เวลาเที่ยงวันของวันถัดมา ในที่สุดเด็กหนุ่มทั้งสองก็เดินทางมาถึงอาณาเขตของหุบเขาเทียนอวิ่นแล้ว หลังจากผ่านการตรวจสอบจากผู้ดูแลกฎตรงประตูทางเข้า ใช้เวลาเพียงไม่นานเด็กหนุ่มทั้งสองก็ผ่านเข้าไปในสำนักศึกษาได้อย่างง่ายดาย
คนทั้งสองขี่สัตว์อสูรตรงไปยังโรงเลี้ยงสัตว์อสูรก่อน จากนั้นพวกก็เดินไปที่วิหารรับภารกิจต่อทันที
ภายในโถงวิหารรับภารกิจยังคงมีผู้คนเข้าออกเป็จำนวนมาก ทำให้บรรยายดูคึกคักและมีชีวิตชีวา
“เฮ้ เจี่ยงเซียว เ้าไม่จำเป็ต้องมาที่นี่ทุกวัน อย่างเ้าเด็กพวกนั้นจะสามารถทำภารกิจชั้นหนึ่งสำเร็จได้อย่างไร?”
บัณฑิตผู้หนึ่งกล่าวขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ เ้านี่คงคิดถึงเื่คะแนนสามพันคะแนนของเ้าเด็กสามคนนั้นอยู่น่ะสิ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาได้รึเปล่า?”
ผู้คนรอบข้างต่างส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่โง่ได้ขนาดนี้ เป็เพียงบัณฑิตใหม่แต่ไม่รู้จักประมาณตน การรับภารกิจชั้นหนึ่งก็ไม่ต่างจากการไปรนหาความตาย อีกทั้งยังกล้าวางเดิมพันกับเจี่ยงเซียวอีก ช่างโง่เขลายิ่งนัก”
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ช่วยไม่ได้ เขารนหาเื่ตายเอง ทั้งยังคิดจะมอบคะแนนให้ข้าเอง จะทำอย่างไรได้”
เจี่ยงเซียวเหยียดยิ้ม “ผู้าุโ ท่านว่าวันนี้เ้าเด็กนั่นจะกลับมาจากการทำภารกิจแล้วหรือยัง?”
“ไม่ ไม่มีทาง บางทีเขาอาจจะเสียชีวิตในภารกิจไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเ้าก็ไม่มีทางได้รับคะแนนสามพันคะแนนจากเขาหรอก บัณฑิตใหม่คนหนึ่งจะไปมีคะแนนสามพันคะแนนได้อย่างไร”
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามบ่นออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้ ไม่ใช่ว่าเขามีพี่สาวอยู่หรอกหรือ ข้าไปสืบเื่ภูมิหลังของเ้าเด็กคนนั้นมาแล้ว เขามีนามว่ามู่เฟิง เป็คนตระกูลมู่จากอาณาจักรหนานหลิง พี่สาวของเขาคือมู่หลิงเอ๋อร์ ในรายชื่อยอดฝีมือทั้งหนึ่งร้อยคนของสำนักศึกษา ชื่อของนางถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่เก้าสิบห้า ต่อให้เขาไม่มี แต่พี่สาวของเขามีแน่ ฮ่าๆ”
เจี่ยงเซียวกล่าวก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“แท้จริงแล้วก็เป็น้องชายของมู่หลิงเอ๋อร์หรอกหรือ ความสามารถของนางถือว่าไม่ธรรมดา และเื่รูปร่างหน้าตาก็ยิ่งไม่จำเป็ต้องพูดถึง หลังเข้าศึกษาในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นได้เพียงสี่ปี ชื่อของนางก็ติดอันดับในรายชื่อของยอดฝีมือแล้ว อีกสองปีข้างหน้า ไม่แน่ว่าชื่อของนางอาจจะเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกก็ได้”
เมื่อได้ทราบถึงเื่นี้ เหล่าบัณฑิตที่อยู่โดยรอบต่างก็ประหลาดใจและเริ่มพูดคุยกันถึงเื่นี้
“ต่อให้มีรูปลักษณ์งดงามแล้วอย่างไร? อีกไม่นานตระกูลมู่ก็จะถึงวาระสุดท้ายแล้ว เมื่อตระกูลประสบภัยจะมีใครอยู่รอดได้อีก ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็มู่หลิงเอ๋อร์หรือศิษย์คนอื่นในตระกูลมู่ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องกายเป็ทาสรับใช้ของผู้อื่นอยู่ดี”
ทันใดนั้นบัณฑิตผู้หนึ่งจากตระกูลโอวหยางก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทีเหยียดหยาม
“แท้จริงแล้วตระกูลมู่ก็ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายแล้วรึ”
“เฮ้ พวกเ้ารีบดูนั่นเร็วเข้า นั่น เ้าเด็กสองคนนั้น!”
