เซี่ยโม่คิดคำนวณอยู่ในใจ ปีนี้คือปี 1975
ปี 1977 หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอคิดจะทำตามความฝันเมื่อชาติที่แล้วให้เป็จริง สอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง จากนั้นพาคุณตา คุณยาย แล้วก็น้องชายย้ายไปอยู่ที่นั่น
ชาติที่แล้วเซี่ยโม่เข้าร่วมการสอบมหาวิทยาลัยตอนปี 1978 ข้อสอบที่เคยอ่านเป็ของปี 1977 เธอจึงยังจำได้แม่นจนถึงทุกวันนี้ อีกอย่างเธอมีเวลาอ่านหนังสือสองปี จึงมั่นใจว่าสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงได้แน่
อิงจากคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยของชาติที่แล้ว มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงต้องรับเธอเข้าเรียนแน่นอน ตอนนั้นเป็เพราะพะวงเซี่ยวฉางเซิงที่ได้คะแนนสอบน้อย และคิดถึงอนาคตของพวกเธอทั้งคู่ เธอเลยเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในมณฑลที่ตัวเองอยู่แทน
แต่ความฝันที่จะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยถูกเซี่ยอวิ๋นแย่งเอาไป ต่อมาถูกลักพาตัวจนชื่อเสียงถูกทำลาย เซี่ยวฉางเซิงเลยไปแต่งงานกับเซี่ยอวิ๋นแทน
เซี่ยวฉางเซิงรู้ทั้งรู้ว่าเซี่ยอวิ๋นเข้าเรียนมหาวิทยาลัยโดยใช้ชื่อเธอ หากทั้งสองก็ยังสมรู้ร่วมคิดกันมาเหยียบย่ำซ้ำเติมเธอ
ชาตินี้เธอจะทำความฝันที่อยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยให้เป็จริงให้ได้ จากนั้นย้ายไปที่เมืองหลวง ซื้อบ้านแบบสี่ประสาน[1]สักหลัง และเปิดเครือซูเปอร์มาร์เก็ต
พอถึงตอนนั้นชีวิตเธอก็จะเป็อิสระและสุขสบาย
คำนวณดูแล้ว เธอมีเวลาอยู่ในหมู่บ้านนี้อีกสองปีครึ่ง
ดังนั้นไม่จำเป็ต้องเก็บคนที่มีนิสัยใจแคบอย่างสองแม่ลูกข้างบ้านมาใส่ใจ
เซี่ยโม่สามารถหาเงินโดยการเก็บสมุนไพรไปขายได้ เธอเลยเอาเงินยี่สิบกว่าหยวนที่เหลือจากการซื้อเนื้อหมูออกมา ส่วนตัวเองเก็บไว้แค่เงินสิบหยวนซึ่งได้จากตอนไปขายของที่ตลาดมืด
“คุณยายคะ คุณยายเก็บเงินนี้ไว้นะคะ หากที่บ้านขาดเหลืออะไรจะได้ซื้อได้ อยากได้อะไรก็ซื้อ ไม่ต้องประหยัด”
คุณยายยัดเงินคืนใส่มือเธอ “ยายจะเอาเงินที่หลานหามาอย่างยากลำบากได้ยังไง หลานเก็บเงินนี้ไว้เองเถอะ นี่ก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ต้องซื้อพวกสมุดปากกาอีกไม่ใช่เหรอ”
“คุณยายคะ ที่หนูยังพอมีอยู่ อีกอย่างหนูขึ้นเขาทุกวัน หากพกเงินไปด้วย หล่นหายขึ้นมาจะทำยังไง คุณยายช่วยเก็บให้หนูหน่อยนะคะ”
“หลานนี่น้า สรรหาวิธีให้ยายเก็บเอาไว้ได้เสมอ งั้นเดี๋ยวยายเก็บไว้ให้ ถ้าหลานอยากจะซื้ออะไรก็มาเอาไปนะ”
“ค่ะ” เธอยิ้มออดอ้อน
คุณยายรับเงินมาก่อนจะเอาไปเก็บไว้ในตู้ แต่พอเห็นว่าตู้ไม่มีกลอน ทั้งคุณยายยังไม่เอาแม่กุญแจออกมาคล้องไว้ เซี่ยโม่อดขมวดคิ้วด้วยความเป็ห่วงไม่ได้
“คุณยายไม่หาแม่กุญแจมาคล้องเอาไว้เหรอคะ”
“บ้านเราฐานะยากจน ไม่มีใครเข้ามาขโมยของหรอก อีกอย่างเฉินเฟิงก็อยู่ที่บ้านตลอด”
เซี่ยโม่พลันนึกอะไรขึ้นได้ “คุณยายคะ ในกระเป๋าเรียนหนูมีแม่กุญแจเก่าๆ อยู่ หนูว่าคุณยายคล้องตู้ไว้น่าจะดีกว่านะคะ”
“ก็ได้ ยายฟังหลาน” หญิงชราพยักหน้า
เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเรียน ที่จริงแล้วคือหยิบแม่กุญแจเก่าๆ จากในโกดังสินค้าออกมา
