การได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่งและถูกควบคุมให้ภักดี
เป็สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าหลัวเลี่ยไม่เห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม พลังของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานลำแสงเจ็ดสีที่ปกคลุมทั่วร่างกายได้ แสดงให้เห็นว่าราชันผู้พิชิต้ามอบสิ่งตกทอดให้แก่เขา
ความรู้สึกไร้อำนาจนี้ทำให้หลัวเลี่ยโกรธมาก และเขา้าที่จะต่อต้าน
เขาพยายามอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้ตนเองถูกควบคุม
ทว่าตอนนี้วรยุทธ์ของเขาอยู่แค่ในระดับผู้ฝึกตนเท่านั้น
โดยระดับของการฝึกวรยุทธ์ไล่จากระดับต่ำไปสูงได้แก่ ระดับผู้ฝึกตน ระดับหยินหยาง ระดับแก่น์ ระดับวังชะตา ระดับทลายยุทธ์ ระดับกายทองคำ ระดับจักรพรรดิโบราณ และระดับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
ในตอนที่ราชันผู้พิชิตเสียชีวิต พลังของเขาอยู่ในระดับวังชะตา และมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ระดับกายทองคำ ทว่าผลจากการาเ็ที่เกิดใน่ปีแรกๆ ทำให้เขาจากไปเร็ว
ถึงกระนั้นพลังในระดับวังชะตาที่ราชันผู้พิชิตทิ้งเอาไว้นั้น แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับแก่น์ก็ไม่อาจต้านทานได้ นับประสาอะไรกับเขาที่อยู่ในระดับผู้ฝึกตน ทั้งยังเป็เพียงระดับที่สี่ของผู้ฝึกตนอีกด้วย
แม้ว่าจะเป็อย่างนั้น แต่เขาก็ยังสู้สุดชีวิต
นี่เป็นิสัยของหลัวเลี่ย
เมื่อเป็สิ่งที่เขาเชื่อมั่น แม้ว่าจะมองไม่เห็นปลายทาง แต่เขาก็จะไม่หันหลังกลับ และแม้ว่ามันดูไร้ประโยชน์ แต่เขาก็จะทุ่มเทจนสุดกำลัง
ชิ้ง!
ลำแสงเจ็ดสีไม่สนใจการต่อต้านของหลัวเลี่ย มันค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา ความรู้สึกสบายและอึดอัดแทรกเข้ามาในใจเขาพร้อมกัน
สิ่งนี้ดูเหมือนกำลังชำระล้างร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกอึดอัดและกดดันอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
นี่คือความรู้สึกที่มาจากร่างกายของเขา
เป็ความจริงที่พลังของเขาต่ำ และในท้ายที่สุดร่างกายของเขาก็ได้รับการชำระล้าง หลังจากนั้นเขาััได้ถึงจุดประสงค์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสองประการของการสืบทอดและการควบคุม
“ร่างกายของข้า”
“สิ่งตกทอดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ การชำระล้างของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์!”
“ถ้าอย่างนั้นร่างกายนี้ของข้าก็มีความสามารถในการต่อต้านสิ่งชั่วร้าย”
“มือซ้ายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สามารถสังหารนักเวททั้งหมดได้ แสดงให้เห็นว่าสิ่งตกทอดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และคาถาของนักเวทเป็ปรปักษ์กัน ซึ่งการควบคุมผ่านทางคาถาของนักเวทนั้นเป็สิ่งที่หักล้างกันโดยแน่แท้”
หลัวเลี่ยคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มเดาประเด็นสำคัญได้รางๆ
เขาไม่ดิ้นรนอีกต่อไป แต่นั่งลงขัดสมาธิ สงบสติอารมณ์ ปล่อยตัวเองและไม่ต่อต้านอีก
ลำแสงเจ็ดสีแทรกซึมเข้ามาได้โดยง่าย
แต่หลังจากที่ลำแสงเจ็ดสีเข้ามาอย่างสมบูรณ์แล้ว พวกมันก็เริ่มปรับแต่งเข้ากับร่างกายของหลัวเลี่ย และส่งต่อความทรงจำเข้ามา
หลัวเลี่ยสำรวจภายในร่างกายตนเองทันที