ทันใดนั้นก็มีบัณฑิตผู้หนึ่งอุทานออกมา หลังจากทุกคนมองไปด้านนอกห้องโถงก็พบว่ามู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่กำลังเดินเข้ามา
“เป็เด็กสองคนนั้นที่พนันกับเจี่ยงเซียว เวลาเพิ่งผ่านไปแค่สิบวัน เหตุใดพวกเขาถึงล้มเลิกภารกิจแล้วล่ะ”
“ฮ่าๆ ดูท่าแล้วเ้าเจี่ยงเซียวคงจะได้รับคะแนนมาโดยไม่ต้องออกแรง ช่างสบายเสียจริง”
ผู้คนต่างก็จดจำเด็กหนุ่มทั้งสองได้ในทันที เจี่ยงเซียวหัวเราะร่าก่อนจะเข้าไปหาอีกฝ่าย
“ทำไมล่ะพ่อหนุ่มน้อย เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่สิบกว่าวันเหตุใดจึงกลับมาแล้ว? แล้วเ้าหนุ่มอีกคนหายไปไหน คงไม่ใช่ว่าตายในภารกิจแล้วหรอกนะ”
เจี่ยงเซียวเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายก่อนกับพูดจาเสียดสีในทันที
“มารดาเ้าออกลูกมามีตาสุนัขหรืออย่างไร พวกเราทำภารกิจสำเร็จแล้วจึงกลับมา ตาสุนัขเช่นเ้าอย่าได้คิดจะดูแคลนผู้อื่นเลย”
ไป๋จื่อเยว่ตอบกลับอย่างประชดประชัน
“ปากแข็งเสียจริง หากว่าพวกเ้าทำภารกิจสำเร็จ เหล่าจือผู้นี้จะเรียกพวกเ้าว่าท่านปู่เลย”
ใบหน้าของเจี่ยงเซียวพลันมืดครึ้ม จากนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างเ็า
“ขอโทษทีนะ ข้าไม่มีหลานชายอายุเท่าเ้า”
มู่เฟิงกล่าวเสียงเรียบ
“เ้า…!”
เจี่ยงเซียวขุ่นเคืองอย่างมาก เขาคิดจะลงมือกับอีกฝ่าย แต่ทันใดนั้นศิษย์จากตระกูลโอวหยางที่อยู่ด้านข้างก็เข้ามาขวางเอาไว้เสียก่อน จากนั้นอีกฝ่ายก็กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ปล่อยให้พวกเขาปากแข็งต่อไปก่อนเถอะ ภารกิจจะสำเร็จจริงหรือไม่ อีกเดี๋ยวก็รู้แล้ว”
“ฮึ่ม! ข้าจะรอให้พวกเ้าส่งมอบคะแนนสามพันคะแนนให้กับข้า”
เจี่ยงเซียวตวาดเสียงออกมาอย่างเ็า จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
มู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่เดินตรงไปยังแท่นศิลา ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามกล่าวขึ้นด้วยยิ้มว่า “ยังดีที่พวกเ้ายังรู้จักถอดใจ นับว่าไม่ได้โง่จนเกินเยียวยา อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเอาชีวิตไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์"
ไป๋จื่อเยว่เพียงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็าโดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้นก็มีแสงส่องสว่างขึ้นบนมือของมู่เฟิง ไม่นานห่อบรรจุสามอย่างก็ปรากฏขึ้นบนแท่นศิลา
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามมองหน้ามู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ
มู่เฟิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พวกเราทำภารกิจเสร็จแล้ว ส่งมอบงาน”
“พวกเ้าทำสำเร็จแล้ว จะเป็ไปได้อย่างไร?”