เป็แม่กุญแจที่ใช้กับตู้ใส่พวกอัญมณีของมีค่า อย่างไรเสียมันก็อยู่ในโกดังสินค้าซึ่งมีแค่เธอคนเดียวที่เห็น จึงไม่มีความจำเป็ต้องใช้มันนัก
คุณยายรับแม่กุญแจไปคล้องตู้
เช้าวันต่อมา เซี่ยโม่ผู้เคยชินกับการตื่นเช้า ลุกขึ้นมาออกกำลังกายแต่เช้าตรู่
เสร็จเรียบร้อยก็เตรียมจะออกไปตัดหญ้าแห้วหมู
กลับถูกเซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยที่เพิ่งตื่นรั้งไว้ มือหนึ่งขยี้ตา มือหนึ่งจับแขนเธอพร้อมกับแกว่งไปมาอย่างออดอ้อน “พี่ครับ ผมไปกับพี่ด้วยได้ไหม”
วันนี้น้องชายเธอเป็อะไรไปเนี่ย
เธอเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง “เฉินเฟิง พี่จะไปตัดหญ้าแห้วหมู ไหนจะต้องแบกตะกร้าอีก พี่ให้เราขี่หลังไม่ได้หรอกนะ อีกอย่างเรายังเล็ก ถ้าต้องเดินไกลจะเหนื่อยเอาได้”
เฉินเฟิงตัวน้อยยู่ปากอย่างดื้อดึง “แต่พี่ ผมเป็ผู้ชาย ผมอยากปกป้องพี่ ผมเดินได้ ไม่ต้องขี่หลังพี่”
น้องชายเธอรู้ความจริงๆ!
ต้องเป็เพราะสองวันที่ผ่านมา อีกฝ่ายได้ยินคุณตา คุณยาย และเธอพูดคุยกันแน่ ถึงได้มีความคิดเช่นนี้
เธอดึงมือเล็กๆ นิ่มๆ ของน้องชายออก ยิ้มพลางเอ่ยปลอบ “ก็ได้ เฉินเฟิงของพี่กล้าหาญที่สุด”
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยรู้เื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วจริงๆ ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ เขา้าจะไปเป็เพื่อนพี่สาว จะได้ปกป้องพี่สาว
เพื่อตื่นให้ทันก่อนพี่สาวออกจากบ้านตอนเช้า ปกติเขามักจะนอนตื่นสาย เมื่อคืนไม่กล้าหลับเลยทั้งคืน พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว รีบกระเด้งตัวลุกจากที่นอนทันที
เซี่ยโม่พาน้องชายขึ้นเขาไปด้วย แม้น้องชายเธอจะยังเล็กอยู่ แต่ก็รู้จักที่จะปกป้อง ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน
ต่อไปพอน้องชายเธอโตขึ้น จะต้องปกป้องเธอได้แน่นอน
ไม่รู้ว่าน้องชายที่แสนอบอุ่นของเธอในอนาคตจะหักอกสาวๆ กี่คน
สองพี่น้องเดินจูงมือกันไปตลอดทาง เมื่อเห็นว่าข้างหน้าคือหญ้าแห้วหมู เซี่ยโม่หยิบยาออกมาฉีดพ่น
เธอกลัวว่าแถวนี้จะมีพวกงู หนอน หรือแมลง น้องชายจะใเอาได้ หลังจากพ่นเสร็จก็เก็บขวดยากลับเข้าไปในโกดังสินค้าเหมือนเดิม
เซี่ยเฉินเฟิงมองขวดยาฉีดด้วยความสงสัย พอเห็นพี่สาวเก็บมันไปแล้ว ใบหน้าน้อยๆ ฉายแววผิดหวัง
เขาอยากจะพูดออกไปว่า อยากดูอีกหน่อยแต่ก็ไม่กล้า
เห็นแววตาน้องชายเต็มไปด้วยความคาดหวัง เซี่ยโม่มองรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงหยิบขวดยาออกมาอีกครั้ง
เธอสอนน้องชายให้ใช้ขวดยาอย่างใจเย็น “เฉินเฟิง มันใช้พ่นแบบนี้ ใช่แล้ว ทำแบบนี้แหละ”
เพียงไม่นานเฉินเฟิงตัวน้อยก็ทำเป็ ก่อนจะส่งคืนให้พี่สาวอย่างเสียดาย
“พี่ครับ รีบเก็บเร็ว”
จากนั้นเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก เป็ท่าเก็บไว้เป็ความลับไม่บอกใคร
เซี่ยโม่เห็นน้องชายรู้ความจึงส่งยิ้มอย่างชื่นชมไปให้
น้องชายเธอฉลาดขนาดนี้ ทำไมแม่ดอกบัวขาวถึงพูดว่าน้องชายเธอโง่นะ
ตอนนั้นเธอคิดว่าน้องชายมีนิสัยขี้กลัวไม่กล้าแสดงออก แม้จะเข้าไปพูดสอน หากน้องชายก็ยังทำตัวเหมือนเดิม
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว เป็เพราะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น น้องชายของเธอเลยเป็คนนิสัยเช่นนั้น
