“พี่สือ ไปอยู่ไหนมา? ผมไม่ได้ยินเสียงพี่เป็เดือนแล้ว” จ้าวซื่อหงกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
สือเจียงหยวนไม่พูดพร่ำทำเพลง “ซื่อหง ลุงรองของนายทำงานอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ไม่ใช่เหรอ? ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งอยากจะขอข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทไห่โซงตี้หน่อย เธอ้าได้สิทธิ์เป็ตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอำเภอหลี่ว์ แต่ไม่รู้ว่ามันจะยุ่งยากซับซ้อนหรือเปล่า?”
สือเจียงหยวนมอบหมายงานให้จ้าวซื่อหงทันที พวกเขาสองคนเป็เพื่อนสนิทกันมาั้แ่เด็ก ดังนั้นไม่จำเป็ต้องเกรงใจอะไรกัน
“โอ้โห สายตาเพื่อนพี่นี่แหลมคมจริงๆ เมื่อสองวันก่อน ครอบครัวของพวกเรามีงานเลี้ยง ลุงของผมก็พูดถึงเื่นี้เหมือนกัน บอกว่าใน่สองปีมานี้ ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตเร็วมากจริงๆ
ไม่ว่าจะเมืองหลวงหรือชนบท ต่างก็พากันนิยมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กแบบนี้กันทั้งนั้น ดูท่าเพื่อนพี่มีสายตาในการทำธุรกิจจริงๆ นะครับ”
จ้าวซื่อหงไม่เชื่อว่าสือเจียงหยวนโทรมาถามเื่พวกนี้เพื่อเพื่อนธรรมดาๆ เพียงคนเดียว หากเป็เื่ที่ทำให้สือเจียงหยวนเอ่ยปากขอร้องเขาแบบนี้ ต้องเป็เื่เกี่ยวกับธุรกิจของอีกฝ่ายเองอย่างแน่นอน
สือเจียงหยวนไม่ได้ปิดบังอะไร เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ฉันวางแผนจะช่วยเหลือเพื่อนคนหนึ่งในอำเภอหลี่ว์ เพื่อให้เธอได้เป็ตัวแทนจำหน่ายน่ะ”
“เพื่อนหรือครับ? ถ้าเป็แค่เพื่อนธรรมดา คงไม่ทำให้พี่โทรมาหาผมขนาดนี้หรอกมั้ง อีกอย่างก็แค่สิทธิ์การเป็ตัวแทนจำหน่ายในอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่เห็นจำเป็ต้องให้ลุงของผมออกหน้าเลยนี่?”
จ้าวซื่อหงเป็คนฉลาด เขารู้สึกสงสัยในทันที
สือเจียงหยวนเองก็รู้ว่าการขอให้ลุงรองของจ้าวซื่อหงช่วยจัดการเื่นี้ ดูจะเป็การใช้ปืนใหญ่ล่านก [1] แต่คนที่เขารู้จักก็มีแค่นี้ แล้วจะให้เขาไปขอความช่วยเหลือจากใครได้อีก?
สือเจียงหยวนกล่าว “เพื่อนคนนี้เป็คนดีมากเลยล่ะ เธอเคยช่วยชีวิตฉันไว้ ไม่งั้นฉันคงไม่สนใจเื่พวกนี้หรอก”
“ฮ่าๆๆ เพื่อนคนนั้นของพี่เป็ผู้ชายหรือผู้หญิงครับ? ผมว่าต้องเป็ผู้หญิงแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่ใส่ใจขนาดนี้หรอก”
จ้าวซื่อหงไม่เชื่อว่าสือเจียงหยวนจะตกอับจนต้องให้คนอื่นมาช่วยชีวิต เพราะแบบนี้เขาจึงไม่เชื่อคำพูดนั้นแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของสือเจียงหยวน จึงลองเดาไปเรื่อยๆ แต่กลับเดาถูกเข้าอย่างจัง
หากเป็เพื่อนผู้หญิงล่ะก็ ถือว่าเป็เื่ดี ในที่สุดสือเจียงหยวนก็มีผู้หญิงที่ถูกใจแล้วสินะ หากเป็เื่จริงล่ะก็ นี่นับว่าเป็ข่าวดีเลยทีเดียว เขาสามารถเอาข่าวนี้ไปบอกพ่อกับแม่ของสือเจียงหยวนได้แล้ว
“ไอ้เด็กบ้า เลิกสอดรู้สอดเห็นได้แล้ว อีกสองวันนายโทรมาบอกฉันด้วยว่าเื่นี้เป็อย่างไรบ้าง อ้อ ใช่แล้ว ฉันจะบอกอะไรให้นะ กล้วยไม้เจี้ยนหยาง [2] อันล้ำค่าของนายน่ะ รีบขายทิ้งไปซะ ฉันได้ยินมาว่าราคาของมันจะตกแล้ว”
สือเจียงหยวนกำลังจะวางสาย แต่นึกถึงการวิเคราะห์ตลาดดอกกล้วยไม้ของคังอิงขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเตือนจ้าวซื่อหงไปสองสามประโยค
