แม้ว่ามู่อี๋เสวี่ยจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงเพ้อโดยไม่มีเหตุผล และนางก็ไม่รู้สึกถึงความเ็ปจากาแบนร่างกายของนางเลย แต่นางรู้ว่าต้องเป็มู่จื่อหลิงที่ทำเื่แย่ๆ เป็แน่
มู่อี๋เสวี่ยกลับไม่รู้เลย ถึงแม้ว่าชิวเซียงกับชิวเยวี่ยจะบอกนางอย่างละเอียด ว่าเมื่อไม่นานมานี้นางถูกทหารยามเ่าั้ทรมานอย่างไร
แต่สิ่งไหนควรพูด และสิ่งไหนไม่ควรพูด คำเ่าั้ล้วนต้องผ่านการเสริมเติมแต่ง [1] มาไม่มากก็น้อย นางกำนัลทั้งสองล้วนก็รับมือได้ดี กำลังเหมาะพอดีทีเดียว
นางกำนัลทั้งสองบอกมู่อี๋เสวี่ยว่ามู่จื่อหลิงทำร้ายนางอย่างไร และยังกล่าวถึงว่าองค์หญิงอันหย่า้าที่จะหยุดมู่จื่อหลิง เพื่อที่มู่จื่อหลิงจะไม่ใช้วิธีนั้นในการทำร้ายน้องสาวของตนเอง...
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดภายใต้อำนาจอันแข็งแกร่งของมู่จื่อหลิง ร่างกายที่อ่อนแอขององค์หญิงอันหย่าก็รับไม่ไหว และสุดท้ายนางก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
เมื่อมู่อี๋เสวี่ยได้ยินเื่นี้ นางก็บังเอิญหันไปเห็นองค์หญิงอันหย่าถูกมู่จื่อหลิงกดลงกับพื้นพอดี
ดังนั้นมู่อี๋เสวี่ยจึงเชื่อคำพูดของนางกำนัลทั้งสองโดยไม่คิดมาก
ด้วยเหตุนี้ ในยามนี้มู่อี๋เสวี่ยจึงสามารถขจัดความคับข้องใจที่มีต่อองค์หญิงอันหย่าในใจของนางได้อย่างสมบูรณ์
องค์หญิงอันหย่าแสร้งทำเป็อ่อนแออีกครั้งและพยายามเกลี้ยกล่อมนาง ด้วยท่าทางหวาดกลัวมู่จื่อหลิง “อี๋เสวี่ย อย่า...”
เมื่อมู่จื่อหลิงเห็นองค์หญิงอันหย่าเป็เช่นนี้ จึงนึกบ่นอยู่ในใจ
ต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้ทำตัวเสแสร้งอีกแล้ว!
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะไว้ทุกข์ให้กับมู่อี๋เสวี่ยในใจ ช่างน่าสงสารมู่อี๋เสวี่ยผู้โง่เขลายิ่งนักที่ถูกผู้อื่นใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แล้วยังจะโง่ไปช่วยเขานับเงินอีก [2]
“อันหย่า เ้ากลัวหญิงสารเลวผู้นี้ แต่ข้าไม่กลัว เ้าไม่ต้องกังวล วันนี้ข้าจะสังหารนางให้ได้” มู่อี๋เสวี่ยเอ่ยอย่างก้าวร้าวด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่าน
ในยามนี้ ในใจของมู่อี๋เสวี่ย สิ่งที่นางคิดก็คือองค์หญิงอันหย่านั้นเป็คนดี จะยังคิดได้อย่างไรว่าก่อนหน้านี้นางปฏิบัติกับตนอย่างไร
นางคิดว่า ก่อนหน้านี้องค์หญิงอันหย่าต้องได้รับแรงกดดันมาจากมู่จื่อหลิงเป็แน่ ถึงได้พูดเช่นนั้นกับนาง เมื่อเสาะถึงรากสาวถึงโคนแล้วจึงต้องโทษมู่จื่อหลิงหญิงเลวผู้นั้น
เพราะหากยามนี้ไม่มีองค์หญิงอันหย่า นางก็จะไม่รู้ว่าผู้ใดที่ฉวยโอกาสทำร้ายนาง และนางไม่รู้เลยว่าเมื่อถูกเปิดเผยเช่นนี้แล้ว ยังจะสามารถกลับมาได้อย่างไร
ฆ่านาง? อึก...จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่านี่มันเป็ตลกจริงๆ ร่างกายที่ทรุดโทรมของมู่อี๋เสวี่ยในยามนี้ มีเพียงแค่พลังที่จะใช้ในการสาปแช่งคนได้เท่านั้นไม่ใช่หรือ?