แต่ว่าปัจจุบันนี้ น้องชายเธอสามารถพูดคุย ยิ้ม และหัวเราะได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
“เฉินเฟิง เราเล่นอยู่ตรงก้อนหินก้อนนี้ รอพี่อยู่ตรงนี้ก่อนนะ อย่าไปไหนเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อพี่ วันหลังพี่จะไม่พาเรามาด้วย” เธอพูดกำชับน้องชาย
“ผมรู้แล้วครับ พี่ไปเถอะ”
เธอเดินไปที่กองหญ้าแห้วหมู ขณะที่สายตาไม่วายคอยเหลือบมองน้องชายเป็ระยะ
น้องชายเชื่อฟังเธออย่างยิ่ง แกล้งมดเล่นอยู่แถวก้อนหินไม่ไปไหน
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเธอแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยหญ้าแห้วหมูเดินกลับมา
พอเห็นว่าริมฝีปากของน้องชายแห้งผาก มองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครจึงทรุดลงนั่งยองๆ กับพื้น หยิบนมออกมาจากในโกดังสินค้าสองกล่อง กล่องหนึ่งยื่นให้น้องชาย
“เฉินเฟิง รีบดื่มนมเร็ว”
เซี่ยเฉินเฟิงมองพี่สาวที่หยิบของออกมาจากกระเป๋าอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเลียนแบบท่าทางอีกฝ่าย มองไปรอบๆ จากนั้นนั่งยองกับพื้นแล้วเปิดกล่องนมดื่ม
หลังดื่มหมด เซี่ยโม่เอากล่องนมใส่กลับเข้าไปในโกดังสินค้าเหมือนเดิม แล้วหยิบซาลาเปาสองลูกออกมา ส่งให้น้องชายหนึ่งลูก “รีบกินสิ”
เซี่ยเฉินเฟิงไม่ถามอะไรทั้งสิ้น รับมาใส่ปากอย่างเชื่อฟัง กินหมดก็เอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก
เซี่ยโม่ถึงกับยิ้มกว้างน้องชายเธอรู้ดีว่าเื่พวกนี้จะบอกใครไม่ได้
“ไป พวกเราลงจากเขากลับบ้านกัน” เธอพูดกับน้องชายอย่างรักใคร่เอ็นดู
เด็กชายยิ้มดีใจ ก่อนจะเดินลงจากเขาตามหลังพี่สาว
เดินไปได้ไม่ไกลเซี่ยโม่ได้ยินเสียงเหมือนมีคนล้มอยู่ด้านหลัง
แย่แล้ว ต้องเป็น้องชายเธอที่หกล้มแน่!
เมื่อหันหลังกลับไปมอง เห็นภาพน้องชายกำลังลุกขึ้นยืนพอดี
หลุบมองบนพื้น ไม่มีก้อนหินและก็ไม่มีเนิน
“เฉินเฟิง ระวังหน่อย ทำไมถึงหกล้มได้”
เด็กชายตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ผมอยากจะช่วยพี่ เห็นพี่สะพายตะกร้าหนัก แต่ว่ามาลื่นล้มก่อน”
ทำไมน้องชายเธอถึงได้น่ารักแบบนี้นะ!
เธอรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตา ยื่นมือไปดึงมือน้องชายมาจูงเอาไว้ “เรายังเด็ก ไว้รอให้โตเมื่อไรค่อยปกป้องพี่”
เด็กชายพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังเด็ดเดี่ยว
เซี่ยเฉินเฟิงในเวลานี้อยากให้ตัวเองรีบโตไวๆ เหลือเกิน จะได้ยืนอยู่เคียงข้างและคอยปกป้องพี่สาวได้
เขาคลายมือจากมือของพี่สาว “พี่ครับ พี่สะพายของหนักแล้ว ไม่ต้องจูงผมหรอก”
เซี่ยโม่นึกถึงเหตุผลที่น้องชายลื่นล้มเมื่อสักครู่ ต้องเป็เพราะเห็นว่าเธอสะพายตะกร้าหนักเลยอยากช่วยเธอแน่แม้น้องชายเธอจะอายุยังน้อย แต่ก็ฉลาดรู้ความเหลือเกิน
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาพร้อมกับพึมพำในใจ
‘แม่คะ ชาตินี้หนูจะปกป้องน้องชายให้ดี หนูสัญญาค่ะ’
—---------------------------
[1] เรือนสี่ประสาน เป็รูปแบบบ้านโบราณของจีน มีตัวบ้านล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน ตรงกลางเป็ลานเอนกประสงค์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้