เขาพบว่าในร่างกายของเขา เช่น กระดูก อวัยวะภายใน กล้ามเนื้อ และอื่นๆ มีรัศมีสีขาวเหมือนหิมะจางๆ แผ่ออกมา ซึ่งสำหรับหลัวเลี่ยคล้ายคุ้นเคยกับสีอ่อนๆ นี้
มันเป็สีของแสงเมื่อครั้งที่เขาฝันถึงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ตอนสลายเป็อนุภาคขนาดเล็กนับไม่ถ้วนสีขาวราวกับหิมะ
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือสีอ่อนนี้ให้ความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ที่แม้แต่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังดูแปดเปื้อนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับลำแสงเจ็ดสีนี้
“แน่นอนว่าสิ่งตกทอดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด”
“โอกาสมาถึงแล้ว”
หลัวเลี่ยเริ่มส่งพลังกายทั้งหมดของเขาไปที่มือซ้ายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เพื่อฉีกลำแสงเจ็ดสี
โดยที่ลำแสงเจ็ดสีนี้เป็การผสมผสานระหว่างสิ่งตกทอดของผู้พิชิต และเวทในการควบคุมผู้คนของนักเวท ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
ถ้าเขาฉีกมัน ก็จะทำลายเวทของนักเวทได้ และเมื่อทำลายเวทของนักเวทแล้ว ก็จะทำลายสิ่งตกทอดของผู้พิชิตเช่นกัน นั่นหมายความว่า หากไม่ถูกควบคุมโดยเวทแล้ว ก็จะสูญเสียสิ่งตกทอดของผู้พิชิตด้วย
หลัวเลี่ยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาลงมือสร้างความเสียหายต่อไป
ทุกครั้งที่เขาออกแรง พลังของเขาก็จะอ่อนลง แต่เขาไม่มีความคิดที่จะหยุดเลย
มือซ้ายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ถูกใช้งานครั้งแล้วครั้งเล่า และพลังในร่างกายของเขาก็ค่อยๆ หมดลงครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน เป็วงเวียนวัฏจักรที่เขาฟื้นฟูพลังและดำเนินการต่ออีกครั้ง ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ผ่านไปครึ่งก้านธูป ลำแสงเจ็ดสีจางลงอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม[1] ลำแสงเจ็ดสีสว่างขึ้น แสดงถึงสัญญาณของการหลอมละลาย โดยการถูกแสงศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างกายซ้อนทับลงไป เมื่อทั้งสองสิ่งรวมกันแล้ว พลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเมื่อครบหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดลำแสงเจ็ดสีซึ่งเป็สัญลักษณ์สิ่งตกทอดของราชันผู้พิชิตก็สูญสลายไป
“ฟู่...”
หลัวเลี่ยล้มลงอย่างหมดแรง
ทว่าความอ่อนล้านี้เป็ทางจิติญญา หาใช่ทางร่างกาย ทั้งนี้พลังในร่างกายของเขายังคงอยู่ใน่ฟื้นตัว
เมื่อสิ่งตกทอดสลายไป ลำแสงที่มัดเท้าของเขาก็สลายไปเช่นกัน
“ในที่สุดก็เป็อิสระแล้ว”
“สิ่งตกทอดของราชันผู้พิชิตอยากให้ข้าถูกควบคุมจริงๆ”
“แต่ภายหลังการต่อสู้อย่างเต็มกำลังและค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา พลังของข้าดีขึ้นมากจริงๆ ถ้าจะฝึกจนถึงระดับที่ห้าคงใช้เวลาไม่นานแล้ว”
หลังจากฟื้นตัวเต็มที่แล้ว หลัวเลี่ยก็ยืนขึ้นและมองไปรอบๆ
พื้นที่นี้ไม่ได้ใหญ่มาก
กำแพงตรงหน้าเขามีรูขนาดเล็กสามรู แต่ละรูมีสิ่งของวางอยู่
หนึ่งคือแหวนเงินขนาดเท่าฝ่ามือผู้ใหญ่
อีกหนึ่งคือตราทองที่สลักอักษร ‘ผู้พิชิต’
และอีกหนึ่งคือลูกแก้วทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นทารก ซึ่งภายในดูเหมือนจะมีสิ่งคล้ายเมฆหมอกหมุนวนอยู่
หลัวเลี่ยรู้จักสองในสามสิ่งนี้
แหวนเงินเป็แหวนปีศาจที่สัตว์ประหลาดใช้