มู่อี๋เสวี่ยผู้นี้เคยข่มเหงรังแกมู่จื่อหลิงคนก่อนหรือเปล่า ในยามนี้จึงได้อวดเบ่งตนเองเช่นนี้ได้ ไม่ต่างไปจากหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก [4]?
คำถามก็คือมู่อี๋เสวี่ยที่ในยามนี้แม้กระทั่งมดก็ไม่อาจเหยียบให้ตายได้ [5] จะฆ่านางหรือ? ช่างไร้สาระ
เมื่อเห็นว่ามู่อี๋เสวี่ย้าที่จะต่อกรด้วยท่าทางที่ไม่ยอมแพ้ จึงเกิดเป็รอยยิ้มเย็นพาดผ่านดวงตาขององค์หญิงอันหย่า ก่อนจะหายไปในพริบตา
จากนั้นนางจึงหุบปากลงไปอย่างแเี ก่อนจะแสร้งทำเป็ป่วยไข้ แล้วหลีกทางออกมาอย่างเชื่อฟัง...รอชมสิ่งดีๆ
ในความเป็จริง องค์หญิงอันหย่าปรารถนาให้มู่อี๋เสวี่ยสามารถสังหารมู่จื่อหลิงได้จริงๆ
แม้ว่านางจะรู้ว่ามันเป็ไปไม่ได้ แต่ยามนี้ภายใต้การจับตามองของทุกคน มู่อี๋เสวี่ยได้เอ่ยคำดูิ่มู่จื่อหลิงออกมาแล้ว และค่อยๆ บรรเทาความเกลียดชังในใจของนางได้ เหตุใดนางจึงไม่ทำมันเล่า
แม้ว่าร่างกายของมู่อี๋เสวี่ยจะอ่อนแอ แต่นางก็ไม่รู้สึกถึงความเ็ปจากด้านหลังเลย แต่นางรู้สึกได้เพียงแค่ความเจ็บแปลบที่หน้าอกและร่างกายท่อนล่างเท่านั้น
ด้วยความรู้สึกนี้ ทำให้ความรู้สึกอับอายและขุ่นเคืองในใจของนางเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ นางอดไม่ได้ที่จะด่ามู่จื่อหลิงออกมาสุดเสียงราวกับจะเอาเืหมามาราดหัว [6]
ในยามนี้ฝูหลินและเหล่าทหารยามแห่งวังหลวงซึ่งได้รับความสดชื่นจากร่างกายของมู่อี๋เสวี่ย ได้ยินเสียงจนต้องหันมามองดูอย่างพร้อมเพรียงกัน...
เพียงแต่ว่า ในขณะนี้พวกเขามองไปที่มู่อี๋เสวี่ยราวกับว่าพวกเขากำลังมองคนตาย
หญิงผู้นั้นเป็คนอกใหญ่ไร้สมองอย่างแท้จริง มีเพียงอกใหญ่โตแต่กลับไม่มีสมอง!
ดูิ่ฉีหวางเฟยในที่สาธารณะ ทั้งยังกระทำต่อพระพักตร์ฉีอ๋อง นางช่างกล้า นางไม่รู้จริงๆ หรือว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร?
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า มู่อี๋เสวี่ยผู้น่าสงสารไม่รู้ว่าฉีอ๋องยังคง ‘อยู่’
หากมู่อี๋เสวี่ยรู้เื่นี้ นางคงจะหายใจไม่ออกตายดีกว่ามาะโโวยวายใส่มู่จื่อหลิงตรงนี้
“นางหญิงเลว เ้าลงมาจากรถม้าเดี๋ยวนี้” มู่อี๋เสวี่ยคำรามเสียงดัง ะโขึ้นลงด้วยความโกรธ จนหน้าอกใหญ่เด้งขึ้นเด้งลง ยามนี้นางดูไม่ต่างจากคนบ้า
มู่อี๋เสวี่ยยกแขนเสื้อขึ้นอย่างโกรธจัดเผยให้เห็นแขนสีฟ้าอมสีม่วงที่บวมช้ำของนาง ราวกับว่านางกำลังจะสู้กับมู่จื่อหลิง
เมื่อเห็นมู่อี๋เสวี่ยเป็เช่นนี้ มู่จื่อหลิงเกือบจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
คนบ้าผู้นี้ช่างเกรี้ยวกราดเสียจริง เหตุใดถึงกระตือรือร้นที่จะะโข้ามกำแพงเหมือนสุนัข [7] แต่เมื่อไม่สามารถข้ามกำแพงไปได้ จึง้าต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่ดูอยู่ทั้งสงสารและสมเพช
มู่จื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วส่งยิ้ม มองมู่อี๋เสวี่ยด้วยสายตาที่หรี่ลง รอยยิ้มของนางก็ราบเรียบมากเช่นกัน “เ้าบอกให้ข้าลงไป ข้าก็ยอมลงไป เช่นนั้นข้าก็จะต้องเสียหน้ามากไม่ใช่หรือ?”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ นางก็ยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างรถม้า เหยียดนิ้วออกมาชี้หน้ามู่อี๋เสวี่ยอย่างยั่วยุ “หากมีความสามารถก็จงขึ้นมา!”