“โธ่ เจี้ยนหยางของผมเป็ของดีนะ ผมยังเสียดายจนไม่อยากขายเลย เดือนนี้มันแพงขึ้นกว่าเดือนที่แล้วตั้งสองพันหยวน ตอนนี้ราคากระถางละหมื่นห้าพันหยวนแล้ว ผมยังไม่ยอมขายเลย ผมกำลังรอดูสถานการณ์ของตลาดอยู่น่ะ”
พอพูดถึงดอกกล้วยไม้สุดรักสุดหวง จ้าวซื่อหงก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาไม่ใช่คนที่ชอบปลูกดอกไม้ แต่ที่เขาปลูกดอกกล้วยไม้ ก็เพราะว่ามันทำเงินก้อนโตให้เขาได้เท่านั้น
จ้าวซื่อหงเป็หนุ่มสำรวยในเมืองหลวงที่คนทั่วไปรู้จัก เวลานี้เขาทำงานอยู่ในแผนกที่มีสวัสดิการดีเลิศ แม้ว่าจะเป็พนักงานอัตราจ้าง แต่สวัสดิการที่ได้รับก็ไม่น้อยหน้าใคร ทว่าเงินเดือนกับสวัสดิการที่เขาได้รับในทุกๆ เดือนมักจะถูกเขากินและใช้จนหมด ไม่เคยเก็บเงินไว้เลยสักหยวน
ตอนนี้เขากล้วยไม้เจี้ยนหยางไว้หลายกระถาง ซึ่งนั่นเป็เงินทุนสุดท้ายที่เขาจะสามารถใช้กิน ดื่ม เที่ยว เล่นได้ ดังนั้นเขาจึงหวังว่าจะขายมันออกไปในราคาที่สูงที่สุด
สือเจียงหยวนส่งเสียงฮึหนึ่งที แล้วกล่าวว่า “ฉันเตือนนายแล้วนะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เื่ของนาย!” พูดจบสือเจียงหยวนก็วางสายไป
จ้าวซื่อหงมองดูโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเลื่อนลอย จากนั้นก็มองดูต้นหลันเจี้ยนหยางสามกระถางที่วางอยู่ข้างหน้าต่าง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะขายหรือไม่ขายดี...
***
คังอิงจูงจักรยานเดินเล่นอยู่บนท้องถนน เธอรู้สึกว่าหากตนเองเอาแต่อยู่แต่ในบ้าน คงจะคิดแผนเด็ดๆ อะไรไม่ออกแน่ๆ ยังไงก็ต้องออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง แล้วทำความรู้จักกับยุคสมัยนี้มากขึ้น
เธอจอดรถจักรยานไว้ที่หน้าห้างสรรพสินค้ามิตรภาพ แล้วก็เดินดูของต่างๆ โดยไม่คิดอะไรมาก ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนแต่เป็สิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ…
หลังจากที่สือเจียงหยวนวางสาย เขาก็นอนหลับต่อที่หอพักของลูกพี่ลูกน้อง เขาเสียเืมากเกินไป จึงส่งผลกระทบต่อร่างกายอยู่บ้าง ทำให้รู้สึกง่วงนอนอยู่เสมอ
ทว่าเขานอนที่หลับไปได้ไม่นานก็ถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกขึ้นมา พอรับสาย สีหน้าของสือเจียงหยวนพลันดูเคร่งเครียดขึ้น เขากล่าวกับคนที่อยู่ปลายสายด้วยน้ำเสียงเ็า “ค่าชดเชยแค่นี้คิดว่าฉันจะหายโกรธแล้วงั้นหรือ? ชีวิตฉันเกือบจะไม่รอดแล้วนะ บอกพี่สี่สิ ว่าลองไปคิดวิธีขอโทษแบบใหม่มาก่อน ไม่งั้นเื่นี้ เราคงจบกันไม่สวยแน่”
แท้จริงแล้วเป็เพราะมีคนโทรมาเพื่อไกล่เกลี่ยระหว่างเขากับพี่สี่ หากสือเจียงหยวนไม่ได้มีภูมิหลังครอบครัวอันพิเศษ เขาคงไม่อาจพูดไกล่เกลี่ยกับพี่สี่ได้เช่นกัน แต่เพราะเขามีภูมิหลังครอบครัวแตกต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นอีกฝ่ายจึงยิ่งต้อง ‘มีเหตุผล’ มากขึ้น
แต่พี่สี่อาจจะยังไม่รู้เื่ทั้งหมด เขาคิดว่าสือเจียงหยวนอาศัยเส้นสายจากลุงเขยคนรองจึงได้มาทำตัวกร่างแถวนี้ เขาคิดว่าคนที่เขารู้จักมีตำแหน่งสูงกว่าลุงเขยของสือเจียงหยวนมาก จึงคิดจะใช้เงินเพื่อจบเื่นี้ ส่วนเื่สิทธิ์การทำเหมือง เขาไม่มีทางปล่อยมันไปแน่ๆ
สือเจียงหยวนที่ไม่มีทางปล่อยผ่านเื่นี้ไปง่ายๆ วางสายดัง ‘ปึง’
เพราะสือเจียงหยวนเพิ่งจะได้งีบไปพักใหญ่ๆ พอตื่นแล้วก็ไม่อาจข่มตาหลับได้อีก ดังนั้นเขาจึงลุกจากเตียง แล้วเตรียมจะไปสอบถามเื่ห้างสรรพสินค้ามิตรภาพจากลูกพี่ลูกน้องของเขา
ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เขาออกจากหอพักเดินไปถึงห้องทำงานของลูกพี่ลูกน้อง ก็พบว่าประตูห้องปิดสนิท สือเจียงหยวนเพิ่งรู้ว่าวันนี้เป็วันหยุดสุดสัปดาห์ ลูกพี่ลูกน้องไม่มาทำงาน เขาจึงต้องถอยทัพกลับไป
พอเห็นว่าเวลาก็ไม่เช้าแล้ว สือเจียงหยวนเลยเตรียมจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก ครั้งนี้เขาไม่สามารถหาข้ออ้างไปขอข้าวคังอิงกินได้อีกต่อไปแล้ว
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ พอสือเจียงหยวนเดินออกจากประตูหอพักของสำนักงานบริหารการพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม ก็พบว่าคังอิงเพิ่งจะเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้ามิตรภาพที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ดูท่าคังอิงก็ไม่มีทางยอมแพ้ และยังคงมาดูสถานการณ์ที่นั่นอยู่
สือเจียงหยวนอดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมความจริงจังในการทำงานของคังอิง เธอช่างมีความพยายามที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเองอย่างไม่ลดละ
ในเมื่อบังเอิญเจอกันอย่างนี้ ใครบ้างจะไม่ทักทายกัน สือเจียงหยวนรีบเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว พอเดินไปใกล้ๆ คังอิงแล้ว ก็แสร้งทำท่าทางเหมือนบังเอิญเจอกัน จากนั้นจึงเอ่ยทักทายเธอ
คังอิงเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นสือเจียงหยวนพอดี จึงอดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “บังเอิญจริงๆ เลยค่ะ เดินไปทางไหนก็เจอคุณ ไม่ว่าอำเภอเล็กๆ แห่งนี้จะใหญ่โต หรือไม่ก็ตาม แต่ทำไมฉันถึงเจอคุณตลอดเลยล่ะ?”
สือเจียงหยวนเกาหัวพลางยิ้มกล่าวว่า “คุณไม่อยู่บ้านพักผ่อนให้สบายใจ นี่มาดูสถานการณ์ของตลาดอีกเหรอครับ?”
“ใช่แล้วค่ะ ฉันต้องดูกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเอาไว้ในใจ จะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป” คังอิงตอบ
“ฟังดูน่าสนใจมากเลยนะ ผมขอเดินตามคุณไปดูได้ไหม? แล้วก็สอนวิธีสำรวจตลาดหน่อยสิ”
สือเจียงหยวนรู้สึกว่าคังอิงมีอะไรที่เขาไม่รู้เยอะมาก เขาเริ่มสงสัยขึ้นมาว่า ความสามารถของเธอมาจากไหนกันแน่
“ก็แค่สังเกตการณ์ให้มากขึ้นเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรูหราตามที่เขียนไว้ในตำราหรอก” คังอิงตอบ
คังอิงไม่ได้ปฏิเสธสือเจียงหยวน เขาจึงได้เดินตามไปเป็เพื่อนเธอ ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ จนเดินมาถึงหน้าสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคประจำอำเภอ
คังอิงพลันดึงแขนเสื้อของสือเจียงหยวนแล้วบอกว่า “พวกเราอย่าไปทางนี้เลย ไปทางอื่นดีกว่าค่ะ”
สือเจียงหยวนที่ไม่เข้าใจจึงเอ่ยถาม “ไม่ใช่ว่าคุณจะไปตลาดขายส่งสินค้าจิปาถะเหรอ? ไปทางนี้ใกล้กว่านะ ทำไมต้องอ้อมไปทางอื่นด้วยล่ะ?”
เชิงอรรถ
[1] ปืนใหญ่ล่านก เป็สำนวนที่หมายถึงการใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆ อย่างไม่คุ้มค่า ใหญ่โตเกินกว่าเหตุ หากเทียบกับสำนวนไทยคือขี่ช้างจับตั๊กแตน
[2] กล้วยไม้ดินสกุลกะเรกะร่อน ได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้ชื่นชอบกล้วยไม้ชาวจีน ถูกค้นพบใน่ต้นยุค 90 บนูเาในเขตเจี้ยนหนาน เมืองต้าหลี่ มณฑลยูนนาน เป็หนึ่งในห้าดอกไม้ทองคำแห่งต้าหลี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้