เสื้อคลุมตัวนั้นหล่นหายไปในแม่น้ำตอนที่นางว่ายน้ำข้ามฝั่งแน่นอน น่าเสียดายต้องผิดต่อน้ำใจของพี่ใหญ่มู่
นางลอบโอดครวญในใจ
ห่อสัมภาระห่อหนึ่งถูกโยนเข้ามาทันใด เฟิ่งเฉี่ยนยกมือขึ้นรับ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเซวียนหยวนเช่อหลับตาลงอีกครั้งเพื่อพักสายตา
เฟิ่งเฉี่ยนเปิดห่อสัมภาระดูด้วยความประหลาดใจ พบว่าข้างในมีเสื้อคลุมกันลมสีดำตัวหนึ่งที่บุขนห่านอย่างแ่า เมื่อลูบบนตัวเสื้อให้ััสบายยิ่ง
นางมองไปทางเซวียนหยวนเช่ออย่างคิดไม่ถึง นี่เขากำลังใส่ใจนางอยู่ใช่หรือไม่ ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกลอยละล่องน้อยๆ นางพูดเสียงเบา “ขอบคุณ!”
เซวียนหยวนเช่อทำเหมือนไม่ได้ยินยังคงหลับตาพักผ่อน
เฟิ่งเฉี่ยนสวมเสื้อคลุมลงบนร่างของตน รู้สึกอบอุ่นอีกทั้งยังมีกลิ่นกายประจำตัวของเขาจางๆ อีกด้วย ปนเปไปด้วยกลิ่นทะเลอำพัน หอมเหลือเกิน
หัวใจของนางพลันไหววูบ นางลอบมองเซวียนหยวนเช่อเมื่อใคร่ครวญอยู่อึดใจหนึ่งจึงเอ่ยปากว่า “เื่นั้น ข้าเป็คนขโมยหมูเทพและเชื้อไฟจุดิญญาเอง!”
เซวียนหยวนเช่อไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
นางพูดอีกว่า “ยังมี ข้าและจิ่งเทียนไท่จื่อ...ไม่มีเื่อันใดระหว่างพวกเรา”
เห็นเขายังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจึงเข้าใจว่าเขาไม่เชื่อ นางอธิบายต่อว่า “หลังจากท่านออกไป พวกเราได้พบกับฝูงหมูป่า ข้าถูกพวกมันไล่ต้อนจนต้องวิ่งหนีมาถึงริมแม่น้ำ เกือบต้องทิ้งชีวิต ต่อมาข้าะโลงแม่น้ำ เมื่อว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งตรงข้ามได้พบกับจิ่งเทียนไท่จื่อ เขาคิดว่าข้าจงใจเอาตัวไปใกล้ชิดเขา ดังนั้น...ท่านก็รู้นี่นาว่าคนผู้นั้นหลงตัวเองเพียงใด ข้าพูดอะไรเขาล้วนไม่ฟังทั้งสิ้น”
เซวียนหยวนเช่อยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นเดิม เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกเบื่อหน่ายจึงพูดพึมพำเสียงเบา “ช่างเถิด เหตุใดข้าต้องอธิบายกับท่านด้วย อย่างไรท่านก็ไม่ใส่ใจอยู่แล้ว”
ทอดถอนใจแล้วนางก็กระชับเสื้อคลุมบนกาย จากนั้นหลับตาพิงรถม้าพักผ่อน
เซวียนหยวนเช่อลืมตาขึ้นแทบจะเป็เวลาเดียวกัน เขามองนางเงียบๆ ขณะใช้ความคิด
รถม้าเร่งเดินทางตลอดทั้งคืน พวกเขามาถึงหุบเขาไป่ฮวาในยามเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
เวลานี้เป็่ฤดูกาลที่ดอกไม้นานาชนิดในฤดูใบไม้ผลิเริ่มผลิบาน ดอกไม้ในหุบเขาไป่ฮวามีมากมายหลายร้อยชนิด ล้วนเป็ทัศนียภาพที่งดงามน่าชม แต่สิ่งที่ทำลายทัศนียภาพดังกล่าวก็คือเส้นทางมุ่งหน้าสู่หุบเขาไป่ฮวาถูกขวางเอาไว้