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามู่อี๋เสวี่ยมีแรงมากเพียงใด มู่จื่อหลิงรู้สึกสับสนกับมู่อี๋เสวี่ยที่ยังคงเดือดด้วยความโกรธอยู่ในยามนี้
เห็นได้ชัดว่าชีวิตของนางหายไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ปากของนางกลับยังเต็มไปด้วยน้ำลายที่พร้อมพ่นออกมา ราวกับเ้าตัวเล็กที่แข็งแกร่ง [8] ซึ่งยากต่อการเอาชนะ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ด่าผู้อื่นอย่างสาดเสียเทเสีย มู่จื่อหลิงกลับทำตัวนิ่งสงบ ทำท่าทางไม่ใส่ใจจนทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง
“เ้า...” มู่อี๋เสวี่ยกัดฟันด้วยความโกรธ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ
จนถึงยามนี้นางก็ยังไม่เข้าใจ ในอดีตยามที่มู่จื่อหลิงเห็นนางมักทำท่าราวหนูเห็นแมว และถูกกดทับอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางมาโดยตลอด
หลังจากที่นางหญิงเลวผู้นี้กลายเป็ฉีหวางเฟย หางที่เหี่ยวเฉานั้นกลับชี้พุ่งตรงขึ้นฟ้า [9] กลายเป็คนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าิญญาทั้งดวงถูกสับเปลี่ยน
ยามนี้นางกล้าที่จะหาใครสักคนมาทำร้ายนางในเวลากลางวันแสกๆ ความอัปยศที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้นมันสุดจะบรรยาย...มันช่างเหลือทนและไม่อาจทนได้จริงๆ
เมื่อนึกถึงภาพที่น่าอับอายนั้น มู่อี๋เสวี่ยก็ยิ่งโกรธจนแทบกัดเหงือกขาด [10] จ้องไปที่มู่จื่อหลิงอย่างเคียดแค้น แทบจะรอไม่ไหวที่จะแล่เนื้อเถือหนังของนางออกมาแล้วสับเป็ชิ้นๆ จนไม่ต่างจากเนื้อบด...
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองที่น่ากลัวของนาง ที่ยังคงพิงขอบหน้าต่างด้วยท่าทางที่นิ่งสงบ ในตอนท้าย ยังมีการส่งยิ้มให้นางอีกด้วย
เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุของมู่จื่อหลิง มู่อี๋เสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่ก้าวไปได้เพียงแค่หนึ่งก้าวก็ต้องหยุดลง
แม้ว่ายามนี้นางจะรู้ว่าฉีอ๋องไม่อยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่ต้องห้ามมากที่สุดสำหรับฉีอ๋องก็คือการที่ผู้อื่นแตะต้องสิ่งของของเขา
ไม่ว่านางจะโกรธมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจปล่อยให้ความโกรธครอบงำจิตใจได้ หากต้องถูกเตะจนปลิวไปอีกครั้ง ชีวิตของนางคงจะสูญสิ้นไปจริงๆ
ในความเป็จริงองค์หญิงอันหย่าที่อยู่ข้างๆ นางก็โกรธมากเช่นกัน นางหวังว่ามู่อี๋เสวี่ยจะรีบเร่งเข้าไปฉีกกระชากร่างของมู่จื่อหลิง และจะเป็การดีกว่าที่ตัวนางเองจะไม่ทำร้ายมู่จื่อหลิง ปล่อยให้มู่อี๋เสวี่ยทำร้ายมู่จื่อหลิงให้เสียหน้าต่อหน้าต่อตาทุกคน
แต่...มู่อี๋เสวี่ยผู้ไร้สมองคนนี้ถูกทรมานเช่นนี้ แม้ใน่เวลาสำคัญก็ยังมีสติอยู่บ้าง เมื่อรู้ว่ารถม้าไม่อาจเข้าใกล้ได้ นางจึงร้องะโอย่างกล้าหาญอยู่ภายนอกเท่านั้น
“มู่จื่อหลิงเ้าตัวซวย เ้าสมควรที่จะไม่ได้รับความรักจากผู้ใด ในปีนั้นที่มารดาของเ้าเป็เช่นนั้นก็เพราะเ้า...” มู่อี๋เสวี่ยคำรามเสียงดัง ราวกับว่านางรู้ว่านางกำลังหลุดพูดถึงเื่ใด นางจึงเปลี่ยนคำพูดในชั่วพริบตา “นางหญิงสารเลวลงมาหาข้าเดี๋ยวนี้...”
