนเช้ามีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยมทุกวัน ข้าวก็ทานได้ตั้งสองถ้วยด้วย” พานเสวี่ยหลันยิ้มแล้วส่ายหน้า
ผู้าุโไม่เพียงมีชีวิตชีวาอย่างเดียว ร่างกายก็นับวันยิ่งแข็งแรงขึ้นเช่นกัน ตอนที่เพิ่งมาถึงบ้านสกุลหูตอนนั้น มักเห็นผู้าุโทุบเอวนวดขาอยู่บ่อยๆ ในดวงตาปรากฏความเ็ปทรมานที่ยากจะทนไหวออกมา แต่ตอนนี้ทุกวันที่ออกจากบ้านมาเดินเล่น แผ่นเอวตั้งตรง จังหวะเท้ามั่นคง ดูมีกำลังวังชาดีกว่าในปีนั้นเป็อย่างมาก
“อื้ม มีชีวิตชีวาก็ดีแล้ว ผู้าุโเป็จิ้นซื่อโดยชอบธรรม รอผ่านปีนี้ไปหากสภาพภายนอกสุขสงบร่มเย็นก็ให้พวกเด็กๆ ลงสนามสอบบัณฑิตเด็กได้ ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ หลังจากกลับมาแล้วจะให้ผู้าุโทดสอบพวกเขาสักหน่อย ผู้ที่มีความสามารถสอบเคอจวี่ก็จะสามารถเรียนกับผู้าุโเพิ่มได้อีกสามปี” เจินจูคลึงลูกชิ้นพร้อมกับกล่าวแผนการภายภาคหน้าขึ้น
“เจินจู บัณฑิตเด็กก็ไม่ใช่ว่าสอบง่ายเพียงนั้นกระมัง หมู่บ้านเราหลายปีมานี้ นอกจากจ้าวไป่ิแล้วก็เป็จ้าวเจิ้งเจี๋ยของครอบครัวท่านอาจ้าวซานที่สอบผ่านบัณฑิตเด็ก การสอบชิวเหวย [3] ของปีนี้ไป่ิสอบซิ่วฉายได้ แต่เจิ้งเจี๋ยยังสอบไม่ผ่าน” จ้าวหงยู่เรียนรู้ตัวอักษรกับภรรยาของซิ่วฉายมาไม่กี่ปี พอเข้าใจเื่ของการสอบขุนนางอยู่บ้าง
“ฮ่าๆ จะผ่านหรือไม่ก็ต้องดูที่พวกเขาแล้ว สอบผ่านก็เป็เื่ดี หากไม่ผ่านก็ไม่เป็ไร เดิมทีการสอบเคอจวี่ก็ไม่ใช่เื่ง่ายเลยเ้าค่ะ” ถนนทุกสายล้วนมุ่งสู่กรุงโรม [4] ทุกสาขาวิชาชีพล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวมันเอง ไม่สอบเคอจวี่ ไม่ได้เป็ขุนนาง ก็สามารถใช้ชีวิตผ่านไปด้วยดีดังเดิมได้
“นั่นก็ใช่อย่างที่เ้าว่า” จ้าวหงยู่พยักหน้า การเคลื่อนไหวในมือตลอดมาไม่ได้หยุดลงเลย
ไม่นาน ขณะที่พวกนางคุยเล่นกันลูกชิ้นปลาหนึ่งหม้อใหญ่ก็เริ่มเดือดพล่านลอยขึ้นมา
เมื่อตักลูกชิ้นขึ้นมาทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว เจินจูถึงได้ออกจากห้องครัว
ล้างความมันบนมือจนสะอาด หลังจากนั้นนางกำลังคิดจะไปหาซิ่วจู ตั้งใจว่าจะเล่นกับนางสักเดี๋ยว
จู่ๆ ในอากาศก็มีเสียงกระพือปีกดังขึ้น ภายในใจเจินจูสั่นไหว รีบเงยหน้ามองไปทันที เห็นต้าฮุยร่อนลงมาหยุดอยู่บนชายคาบ้านตนอย่างท่าทางงดงามมีสง่า
“ต้าฮุย!” นางะโเรียกหนึ่งที
ต้าฮุยร้องขานรับและบินมาหา
เจินจูลูบหลังของมัน ล้วงเอาเม็ดข้าวโพดหนึ่งกำออกมาจากมิติช่องว่างให้มันด้วยความอ่อนโยน บินมาไกลเพียงนี้น่าจะเหนื่อยแย่แล้ว
ต้าฮุยลิงโลดไม่หยุดทันที
เจินจูคลำท่อจดหมายใต้ขาของมัน... ว่างเปล่า
ต้าฮุยบินกลับมาเองอย่างเอาแต่ใจอีกแล้ว?
“ต้าฮุย เ้าไม่ได้นำจดหมายมาด้วย กลับมาเองอีกแล้วหรือ?” นางถาม
“กรูๆ” ต้าฮุยกินข้าวโพดแล้วตอบ
หมายความว่าอย่างไง? ยู่เซิงอนุญาตหรือ? ในเมื่ออนุญาตแล้วทำไมท่อจดหมายถึงว่างเปล่า?
