เมิ่งซวี่ซวีแค่นเสียงอย่างรังเกียจ "ทั้งวันเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ!" กล่าวจบก็เดินเข้าห้อง ไม่อยากสนใจอีกต่อไป
เมิ่งต้าโกรธจัด ตวาดว่า "ซวี่ซวี! เ้าหยุดประเดี๋ยวนี้นะ! กลับมาถึงก็ระบายอารมณ์ใส่พวกเรา โต้เถียงกับแม่ของเ้ากับพี่สาวของเ้า เ้ามันก็เก่งแต่กับคนในครอบครัว!"
เมิ่งซวี่ซวีไม่ยอมแพ้ จึงโดนเมิ่งต้าตบบ้องหูหนึ่งฉาด ตีจนโง่งมแล้ว
เมิ่งซวี่ซวีร้องไห้โฮ "ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้าสู้พี่ไม่ได้สักอย่าง! พวกท่านเอาแต่ตีข้าเสมอ ไม่เคยตีนางเลย!"
สักพักในเรือนก็ราวกับไก่บินสุนัขะโ [1] ไม่สงบสุข
ต่อมาเมิ่งเจียนเจียจึงเล่าเื่ราวทั้งหมดให้ฟังอย่างชัดเจน
ที่แท้สองพี่น้องทะเลาะกันรุนแรงเช่นนี้เป็เพราะเมิ่งอู่ยุยงปลุกปั่น
ไม่เพียงเท่านั้นนางยังทำให้ลุงคนหนึ่งล้มลงนอกประตูเรือน ทั้งยังยิงธนูเกือบโดนเมิ่งซวี่ซวีด้วย
สุดท้ายไม่เพียงไม่ได้ธัญพืชกลับมา แม้แต่ไก่ตัวนั้นยังเป็ไก่ป่าบนูเา หาใช่แม่ไก่บ้านทั่วไป ยิ่งไม่มีทางจะเอากลับคืนมาได้
นางเย่ฟังแล้วเดือดดาลเหลือหลาย มองเมิ่งเจียนเจียด้วยความหงุดหงิด "เลิกร้องไห้ได้แล้ว! เ้ากับซวี่ซวีรีบวิ่งกลับมาด้วยกัน แล้วทิ้งพวกลุงไว้โดยมิได้สนใจเลยหรือ?"
เมิ่งเจียนเจียสะอึกสะอื้น เอ่ยว่า "ยามนั้นมัวแต่ไล่ตามซวี่ซวี..."
ไหนเลยจะมัวแต่ไล่ตามเมิ่งซวี่ซวี นางเพียงกลัวว่าหากอยู่ต่ออีกครู่จะต้องอับอายขายหน้า แล้วใครจะไปสนใจพวกลุงอีกเล่า จึงทิ้งให้พวกลุงของนางเผชิญกับการถูกชี้นิ้วตำหนิ และคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดของผู้คน
นางเย่เป็คนกลิ้งกลอกและเ้าเล่ห์มาโดยตลอด ย่อมรู้ว่าเื่นี้ไม่ถูกต้อง นางยิ่งโมโห "เ้า… สมควรว่าเ้าอย่างไรดี! ทิ้งพวกลุงไว้แบบนั้น ภายภาคหน้าพวกเขายังจะช่วยเหลือครอบครัวพวกเราอีกหรือ!"
เมิ่งเจียนเจียหวาดผวา เอ่ยว่า "ข้า… ยามนั้นข้าไม่ได้คิดอันใดมากมายเพียงนั้น..."