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขารีบเปิดห่อบรรจุทั้งสามในทันที
และศีรษะของมนุษย์สามคนก็ปรากฏขึ้นบนแท่นศิลา
ฉากนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบได้ในทันใด กระทั่งเจี่ยงเซียวก็ยังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“เป็ไปไม่ได้ ทำสำเร็จจริงรึ!”
“เป็เื่จริงหรือ?”
“จะเป็ไปได้อย่างไร บัณฑิตใหม่จะทำภารกิจชั้นหนึ่งสำเร็จได้อย่างไร”
ผู้คนรอบข้างพากันกล่าวขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามรีบหยิบรูปเหมือนของหม่าหลี่ออกมาเปรียบเทียบในทันที หลังจากตรวจสอบความถูกต้องของรูปลักษณ์แล้ว เขาก็ตรวจสอบระดับวรยุทธ์ก่อนจะเสียชีวิตของเ้าของศีรษะ เมื่อทราบถึงผลลัพธ์เขาก็ยิ่งมีท่าทีตื่นตะลึงมากกว่าเดิม
เขาเงยหน้ามองมู่เฟิงด้วยสายตาซับซ้อนก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ผู้ตายมีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นสอง ส่วนใบหน้าก็เหมือนกับในภาพเหมือน ศีรษะนี้คงจะเป็ของหัวหน้ากองโจรหม่าหลี่จริงๆ ส่วนศีรษะของอีกสองคนก็คงจะเป็ของหัวหน้ารองและหัวหน้าสาม ถือว่าเ้าทำภารกิจสำเร็จ”
“ว่าอย่างไรนะ นั่นเป็ศีรษะของหม่าลี่จริงรึ”
“เป็ไปได้อย่างไร บัณฑิตใหม่สองคนสามารถทำภารกิจชั้นหนึ่งสำเร็จได้อย่างนั้นรึ!”
ผู้คนรอบข้างล้วนส่งเสียงฮือฮาออกมา แน่นอนว่านี่เป็เื่เหลือเชื่อสำหรับพวกเขา
“เป็ไปได้อย่างไร พวกเ้าจะสามารถทำภารกิจนี้สำเร็จได้อย่างไร เื่นี้ต้องมีเบื้องลึกเื้ัแน่”
เจี่ยงเซียวแย้งออกมาทันที
“ศิษย์พี่ ข้อเท็จจริงวางอยู่ตรงหน้าของท่านแล้ว คะแนนสามพันคะแนนของพวกข้าเล่า”
ไป๋จื่อเยว่หัวเราะเยาะ
“จะขาดไปไม่ได้แม้แต่คะแนนเดียวนะ”
มู่เฟิงสำทับอย่างเ็า
“หึ ครั้งนี้ข้าไม่นับ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเ้าจะสามารถทำภารกิจสำเร็จได้ พวกเ้ามีมู่หลิงเอ๋อร์อยู่ทั้งคน อย่างไรนางก็เป็พี่สาวของเ้า ครั้งนี้ต้องเป็นางที่ช่วยให้พวกเ้าทำภารกิจสำเร็จเป็แน่”
เจี่ยงเซียวตวาดอย่างไม่ยอมแพ้ เขานึกถึงมู่หลิงเอ๋อร์ขึ้นมาทันที ต้องเป็มู่หลิงเอ๋อร์ที่ช่วยให้มู่เฟิงทำภารกิจสำเร็จแน่
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้คนรอบข้างก็คล้อยตามอย่างง่ายดาย มีบัณฑิตใหม่หลายคนที่มีอำนาจในสำนักศึกษาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขามีคนในตระกูลที่เก่งกาจ ดังนั้นไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะขอให้ยอดฝีมือในตระกูลช่วยทำภารกิจนี้ก็เป็ได้ แน่นอนว่าเื่แบบนี้ในอดีตเคยมีให้เห็นมาแล้ว
พฤติกรรมเช่นนี้เรียกอีกอย่างว่าสวมรอยรับคะแนน เนื่องจากไม่มีหลักฐานดังนั้นทางสำนักศึกษาจึงเพิกเฉยและไม่ได้สนใจนัก
“ไม่จริง พวกข้าทำภารกิจนี้ด้วยตัวเอง เหตุใดเ้าถึงไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้เสียบ้าง?”