แม้ว่าคำพูดของมู่อี๋เสวี่ยจะไม่หยุดหย่อนและคำพูดก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่มู่จื่อหลิงก็สามารถคว้ากุญแจสำคัญของสิ่งที่มู่อี๋เสวี่ยพูดต่อหน้านางได้อย่างรวดเร็ว
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มู่อี๋เสวี่ยกำลังพูดถึงอะไร? อะไรที่เป็เพราะนาง?
มู่อี๋เสวี่ยหมายถึงอะไร?
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นในใจของมู่จื่อหลิง เหตุใดนางถึงรู้สึกได้ว่ามู่อี๋เสวี่ยผู้นี้ดูเหมือนจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลมู่เมื่อสิบสี่ปีก่อน?
แต่หากพูดด้วยเหตุและผลแล้ว ในยามนั้นมู่อี๋เสวี่ยน่าจะอายุเพียงสองขวบ นางจะรู้ได้อย่างไร? เป็ไปไม่ได้!
เกิดอะไรขึ้นในปีนั้น? มู่อี๋เสวี่ยผู้นี้ถ่มน้ำลายออกมาโดยไม่รู้ตัวภายใต้สภาพคลุ้มคลั่ง
แต่เมื่อนางพูดถึงเื่นี้ นางยังสามารถหุบปากได้ชั่วขณะหนึ่ง มู่อี๋เสวี่ยผู้นี้ไม่ได้ไร้สมองอย่างที่นางคิด
มีความคิดนับพันอยู่ในหัวของมู่จื่อหลิง และมีเครื่องหมายคำถามอยู่บนหน้าผากของนาง
อย่างไรก็ตาม นางรู้ว่าหากนางถามมู่อี๋เสวี่ยยามนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่ายามนี้มู่อี๋เสวี่ยกำลังบ้าด้วยความโกรธเกลียดนางแทบตาย เพียงแค่นางเอ่ยปากถึงเื่ที่มู่อี๋เสวี่ยเพิ่งหลุดปากออกมาเมื่อครู่นี้ นางก็จะปิดปากเงียบ นางจะไม่พูดมันออกมาอย่างแน่นอน
ดังนั้น นางย่อมไม่มีทางยอมถอยเพื่อถามคนบ้าผู้นี้
แต่มู่อี๋เสวี่ยผู้นี้ที่เกลียดนางมาก สามารถซ่อนสิ่งที่เกิดขึ้นในยามนั้นและไม่เคยพูดถึงมันได้...นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อ
ดังนั้น ยิ่งปิดไม่ให้นางรับรู้มากเพียงใด นางก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นเท่านั้น
หัวใจของมู่จื่อหลิงมุ่งมั่นมากขึ้น นางต้องสืบหาสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้นให้ได้
องค์หญิงอันหย่าก็ดูเหมือนจะตระหนักว่ามู่อี๋เสวี่ยเหมือนจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับมู่จื่อหลิงและไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา
เื่อะไร? นางไม่กล้าพูดมันออกมาหรือ? ร่องรอยของความไม่พอใจปรากฏขึ้นในสีหน้าขององค์หญิงอันหย่า
ต้องรู้ว่า มู่อี๋เสวี่ยแทบจะเล่าเื่วัยเด็กของมู่จื่อหลิงให้นางฟังทั้งหมด
แต่สิ่งเ่าั้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ มีเพียงเื่ซ้ำซากจำเจอย่างมู่จื่อหลิงอยู่ติดจวนมานานหลายปี มักเป็คนโง่ที่อยู่ในสภาพวิกลจริตอยู่เสมอ
แต่ในยามนี้มู่อี๋เสวี่ยกำลังกล่าวถึงเื่ใด นางไม่รู้แม้แต่น้อย
เป็ไปได้ไหมว่ามู่อี๋เสวี่ยยังมีบางอย่างที่ปิดบังนางอยู่? หรือว่านางจะเก็บเื่นี้ไว้ใช้เอง?