ยิ่งนึกถึงไก่ที่กำลังตุ๋นอยู่ในหม้อ ครอบครัวของเมิ่งต้าก็ยิ่งโกรธกรุ่นจนแทบอาเจียนเป็เื
วันนี้แดดดีหลังกินอาหารเช้าแล้ว เมิ่งอู่ก็เปลี่ยนเทียบยาให้อินเหิง
ไม่นานยาในหม้อบนเตายาก็เดือดพล่าน กลิ่นยาหอมอบอวลไปทั่วลานเรือน
ยามนี้ทั้งเมิ่งต้า นางเย่ และนางเหอล้วนาเ็ เท้าเป็แผลเดินไม่สะดวก คงต้องพักอยู่ในเรือนสักพัก ไม่สนใจเื่ราวข้างนอก ส่วนนางเซี่ยมิอาจอยู่แต่ในเรือนตลอดเวลาจนเกิดความเบื่อหน่าย ยามเช้าจึงตัดสินใจไปที่ทุ่งนาเพื่อดูพืชผลและเก็บผักสดกลับมา
เมิ่งอู่โบกมือพร้อมกล่าว "ท่านแม่รีบไปเถิด ไปเถิดเ้าค่ะ วันนี้ข้าจะทำอาหารกลางวันเอง"
นางเซี่ยกำชับซ้ำๆ และเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า "ยามที่ข้าไม่อยู่ในเรือน อาอู่ เ้าต้องรักนวลสงวนตัว อย่าทำเื่ต้องห้ามระหว่างชายหญิงเด็ดขาด"
เมิ่งอู่พยักหน้าอย่างจริงจัง "ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ ข้าจะทำตามแน่นอน"
นางเซี่ยมองเมิ่งอู่ด้วยสายตาเคลือบแคลง ก่อนหยิบตะกร้าขึ้นมาสะพายหลัง แล้วเดินออกจากเรือน
หลายวันมานี้เมิ่งอู่คอยดูแลสุขภาพของนางเซี่ย ทำให้นางนอนหลับสนิทในเวลากลางคืน พักผ่อนเพียงพอระหว่างวัน ทั้งยังเสริมด้วยยาเพิ่มพลังชี่ ทำให้อาการของนางดีขึ้นกว่าเดิมมาก เหลือเพียงไอเป็ครั้งคราว แม้จะมีเรี่ยวแรงลดน้อยถอยลงบ้าง แต่การใช้ชีวิตประจำวันที่เหลือก็ไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป
นางมิอาจปล่อยให้เมิ่งอู่แบกรับภาระทั้งหมดในเรือนเพียงลำพัง งานกำจัดวัชพืช และเก็บผักในทุ่งนาไม่หนักหนา นางทำเท่าที่จะทำได้
ครอบครัวเมิ่งต้าไม่กล้ามาหาเื่อีก เมิ่งอู่จึงไม่ห้ามปรามนางเซี่ย ปล่อยให้นางออกไปเดินเล่นบ้างก็ดี
ทันทีที่นางเซี่ยออกจากเรือน เมิ่งอู่ก็รีบเดินเข้าห้องอย่างยินดีปรีดา หารือกับอินเหิงว่า "อาเหิง วันนี้อากาศดี เ้าสนใจจะบ่มเพาะความรู้สึกกับข้าหรือไม่?"
อินเหิงเงยหน้ามอง… เื้ัของนาง ยังไม่ทันเอ่ยวาจา ก็กระแอมกระไอออกมาอย่างอ่อนแรง
อินเหิงมีสีหน้าท่าทางไร้เดียงสาไร้พิษภัย เอ่ยว่า "แต่ท่านแม่ของเ้าบอกว่า ไม่สมควรที่เ้าจะทำเื่ต้องห้ามกับข้า"
เมิ่งอู่หยิบปอยผมของอินเหิงมาพันเล่นระหว่างนิ้ว ก่อนกล่าวติดตลก "ท่านแม่ออกไปเก็บผักแล้ว กว่าจะกลับก็ตอนเที่ยง ยามนี้ในเรือนมีเพียงพวกเราสองคน ท่านแม่จะไม่รู้..."
