เล่มที่ 10 บทที่ 288 ยอดเขา
ต่อให้บันไดหินทั้งสิบแปดขั้นนี้จะสามารถคัดลอกผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันบนเกาะนี้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็พลังหรือศาสตราวุธก็ตาม
แต่ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่มีอายุยืนยาวหลายร้อยปีย่อมไม่ต่างอะไรกับตำนานที่มีชีวิต ทั้งประสบการณ์ ความรู้หรือสายตาที่หลักแหลม ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่อาจคัดลอกออกมาได้ง่ายๆ ดังนั้นอย่าว่าแต่ขั้นบันไดหินนี้เลย ต่อให้เป็สิ่งของขั้นเซียนเทียนเอง ก็ยากที่จะคัดลอกออกมาได้โดยสมบูรณ์…
เมื่อหลินเฟยเกิดห้วงมิติกระบี่ขึ้นมา จึงทำให้จงซานดับสูญหายไปในพริบตา…
ปราณกระบี่อิ๋นเหวิน ทงโยว ซีรื่อ เหล่ยยวี่…
สิ่งที่ปราณกระบี่ทั้งสี่สำแดงออกมาก็คือเคราะห์มิ่งหุนทั้งสี่
เป็พลังที่รุนแรงระดับฟ้าดิน…
ต่อให้ขั้นบันไดหินนี้สามารถคัดลอกผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันออกมาได้ แต่ก็ทำได้เพียงเปลือกนอกเท่านั้น มีหรือจะเทียบผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันซึ่งฝ่าเคราะห์มิ่งหุนทั้งหกที่แท้จริงได้…
ของปลอมจึงเป็ของปลอมอยู่วันยังค่ำ...
หลังจากที่ฝ่าเคราะห์ลมจนเกิดห้วงมิติกระบี่แล้ว หลินเฟยก็สามารถก้าวขึ้นบันไดติดๆ กันได้อย่างรวดเร็ว เพราะผู้บำเพ็ญทุกคนที่ประมือล้วนเป็ของปลอมทั้งสิ้น จึงไม่อาจต้านทานพลังจากห้วงมิติกระบี่ได้…
เพียงครู่เดียวหลินเฟยก็ก้าวมาถึงขั้นที่สิบห้าแล้ว
และบัดนี้ก็กำลังจะก้าวขึ้นไปยังขั้นที่สิบหก…
“ไม่รู้ว่าคนที่จะเจอจากนี้ จะเป็ผู้าุโคนไหนของสามสำนักใหญ่กันนะ…” หลินเฟยรู้ดีว่าผู้ที่ยืนอยู่สามขั้นสุดท้ายจะต้องเป็สามผู้าุโของสามสำนักใหญ่แน่นอน…
ครั้งนี้มีผู้บำเพ็ญก้าวเข้ามายังซากปรักหักพังนี้ไม่น้อยเลย แต่กลับมีเพียงผู้าุโชื่อิ หลงเซี้ยง และชื่อเสียเท่านั้น ที่ผ่านการโคจรพลังมาแล้วเก้าขั้น จึงได้ชื่อว่าเป็เจินเหรินอย่างแท้จริง…
“เจินเหรินงั้นหรือ…” เมื่อหลินเฟยคิดดังนั้น ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะตนเองมีขั้นบำเพ็ญเพียงมิ่งหุนเคราะห์สี่เท่านั้น แต่กลับมีโอกาสประมือกับผู้ที่มีพลังระดับเจินเหรินได้ จึงเป็เื่ที่น่าตกตะลึงไม่น้อยเลยทีเดียว…
ทว่า…
ขณะที่หลินเฟยก้าวขึ้นขั้นที่สิบหก…
ทันใดนั้นเขาก็ต้องชะงักลงทันที
‘เกิดอะไรขึ้น?’
‘ทำไมไม่มีใครเลยล่ะ?’
หลินเฟยไม่ยอมแพ้เพียงแค่นี้ เขาก้าวขึ้นไปยังขั้นที่สิบเจ็ดทันที…
และผลก็ยังเหมือนเดิม…
“บ้าเอ๊ย อย่าบอกนะว่าขั้นสุดท้ายก็เหมือนกันน่ะ…” หลินเฟยถึงกับหัวเสียทันที จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปยังขั้นที่สิบแปด…
ไม่นานก็มีกระแสลมเย็นพัดโชยมา…
ทุกอย่างดูโล่งโจ้งไปหมด…
เพราะขั้นสุดท้ายนี้ ก็ไม่มีผู้ใดปรากฏออกมาเลยเช่นกัน!
หลินเฟยยืนอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย ก่อนจะก้มหน้ามองลงไปยังเบื้องล่าง ทันใดนั้นหลินเฟยก็รู้สึกแย่ลงทันที เพราะคิดไม่ถึงว่าสามขั้นสุดท้ายจะไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ไม่มีผู้าุโของสามสำนักใหญ่ที่มีพลังจิงตันเก้าโคจรอย่างที่คิดไว้เลย…
‘คิดเล่นตลกกันหรือไง?…’
‘เสียเวลาจริงๆ ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาอุตส่าห์เตรียมตัวเตรียมใจอยู่นาน แต่พอขึ้นมากลับไม่มีใครเลยเนี่ยนะ!’
“หรือว่า…” เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็ใจกระตุกทันที ‘เพราะขั้นบันไดหินทั้งสิบแปดนี้เกือบจะคัดลอกผู้บำเพ็ญจิงตันที่เคยย่างกรายเข้ามาที่เกาะนี้จนหมด แล้วทำไมสามขั้นสุดท้ายถึงไม่มีใครเลยล่ะ?’
‘หรือเพราะสามคนสุดท้ายแข็งแกร่งเกินไป?’