ไม่มีคำพูดจะบอกเล่าหรือยุ่งเกินไปกันนะ?
เจินจูขมวดคิ้ว ในใจเป็ห่วงเล็กน้อย
“อ้าว... ต้าฮุยกลับมาแล้ว!”
ผิงอันโผเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้เจอต้าฮุยกับต้าไป๋
“ท่านพี่ พี่ชายยู่เซิงเขียนจดหมายมาแล้วหรือ?”
“เปล่า ต้าฮุยกลับมาเอง” เจินจูชี้ไปที่ท่อจดหมายว่างเปล่า
“ต้าฮุยแอบหนีกลับมาเองอีกแล้วหรือนี่?” ผิงอันยื่นศีรษะเข้าไปมอง
“กรูๆ” ต้าฮุยประท้วง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขายินยอมแล้ว
เจินจูยิ้ม “เหมือนว่ายู่เซิงจะให้มันกลับมานะ คาดว่าตอนนี้ที่ชายแดนคงจะยุ่งมาก เลยไม่ทันได้เขียนจดหมายมากระมัง”
ดวงตาผิงอันเป็ประกาย “ท่านพี่ ข้าเขียนจดหมายให้พี่ชายยู่เซิง แล้วให้ต้าฮุยเอากลับไปได้หรือไม่?”
“อื้ม เขียนสิ พรุ่งนี้เช้ามันกลับไป เ้าก็เขียนให้เสร็จวันนี้ล่ะ” เจินจูพยักหน้า
ผิงอันยิ้มแย้มเบิกบานใจ รีบพยักหน้าทันที
ตกหัวค่ำสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามาจากซี่กรงหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งบาน แสงเทียนพลิ้วไหวเล็กน้อย
เจินจูถือพู่กัน คิดเนื้อหาที่้าเขียน
ชายแดนในเวลานี้น่าจะยุ่งกับการทำา นางช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาเพิ่มเช่นกัน
ไตร่ตรองแล้วว่าจะเขียนเื่ที่เกิดขึ้น่นี้ ไม่เจาะจงเื่ใดเป็พิเศษ นึกสิ่งใดขึ้นได้ก็เขียนสิ่งนั้น เื่ที่โหยวอวี่เวยกับกู้ฉีมาเยี่ยมเยือนก็เขียนเข้าไปด้วย หลังจากนั้นเริ่มถามสถานการณ์า จำพวกปัญหากองทัพและความอันตรายของพวกเขา สุดท้ายให้เขาดูแลตัวเองให้ดี
การติดต่อระหว่างนางกับเขา เป็ไปอย่างเรื่อยๆ ไม่มีแบบแผน ดำเนินไปตามหัวใจ อยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ได้ปกปิดนิสัยของตนเอง นางรู้... เขาเป็การมีอยู่ที่พิเศษในหัวใจนาง
แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดผู้ใดจะสามารถกล่าวอย่างชัดเจนได้ล่ะ
ขีดเขียนเส้นสุดท้ายเสร็จ บนกระดาษเซวียนจื่อที่รอยหมึกยังไม่แห้ง มีตัวอักษรเต็มหนึ่งหน้ากระดาษ
นางวางพู่กันลงพร้อมกับผ่อนลมหายใจหนึ่งเฮือก
“เหมียว” เสี่ยวเฮยะโเข้ามาจากซี่กรงหน้าต่าง
เจินจูชำเลืองมองมันแวบหนึ่ง แมวนี่ หมู่นี้อยู่ในป่าเสียส่วนใหญ่ ครึ่งค่อนคืนถึงจะกลับบ้าน ตลอดทั้งกลางวันล้วนไม่เห็นร่องรอยของมันเลย
“กลับมาได้แล้วหรือ?”