ไป๋จื่อเยว่ตวาดออกมาอย่างโกรธเคือง
“น่าขัน ใครจะไปเชื่อว่าบัณฑิตใหม่สองคนจะสามารถทำภารกิจชั้นหนึ่งได้สำเร็จ อย่างพวกเ้าน่ะหรือจะสามารถสังหารยอดฝีมือระดับหนิงกังได้? คิดว่าข้าจะเชื่อหรือ? ทุกคน พวกเ้าเชื่อพวกเขาหรือไม่?”
เจี่ยงเซียวแสยะยิ้มออกมาอย่างดูแคลน จากนั้นเขาก็ะโถามผู้คนรอบข้างทันที
“ไม่เชื่อ จะต้องมีคนทำภารกิจนี้แทนพวกเขาอย่างแน่นอน”
“ใช่ๆ ข้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”
เหล่าบัณฑิตที่ล้อมอยู่รอบๆ ต่างก็ไม่มีใครเชื่อว่าเด็กหนุ่มสองคนจะทำภารกิจนี้สำเร็จ
“ให้ตายเถอะ เ้าพวกคนน่ารังเกียจ”
ไป๋จื่อเยว่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ
มู่เฟิงเหยียดยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “พวกข้าจะทำภารกิจสำเร็จจริงหรือไม่จำเป็ต้องถามความเห็นของพวกเ้าด้วยหรือ พวกเ้าเป็ใครกัน มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้ามู่เฟิงอย่างนั้นหรือ สรุปคือพวกข้าทำภารกิจสำเร็จแล้ว ส่วนเ้า จงมอบคะแนนออกมาแต่โดยดีเสีย”
มู่เฟิงชี้นิ้วไปยังเจี่ยงเซียวขณะกล่าวขึ้นอย่างเ็า
“หึ หากข้าปฏิเสธเล่า เ้าจะทำอะไรข้า?”
เจี่ยงเซียวแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา
“เ้ากำลังเล่นกับไฟ”
มู่เฟิงหรี่ตาลง ร่างกายของเขากำลังมีจิตสังหารแผ่ออกมา
“ข้ากลัวยิ่งนัก เ้าจะตีข้ารึ เ้าเด็กน้อยเอ๊ย”
เจี่ยงเซียวกล่าวด้วยท่าทีเหยียดหยาม
มู่เฟิงกำหมัดแน่น เขาหันหลังกลับไปมอบบัตรคะแนนให้กับผู้ดูแลในชุดคลุมสีคราม อีกฝ่ายจัดการมอบคะแนนให้กับมู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่คนละสามพันห้าร้อยคะแนน
“หึ คงไม่กล้าทำอะไรข้าสินะ”
เจี่ยงเซียวแสะยิ้มอย่างเหยียดหยาม
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็หันหลังกลับมา ก่อนจะเดินไปด้านข้างเจี่ยงเซียวและกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “ไสหัวมานี่!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้