ผู้คนในดินแดนเหยียนหวงมีนิสัยชอบสะสมสัตว์เลี้ยง พวกเขาควบคุมและใช้งานพวกมัน หลายครั้งที่สัตว์เลี้ยงมีบทบาทสำคัญมาก
การควบคุมสัตว์ร้ายสามารถทำได้ด้วยแหวนปีศาจชนิดนี้
แน่นอนว่าแหวนปีศาจมีการแบ่งระดับเป็ระดับสูงและระดับต่ำ
ว่ากันว่าแหวนปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นสามารถควบคุมสัตว์ประหลาดที่มีระดับกายทองได้
หลัวเลี่ยมองไม่ออกว่าแหวนปีศาจที่เห็นอยู่นี้อยู่ในระดับใด แต่ด้วยสถานะของราชันผู้พิชิตแล้ว หากตอนนั้นเขาไม่เสียชีวิตก่อนเวลาอันควรด้วยเหตุผลบางประการ เขาคงบ่มเพาะพลังให้กลายเป็ระดับกายทองได้ ซึ่งของสามสิ่งนี้ที่เขาเหลือไว้สามารถบ่งบอกได้ว่า ในสายตาของราชันผู้พิชิตนั้นแหวนปีศาจนี้สำคัญมาก
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า แหวนปีศาจนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลัวเลี่ยไม่เกรงใจแล้ว เขาหยิบมันออกมา
แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่เขารู้จัก คือตราคำสั่งราชันผู้พิชิต
ตราคำสั่งนี้ไม่มีความหมายเมื่ออยู่นอกแคว้นเป่ยสุ่ย แต่หากอยู่ในแคว้น เมื่อแสดงตราราชันผู้พิชิตนี้ ก็เปรียบเสมือนเป็จักรพรรดิองค์ที่สองของแคว้นเป่ยสุ่ย
สำหรับอย่างที่สามนั้นซึ่งเป็ลูกแก้วนั้น หลัวเลี่ยไม่รู้จักมัน
สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับดินแดนเหยียนหวงว่ายังตื้นเขินเกินไปนัก เขายังต้องใช้เวลาอีกมากในการเรียนรู้ทุกด้าน เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตัวเอง
หลัวเลี่ยเก็บตราราชันผู้พิชิตและลูกแก้วขึ้นมา
ค้นหาโดยทั่วอีกครั้ง เมื่อไม่พบสิ่งอื่นแล้วเขาก็เดินออกไป
เมื่อเขามาถึงม่านแสงตรงทางเข้า ก็ยื่นมือซ้ายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ออกมา มีเสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้น แล้วม่านแสงก็แตกเป็เสี่ยงๆ อย่างเป็ธรรมชาติ
ในเวลาเดียวกัน หลัวเลี่ยได้ยินเสียงแตกดังมาจากรอบทิศ ราวกับว่าเขาได้รับสิ่งตกทอดเสร็จสิ้น และจบทุกสิ่งด้วยตนเองแล้ว
เขาแหงนมองดวงอาทิตย์ สูดอากาศบริสุทธิ์ เขาไม่ถูกควบคุม ทั้งยังสามารถหาสมบัติที่ตกทอดมาได้ ดังนั้นเขาจึงอารมณ์ดี เมื่อหลัวเลี่ยมองกลับไปที่สามด่านแรก ก็เห็นว่าตาข่ายเหล็กอายุนับร้อยปีในด่านที่สองยังเคลื่อนไหวขึ้นและลงอยู่ บ่งบอกให้รู้ว่าหลัวชื่อสิงอยู่ในด่านนั้น และกำลังะโขึ้นลง เขาที่เหนื่อยมากก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่าหลัวชื่อสิงยังไม่สามารถฝ่าฟันไปได้ง่ายๆ จึงอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมทันที
ผู้ชมไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่หลัวชื่อสิงแล้ว แต่ต่างมองไปที่หลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยเดินมาหยุดอยู่หน้าฝูงชนอย่างสงบ โดยยืนอยู่หน้าม้าของหลิวหงเหยียน
ทั้งสองมองหน้ากัน เขาเห็นความตื่นเต้นของหลิวหงเหยียนจากมือที่กำแน่น และการหายใจที่หนักหน่วงเล็กน้อยของนาง
“เป็โชคดีของหลัวเลี่ยที่ผ่านด่านที่สี่ได้สำเร็จ” หลัวเลี่ยกล่าว ในขณะที่เขายกตราราชันผู้พิชิต ซึ่งเป็สัญลักษณ์แสดงตัวตนที่ผู้พิชิตทิ้งไว้ขึ้นเหนือหัวของเขา แสงอาทิตย์ส่องกระทบตราสีทองนั้น จากนั้นเขาก็โบกมือที่ถือตราสีทองไปทางชงโหวหู่ “อ๋องชวนหลง ท่าน้าตรวจสอบหรือไม่?”
[1] 1 ชั่วยาม เท่ากับเวลา 2 ชั่วโมง