เพราะผู้บำเพ็ญจิงตันเก้าโคจรเมื่อเทียบกับหกโคจรแล้วจึงต่างกันราวฟ้ากับเหว เป็เหมือนเซียนและปุถุชนก็ว่าได้ ต่อให้มีผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันหกโคจรสิบคนรวมกัน ก็ไม่อาจต่อกรกับผู้บำเพ็ญจิงตันเก้าโคจรเพียงคนเดียวได้ด้วยซ้ำ…
‘หรือว่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเก้าโคจรสามคนสุดท้ายจะแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ?’
‘แข็งแกร่งชนิดที่ไม่สามารถคัดลอกพลังออกมาได้?’
‘เช่นนั้นแล้ว ขั้นบันไดหินนี่ก็ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่คิดน่ะสิ?’
“ดูท่าตาเฒ่าขั้นจิงตันเก้าโคจรสามคนนั้นจะต้องวางแผนบางอย่างอยู่แน่ๆ…” หลินเฟยจำได้ว่าผู้าุโชื่อิเคยบอกไว้ว่าสิบวันให้หลัง ให้ไปพบที่ทะเลอสูร ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่าอีกฝ่ายคงได้เล็งเห็นวิชาหลอมอาวุธของตนเองเสียที แต่ตอนนี้พอกลับไปคิดดูอีกครั้ง จริงๆ แล้ว อาจจะไม่ใช่แค่เพื่อเคล็ดวิชาหลอมอาวุธอย่างเดียวก็เป็ได้…
‘แต่จะเป็อะไรกันล่ะ?’
หลินเฟยไม่เก็บมาคิดให้เสียเวลาอีกต่อไป เพราะบัดนี้เมื่อก้าวขึ้นบันไดหินทั้งสิบแปดขั้นแล้ว โลงศพหินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ‘เอาชิ้นส่วนประตูมิติออกมาก่อนแล้วกัน!’
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็รีบก้าวขึ้นไปยังยอดเขาทันที
‘จะว่าไปก็ดูแปลกประหลาดไม่น้อย…’
เพียงก้าวเท้าออกไป โลงศพหินที่อยู่ห่างไกลก็ราวกับถูกดึงเข้ามาให้ปรากฏอยู่เบื้องหน้า…
พอกวาดตามองไป ก็เห็นลำแสงสีแดงสาดส่องขึ้นไปบนฟากฟ้า คอยปล่อยกลิ่นอายแห่งความลี้ลับออกมาไม่หยุด หลังจากเงาของโลงศพหินทับซ้อนลงมา ทันใดนั้นก็เกิดแรงกดดันน่ากลัวกดทับลงมา ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สี่อย่างหลินเฟย ก็ยังมิวายหายใจไม่ออก…
“น่าประหลาดมาก...” หลินเฟยยืนนิ่งอยู่หน้าโลงศพหิน โดยไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปแม้แต่น้อย บัดนี้เขากำลังเพ่งพินิจโลงศพหินอย่างตั้งใจ
ดูไปแล้ว โลงศพหินนี้ ก็ดูทรุดโทรมเป็อย่างมาก คงจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานราวกับผ่านลมหนาวมานับพันนับหมื่นปีเลยทีเดียว อักขระที่ผิวโลงก็ปรากฏขึ้นเป็จำนวนมากจนแน่นขนัดไปหมด ดูลึกลับไม่น้อย ภายใต้อักขระโบราณมากมายนี้เอง และยังมีภาพของัสามตนที่ดูสมจริงเป็อย่างมากราวกับกำลังปกปักรักษาโลงศพหินนี้อยู่…
“หือ?” หลินเฟยถึงกับขมวดคิ้วแน่นทันที เพราะขณะที่กำลังจะพินิจดูัอย่างละเอียดอยู่นั้น ในหัวก็พลันได้ยินเสียงัคำรามดังสนั่น จากนั้นัสามตนที่สลักอยู่บนผิวโลงก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีกระแสความน่าเกรงขามแพร่กระจายออกมา และบีบบังคับให้หลินเฟยถอยร่นออกมาโดยสัญชาตญาณ…
ไม่นานก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านพลันหายไปหมด สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาแทนกลับเป็ห้วงมิติว่างเปล่าอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา บัดนี้กำลังมีัตัวั์ที่ยาวนับพันลี้กำลังกางกรงเล็บพุ่งตรงเข้ามา ห้วงมิติรอบด้านพังทลายลงคล้ายกับโลกนี้มีเพียงัอย่างเดียว…
หลินเฟยรีบบงการปลดปล่อยปราณกระบี่ทงโยวเพื่อสะบั้นออกไปทันที จากนั้นห้วงมิติหยินหยางก็แตกออก เมื่อสิ้นเสียงะเิดังสนั่น ห้วงมิติที่ว่างเปล่ารวมถึงเ้าัก็หายวับไป เหลือเพียงหลินเฟยที่ยืนหน้าซีดอยู่ที่เดิม…
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ…” หลินเฟยรู้ดีว่าเป็เพราะไอหยินที่หลงเหลืออยู่รอบโลงศพหิน เพียงเข้าใกล้ก็เกิดภาพลวงตาอย่างเช่นเมื่อครู่ หากตนเองตั้งสติไม่ทันและไม่อาจสะบั้นตัดห้วงมิติหยินหยางออกไปละก็ เกรงว่าตอนนี้คงต้องตกอยู่ในอันตรายแล้ว…
‘แต่การสลักัไว้บนโลงเช่นนี้ เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ…’
“ใช่แล้ว สำนักตงจี่!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็ตาเป็ประกายขึ้นมาทันที
‘ใช่แล้วล่ะ…’
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------