“เหมียว”
เสี่ยวเฮยเข้ามาพันอยู่ข้างขาของนางอย่างออดอ้อน
เจินจูเพียงรับรู้อยู่ลางๆ มันหาเพื่อนหนึ่งตัวเจอในป่าเขา เข้ากันได้ดีอย่างมาก ระยะนี้จึงอยู่กับเ้าตัวนั้นตลอด
อย่างไรเสียเสี่ยวเฮยก็เป็แมวป่าที่เติบโตอยู่ในป่าเขา ชอบเล่นกับเพื่อนของมันก็เป็ปกติ ขอแค่มันไม่ได้รับอันตรายก็พอ
“มานี่ เก็บอาหารไว้ให้เ้าแล้ว รีบมากินเถอะ” นางหยิบอาหารเย็นที่เก็บไว้ให้เสี่ยวเฮยโดยเฉพาะลงมาจากโต๊ะหนังสือ
“หง่าว” เสี่ยวเฮยร้องหนึ่งทีแล้วเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
มันกินอาหารของบ้านสกุลหูจนเคยชินแล้ว ตอนอยู่ในป่าพบเจอซากสัตว์อาบเืเ่าั้ ไม่น่าสนใจเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้เมื่อเล่นอยู่ข้างนอกทั้งวัน มันจึงหิวจนท้องร้องอยู่เสมอ
...รถม้าของกู้ฉีกับโหยวอวี่เวยตั้งค่ายอยู่ข้างป่าแห่งหนึ่ง
“พี่ห้า พวกเราเร่งเดินทางทั้งคืนทั้งวันอยู่เช่นนี้ กี่วันถึงจะกลับไปถึงเมืองหลวงได้?” โหยวอวี่เวยนั่งอยู่ข้างกองไฟถามขึ้น
สองฝั่งของกองไฟที่สุมกลางแจ้งใช้รถม้ากั้นพื้นที่ขึ้นมา พอให้บังสายตาที่ภายนอกจะมองเห็นได้ เมอเมอหวังกับจื่อยู่ยกโต๊ะเตี้ยอันหนึ่งออกมาจากในเกวียน แล้วหยิบเนื้อพะโล้กับผลไม้ที่สกุลหูให้ออกมา เตรียมทานอาหารเย็น
“เร็วที่สุดยังต้องใช้เวลาสี่ถึงห้าวัน” กู้ฉีคลึงหน้าผาก
ถนนใน่นี้ไม่สงบเล็กน้อย ได้ยินข่าวว่ามีคนเดินถนนถูกโจรูเาดักปล้นฆ่า เช่นนี้จึงทำให้องครักษ์ของทั้งสองฝ่ายล้วนปลุกจิตใจให้ตื่นตัวอย่างยิ่งอยู่ตลอด โชคดีอาจเป็เพราะขบวนพวกเขาคนมาก อุปกรณ์อาวุธครบครัน ดูแล้วหาเื่ได้ไม่ง่าย จึงไม่ได้พบเข้ากับคนเลวที่คอยดักปล้นมาตลอดทาง
แต่เส้นประสาทของกู้ฉีก็ยังตึงเครียด อย่างไรเสียก็พาโหยวอวี่เวยมาด้วย หากเกิดอะไรขึ้นเขาจะอธิบายกับท่านน้าอย่างไร
“โอ้ เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเร็วเป็พิเศษอะไร ฮิๆ ตอนข้ามาก็ใช้เวลาไปสิบวันโดยประมาณ” โหยวอวี่เวยอุ้มเล่อเล่อพร้อมกล่าวอย่างหัวเราะขบขัน
กล่าวแล้วก็น่าประหลาดใจเช่นกัน ตอนนางมา มาเพราะภาพวาดหนึ่งภาพ จิตใจไม่เบิกบานจนถึงขีดสุด
แต่ตอนกลับ ไม่รู้เป็เพราะเหตุใด จิตใจกลับดีผิดปกติ ตลอดทางที่เร่งรีบน่าเบื่อไร้ความน่าสนใจ แต่นางไม่มีเลยสักนิดที่จะไม่เบิกบาน
เป็เพราะคำพูดตอนนั้นของเจินจูหรือ?
นางก็ไม่แน่ชัดเช่นกัน นางรู้เพียงว่ากู้ฉีไม่ได้ถูกคนชมชอบแต่อย่างใด นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะค่อนข้างดีใจมากเช่นนี้
กู้ฉีมองเด็กสาวที่ยิ้มแย้มดั่งบุปผาไม้งามข้างกองไฟ ไม่รู้เลยว่าควรแสดงอารมณ์อย่างไรออกมา
เชิงอรรถ
[1] ธรณีประตูสูง หมายถึง ครอบครัวมีหน้ามีตา มีเกียรติ มีสภาพความเป็อยู่ที่ดีในทุกๆ ด้าน โดยธรณีประตูสูงจะเป็สัญลักษณ์ของคนที่ตำแหน่งสูงมีอำนาจมาก
[2] บินขึ้นไปบนยอดไม้เปลี่ยนเป็หงส์ หรือ 飞上枝头变凤凰 หมายถึง คำอุปมาในทำนองว่า เปลี่ยนจากฐานะหรือตำแหน่งต่ำต้อยให้ยกระดับขึ้นมาเป็คนที่มีฐานะสูงขึ้นในทันทีทันใด
[3] ชิวเหวย หรือ 秋闱 คืออีกหนึ่งชื่อเรียกของการสอบเซียงซื่อหรือการสอบสนามชนบท โดยจะมีการจัดสอบขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง จึงเป็ที่มาของการสอบที่เรียกว่าชิวเหวย ‘ชิว’ หมายถึง ฤดูใบไม้ร่วง ‘เหวย’ หมายถึง สนามสอบ
[4] ถนนทุกสายล้วนมุ่งสู่กรุงโรม หรือ 条条大道通罗马 หมายถึง วิธีการทั้งหลายล้วนแล้วแต่มุ่งไปสู่เป้าหมายหรือผลลัพธ์อันเดียวกัน คำนี้มาจากที่ว่า อาณาจักรโรมเป็ศูนย์กลางของโลกในยุคสมัยนั้น ดังนั้นเส้นทางที่สร้างขึ้นทุกเส้นทางจะมุ่งสู่โรม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้