ดวงตาขององค์หญิงอันหย่าหรี่ลงเล็กน้อย นางมองมู่อี๋เสวี่ยอย่างเคลือบแคลง มู่อี๋เสวี่ย เ้าไม่ควรปิดบังสิ่งใดจากเปิ่นกงจู่
หลังจากคาดเดาเพียงผิวเผิน มู่จื่อหลิงยังคงนั่งอยู่ในท่วงท่าราวกับเป็เทพเซียน มุมปากของนางโค้งเป็รอยยิ้มบางๆ
นางยิ้มก่อนจะมองไปที่มู่อี๋เสวี่ยที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ด้านล่าง ราวกับว่านางกำลังดูตัวตลกะโโลดเต้นสร้างมุกตลก [11]
หากจะบอกว่าร่างกายของมู่อี๋เสวี่ยส่วนใดที่แข็งแกร่งที่สุด คงมีเพียงปากเท่านั้นที่สามารถเป็ปากพ่นอุจจาระ [12] ออกมาได้ไม่หยุดหย่อน
พูดตามความจริงแล้ว การถูกคนด่าเป็สิ่งที่น่าอับอายมาก แต่สถานการณ์ในยามนี้กลับเป็ตรงกันข้าม
หลังจากถูกด่าชี้หน้าโดยใครบางคนเป็เวลานาน การแสดงออกของมู่จื่อหลิงยังคงสงบนิ่งด้วยความใจเย็น ซึ่งทำให้ผู้ชมที่ชมการแสดงรู้สึกว่ามู่อี๋เสวี่ยผู้แสนบ้าคลั่งผู้นี้เป็เหมือนคนโง่ที่เล่นงิ้วเพียงลำพัง [13]
อย่างไรก็ตามคนโง่ผู้นี้กลับไม่ได้ตระหนักถึงมันเลย ทั้งยังยิ่งด่ารุนแรงขึ้น...ดูเหมือนว่าจะด่ามู่จื่อหลิงในทุกสิ่งอย่าง และดูเหมือนว่าจะเป็การยากที่จะปรับเปลี่ยนความเกลียดชังในใจของนางได้
แม้กระทั่งองค์หญิงอันหย่าผู้ซึ่งแต่เดิม้าจะชื่นชมยินดีกับความอับอายของมู่จื่อหลิง ก็ยังถูกปากร้ายของมู่อี๋เสวี่ยดึงมาด่าทอในที่สาธารณะ ทำให้ความโกรธในใจของนางพลุ่งพล่าน
มู่จื่อหลิงยังไม่ทันได้อับอายขายหน้า นางกลับทำให้ตนเองอับอายเองเสียแล้ว สมองของมู่อี๋เสวี่ยผู้นี้เต็มไปด้วยอึ [14] ใช่หรือไม่? องค์หญิงอันหย่ามองดูมู่อี๋เสวี่ยด้วยความรังเกียจที่อยู่ภายในใจ
ในความเป็จริง ในยามนี้มู่อี๋เสวี่ยอยากจะะโขึ้นรถม้าแล้วฉีกมู่จื่อหลิงที่กำลังยิ้มแย้มอย่างภาคภูมิใจออกเป็ชิ้นๆ
แต่ในใจของนางรู้สึกเกรงกลัวต่อฉีอ๋องอยู่ตลอดเวลาด้วยภาพเหตุการณ์ที่นางถูกโยนจนปลิวยังคงเด่นชัด ดังนั้น แม้ว่านางจะร้อนรนสักเพียงใด นางก็ทำเพียงด่าออกมาเท่านั้น
ไม่ว่าจะมีความอดทนมากเพียงใด การฟังคำสบถด่ามากมาย อาจทำให้คนหมดความอดทนได้ในที่สุด นอกจากนี้ ความอดทนของมู่จื่อหลิงก็มีไม่มากนัก และยามนี้มันถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
มู่จื่อหลิงแตะคางของนางอย่างใจเย็น ดวงตาครุ่นคิด นางกำลังพิจารณาว่าจะทำให้ปากที่เต็มไปด้วยของเสียของมู่อี๋เสวี่ยไม่อาจใช้การให้เป็ใบ้ไปเสียเลยจะดีหรือไม่?