ยังไม่ทันกล่าวจบ ด้านหลังก็ดังเสียงตำหนิอย่างเ็า "จะไม่รู้อะไร! ไม่รู้ว่าข้าเพิ่งก้าวออกจากเรือน เ้าก็ทำทุกอย่างตามใจตนเอง ทำหูทวนลมกับคำพูดของข้าหรือ!"
เมิ่งอู่ตัวสั่นสะท้าน นางเหลียวกลับไปมอง เห็นคนยืนอยู่ที่ประตูเรือน นั่นมิใช่นางเซี่ยหรอกหรือ
เมิ่งอู่รีบปล่อยมือจากปอยผมของอินเหิงในบัดดล แล้วรีบชักมือกลับราวกับกลัวว่าจะถูกตัดมือ นางระบายยิ้มเกลื่อนหน้าแล้วพูด “ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้วหรือ ไม่ใช่ไปเก็บผักหรือ ลืมเอาเคียวไปใช่หรือไม่เ้าคะ?”
เมื่อครู่นางเซี่ยเพิ่งกำชับบุตรีว่าให้รักนวลสงวนตัว! ผลปรากฏว่าทันทีที่นางออกจากเรือนก็รู้สึกไม่วางใจจึงย้อนกลับมาดู รักนวลสงวนตัวกับผีน่ะสิ!
นางเซี่ยกล่าว “ข้าเป็คนดูแลครอบครัวนี้ เดิมข้าแค่อยากให้เ้าได้พักผ่อนให้ดี คิดไม่ถึงว่าข้าเพิ่งจากไปประเดี๋ยวเดียว เ้าก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะลูบคลำบุปผาเหยียบย่ำหญ้า [2] แล้ว อาอู่ เ้าลองคิดดูสิว่า การกระทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่!”
เมิ่งอู่เกาหัวพลางกล่าว “ไม่ถูก ไม่ถูกต้องเ้าค่ะ ข้าเพียงล้อเล่น”
นางเซี่ยเทศนา “เด็กสาวจะล้อเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร ชายหญิงแตกต่างกัน เ้าสมควรระมัดระวังคำพูดและการกระทำ ผิดจริยาอย่าดู ผิดจริยาอย่าพูด ยิ่งกว่านั้นหากชายหญิงจำเป็ต้องอยู่ในห้องเดียวกันยิ่งต้องไม่ประมาท มิเช่นนั้นหากบุรุษหื่นกระหายกลายเป็สัตว์ร้าย ผู้ที่เสียเปรียบย่อมเป็ตัวเ้าเอง!”
อินเหิงกล่าว “ฮูหยิน ข้าเป็เพียงคนพิการ ยังห่างไกลจากคำว่า ‘หื่นกระหายกลายเป็สัตว์ร้าย’ มากนักขอรับ”
นางเซี่ยกล่าว “เ้าหุบปาก ข้ามิได้สั่งสอนเ้า!”
อินเหิง “ขอรับ”
เดิมทีนางเซี่ยเคยเรียนหนังสือกับอาจารย์เซี่ยมาก่อน นางเริ่มล้านสมองเมิ่งอู่โดยหยิบยก “คำสอนสตรี” “จรรยาสตรี” รวมถึงข้อถกเถียงอื่นๆ ที่อาจไม่เป็ผลดีต่อความคิดของสตรีมาเทศนา เมิ่งอู่ก็รีบขัดจังหวะ “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว ยังไม่พออีกหรือ? มิเช่นนั้นท่านอยู่เฝ้าเรือน ข้าไปเก็บผักเองเ้าค่ะ”
นางเซี่ยกล่าว “เ้ากลับมาเถิด ข้าจะไปทุ่งเอง เ้าจะได้อยู่ในเรือนดีๆ”
นางเซี่ยมองเมิ่งอู่ผาดหนึ่ง เมิ่งอู่ยังไม่ทันแอบยินดีปรีดา ก็ต้องเฝ้ามองมารดาอย่างช่วยไม่ได้ นางเซี่ยไปค้นหาแม่กุญแจเก่าๆ ในตู้ออกมา จากนั้นก็ไล่เมิ่งอู่ออกไปนอกเรือน แล้วใส่กุญแจประตูเรือน…
จากนั้นนางเซี่ยก็เก็บลูกกุญแจไว้กับตัว
เมิ่งอู่ลูบจมูกแล้วยิ้มแห้ง “ท่านแม่ ล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน จำเป็ต้องทำถึงเพียงนี้หรือเ้าคะ?”