ยามที่มู่จื่อหลิงกำลังคิดว่าควรจะวางยาพิษใส่ปากเสียๆ ของมู่อี๋เสวี่ยดีหรือไม่อยู่นั้น ทันใดนั้น......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] การเสริมเติมแต่ง (添油加醋) เป็สำนวน มีความหมายว่า พูดเกินความจริง หรือพูดบิดเบือนจนเวอร์เกินจริงไปมาก
[2] ยังจะโง่ไปช่วยเขานับเงินอีก (还傻乎乎的帮着数钱) เป็วลี มีความหมายว่า โง่มาก ซื่อบื้อมาก หรือช่างโง่เหลือเกิน มีประโยคเต็มว่า 被人卖了还帮着数钱 แปลว่า ถูกคนอื่นขายไปแล้วยังช่วยนับเงินอีก
[3] เสาะถึงรากสาวถึงโคน (追根究底) เป็วลี มีความหมายว่า สืบสาวเอาเื่ให้ถึงที่สุด หรือสืบหา/ค้นหาต้นเหตุของเื่ราว ในบางครั้งยังแปลได้ว่าแก้ปัญหาจากต้นเหตุ
[4] หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก (死猪不怕开水烫) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ไม่มีความยำเกรงหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น ส่วนมากมักใช้คำนี้ในการว่ากล่าวคนที่หน้าด้าน
[5] แม้กระทั่งมดก็ไม่อาจเหยียบให้ตายได้ (蚂蚁踩不踩得死) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ไม่สามารถทำอะไรได้แม้ว่าจะเป็เพียงเื่เล็กน้อยก็ตาม
[6] เอาเืหมามาราดหัว (狗血淋头) มีความหมายว่าด่าซะเละ เป็คำที่มาจากเื่เล่าในสมัยก่อน ด้วยเมื่อมีคนเชื่อว่าคนไหนเป็แม่มดพ่อมด วิธีที่จะหยุดมนต์ดำก็คือการเอาเืหมามารดหัว จะทำให้มนต์เสื่อม จนแม่มดพ่อมดทำอะไรต่อไม่ได้ จึงใช้คำนี้เปรียบกับการด่า ด้วยคนถูกด่าจะตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกไม่ต่างจากแม่มดพ่อมด
[7] ะโข้ามกำแพงเหมือนสุนัข (狗急跳墙) เป็สำนวน มีความหมายว่า คนที่ฮึดสู้อย่างสุดชีวิตเพราะไม่มีทางเลือก ส่วนมากจะใช้กับคนไม่ดีที่้าหลบหนีอย่างสิ้นหวัง สุดท้ายจะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีก เทียบกับสำนวนไทยจะใกล้เคียงกับคำว่าสู้เหมือนหมาจนตรอก
[8] เ้าตัวเล็กที่แข็งแกร่ง (小强) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า แมลงสาบ
[9] หางที่เหี่ยวเฉานั้นกลับชี้พุ่งตรงขึ้นฟ้า (尾巴直接翘上天) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ตั้งท่าเตรียมจู่โจมโดยไม่เกรงกลัว หรือรับมือได้อย่างไม่มีความกลัว
[10] กัดเหงือกขาด (咬碎牙龈) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า โกรธจัด โกรธมาก ใช้บรรยายความเกลียดชังศัตรู ดัดแปลงมาจากสำนวน 嚼齿穿龈 แปลว่าเคี้ยวฟันให้ทะลุเหงือก
[11] ตัวตลกะโโลดเต้นสร้างมุกตลก (跳梁小丑) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า คนเลวที่อาละวาดสร้างปัญหา
[12] ปากพ่นอุจจาระ (满嘴喷粪) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า กล่าวคำที่ไม่มีมูลความจริง หรือพูดเื่ไร้สาระ
[13] เล่นงิ้วเพียงลำพัง (一个唱独角戏) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ทำอะไรบางอย่างเพียงลำพัง หรือยืนกรานในความคิดเห็นหรือเหตุผลบางอย่างของตนโดยไม่ฟังผู้ใด
[14] สมองเต็มไปด้วยอึ (脑子被屎糊) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า คิดได้เพียงเื่ไร้สาระ ไร้ประโยชน์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้