นางเซี่ยตอบ “ข้าเห็นว่าจำเป็มาก ปิดไว้แบบนี้ก่อน รอข้ากลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
เมิ่งอู่ถามอย่างน่าสงสาร “เช่นนั้นหากข้าอยากพักผ่อนจะทำเยี่ยงไรเล่า?”
นางเซี่ยกล่าว “หากอยากพักผ่อนก็เข้าห้องไปนอนพักบนเตียงตอนกลางวันไม่ได้ ที่นี่มีม้านั่งมิใช่หรือ เ้านั่งพักผ่อนก็พอแล้ว”
สุดท้ายเมิ่งอู่จึงได้แต่นั่งอยู่บนม้านั่งเย็นๆ เพียงลำพัง ขณะเฝ้ามองมารดาของนางแบกตะกร้าไว้บนหลังออกจากเรือนไป
ธรรมเนียมโบราณ ยึดถือธรรมเนียมโบราณเกินไปแล้ว!
คราวนี้นางเซี่ยจากไปอย่างสบายใจ ไม่ย้อนกลับมาอีก
เมิ่งอู่ฮัมเพลง “สะพานนกสาลิกา” ที่กล่าวถึงเื่ราวของหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าอย่างสบายอารมณ์อยู่พักหนึ่งขณะนั่งอยู่หน้าประตูเรือน ส่วนอินเหิงที่อยู่ในห้องเอนหลังพิงผนัง หลับตาพักผ่อน ฟังอย่างตั้งใจ นิ้วมือเคาะเบาๆ ตามจังหวะสูงต่ำของเมิ่งอู่ จากนั้นก็อดหยักมุมปากยิ้มไม่ได้
เมิ่งอู่ทนนั่งม้านั่งเย็นๆ ตลอดทั้งเช้าไม่ไหว นางหรี่ตามองแสงแดดเจิดจ้าแล้วถอนหายใจ ก่อนยันสองมือที่หัวเข่าแล้วลุกขึ้นยืน เดินเข้าครัว
หลังจากยาบนเตายาเดือดแล้ว นางก็เริ่มเคี่ยวน้ำแกงช้าๆ ด้วยไฟอ่อน
เตาในครัวยังมีไฟอุ่นๆ คุกรุ่น น้ำในหม้อใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเตาเดือดพล่านแล้ว
ไม่นานต่อมาเมิ่งอู่ก็ยกอ่างน้ำที่ใส่น้ำไว้เต็มออกมาวางไว้หน้าประตูเรือน
นางสะกิดแม่กุญแจที่คล้องประตูอย่างง่ายดายสบายๆ ครู่หนึ่ง ก็เกาหัวแล้วเดินไปหยิบไม้ไผ่ท่อนหนึ่งจากลานเรือน ก่อนแหย่เข้าไปในรูกุญแจสองครั้งพลางถอนหายใจอย่างหม่นหมอง “อยู่ในเรือนตนเองแท้ๆ กลับต้องทำราวกับเป็ขโมย ไม่สมควรเลยจริงๆ”
ทันทีที่กล่าวจบ กุญแจก็ถูกปลดออก
………..
[1] หมายถึง เหตุการณ์อลหม่าน โกลาหลวุ่นวาย
[2] หมายถึง เ้าชู้ หรือการมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมระหว่างชายหญิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้