เห็นเพียงรถม้าสิบกว่าคันหยุดอยู่เบื้องหน้าขวางเส้นทางทั้งหมดเอาไว้ เมื่อคืนเกิดฝนตกใหญ่ พื้นดินจึงกลายเป็ดินโคลน รถม้าที่บรรทุกของจำนวนมากและหนัก ล้อของรถม้าจึงติดปลักโคลนไม่อาจเคลื่อนที่ได้
หลังจากลั่วหยิ่งก้าวเข้าไปสังเกตการณ์แล้วจึงกลับมารายงานว่า “ฝ่าา ข้างหน้านี้เป็เทพอาหารท่านหนึ่งที่เดินทางมาจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าเป็จิ่งเทียนไท่จื่อที่เชิญเขามาปรุงอาหารให้กับเซียนพิษ บนรถม้ายังเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำครัวที่เขาใช้เป็ประจำ พื้นดินกลายเป็ดินโคลน รถม้าจึงติดหล่ม เคลื่อนไหวไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนฟังแล้วเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “สิ่งที่รถม้าสิบกว่าคันนั้นบรรทุกอยู่ล้วนเป็อุปกรณ์ทำครัวของเขาหรือ นี่เขามาปรุงอาหาร หรือย้ายบ้านกันแน่”
พูดแล้ว นางก็มุดออกมากระโดลงจากรถม้า เตรียมจะเข้าไปสังเกตการณ์
นางลอบเลิกผ้าม่านรถม้าคันหนึ่งขึ้นแล้วมองเข้าไปข้างใน
หากไม่ดูย่อมไม่รู้ เมื่อดูแล้วถึงกับสะดุ้งโหยง!
อุปกรณ์ทำครัวของเทพอาหารท่านนี้จะพิถีพิถันเกินไปแล้ว ั้แ่หม้อ ชาม จาน ไปถึงเตาไฟ ทุกชิ้นล้วนทำมาจากวัสดุที่แตกต่างกันหลายชนิด ทุกชิ้นล้วนเคลือบด้วยกระเบื้องทั้งสิ้น ทั้งยังแยกตามประเภท รถม้าคันหนึ่งจึงราวกับจัดเป็ห้องๆ หนึ่งอย่างมีระเบียบเรียบร้อย อีกทั้งนี่เป็เพียงหนึ่งในรถม้าที่นางเห็นเท่านั้น
“ที่รักของข้า เมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้ว ข้าช่างไม่เป็มืออาชีพเสียเลย!”
นางส่ายหน้าถอนใจ โดยไม่รู้ว่าด้านหลังมีคนเข้ามาใกล้
“เ้าเป็ใครกัน ใครให้เ้ามาแตะต้องสิ่งของของอาจารย์หลีส่งเดชเช่นนี้ ไปๆๆ ไสหัวไปไกลๆ หน่อย! หากทำให้ของรักของหวงของอาจารย์แตกหักขึ้นมา เ้าชดใช้ไหวหรือไม่” ผู้ที่มามีใบหน้าเ้าเนื้อ คิ้วชี้ขึ้นสูง ตะคอกใส่เฟิ่งเฉี่ยนด้วยน้ำเสียงดูแคลน
เมื่อปล่อยผ้าม่านรถม้าลง เฟิ่งเฉี่ยนถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว และไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นหรือเป็เพราะนางดวงซวย ทุกอย่างดูเหมือนได้วางแผนเอาไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น ล้อของรถม้าข้างหนึ่งพลันหักลงอย่างหาสาเหตุไม่ได้ รถม้าทั้งคันจึงเอียงไปด้านข้างและเทลงไป อุปกรณ์เครื่องครัวภายในรถม้าตกลงบนพื้นเสียงดังเคร้งคร้าง
เฟิ่งเฉี่ยนะโหลบโดยพลัน นางมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงุนงง
นางไม่ได้แตะต้องอะไรเลย นางแค่เลิกผ้าม่านขึ้น รถม้าก็เทลงมา...นี่มันบังเอิญเกินไปกระมัง
นางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ทว่าคนผู้นั้นกลับเดือดดาลแล้วะโเสียงดัง “เด็กๆ รีบมาทางนี้ มีคนทำลายข้าวของแล้ว!”
คนกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูกันออกมาล้อมเฟิ่งเฉี่ยนเอาไว้
“เกิดเื่อันใดขึ้น” บุรุษผู้หนึ่งอายุราวๆ สี่สิบต้นๆ เดินออกมาท่ามกลางกลุ่มคนนั้น เขาไว้หนวดสั้นๆ สีดำ แววตานิ่งลึก บนร่างของเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินตัวหนึ่ง บนตัวเสื้อได้ปักอักษรว่า “สมาคมเทพอาหาร” อักษรสี่ตัวนี้ปักด้วยด้ายสีทอง ด้านหลังเขายังมีเด็กหนุ่มและเด็กสาวสองคู่ ให้ความรู้สึกเปี่ยมบารมี
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า บุรุษผู้นี้มีสีหน้าตกตะลึงก่อน จากนั้นจึงถามขึ้นด้วยโทสะ “เป็ฝีมือใครกัน ใครทำลายอุปกรณ์ทำครัวของข้า”
บุรุษเ้าเนื้อชี้มาที่เฟิ่งเฉี่ยนทันที “หลีต้าซือ เป็นาง เป็นางที่ทำลายอุปกรณ์เครื่องครัวของท่าน!”
ดวงตาเปี่ยมโทสะของหลีต้าซือมองมาทางเฟิ่งเฉี่ยน “แม่นาง ข้าและเ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดเ้าต้องทำลายอุปกรณ์เครื่องครัวของข้า เ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อเก็บสะสมเครื่องครัวเหล่านี้ ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปเท่าใด”
เขาอารมณ์เสีย เฟิ่งเฉี่ยนอารมณ์เสียยิ่งกว่าเขา นางอธิบายว่า “อาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ทำลายอุปกรณ์เครื่องครัวของท่านจริงๆ ข้าไม่ได้แตะต้องพวกมันแม้แต่น้อย และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รถม้าก็ล้มลงโดยปราศจากสาเหตุ”
หลีต้าซือมีสีหน้าดำทะมึน แค่นหัวเราะเสียงเย็น “ความหมายของเ้าคือ รถม้าล้มลงมาเอง อุปกรณ์เครื่องครัวของข้าแตกหักเสียหายเอง เ้าไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นหรือ”
“นี่...” เฟิ่งเฉี่ยนพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นใดดี
หากนางไม่เกิดความอยากรู้อยากเห็น ไม่ไปเข้าใกล้รถม้าคันนี้ บางทีคงไม่เกิดเื่อะไรขึ้น แต่นางกลับโชคร้ายเช่นนี้ เพิ่งจะดูแวบเดียวรถม้าก็ล้มลง ต่อให้นางมีเหตุผลก็ไม่อาจอธิบายให้ชัดเจนได้
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น!” หลีต้าซือพูดน้ำเสียงเด็ดขาด “ชดใช้เงิน!”
“ข้า...” เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกไม่ได้รับความเป็ธรรม หากเครื่องครัวเ่าั้ถูกนางทำลายจริง ต้องชดใช้เงินก็พอจะฟังเหตุผลได้ แต่สถานการณ์ตรงหน้าชัดเจนเหลือเกินว่ารถม้าจะเทลงมาอยู่แล้ว ต่อให้นางไม่มามันก็คงเทลงมา นางเพียงแค่มาถึงอย่างประจวบเหมาะเท่านั้น นี่มันโชคร้ายอะไรเช่นนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะให้นางชดใช้ ในใจนางอัดแน่นด้วยความรู้สึกคับข้องใจ อย่างไรนางก็ก้าวข้ามด่านจิตใจของตนเองไปไม่ได้
น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านหลังนางในตอนนี้เอง “เป็เงินจำนวนเท่าใด”
เฟิ่งเฉี่ยนหันกลับมาเห็นเซวียนหยวนเช่อเดินเข้ามาหานาง สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ นางรีบอธิบาย “นี่เป็เื่เข้าใจผิด ข้าไม่ได้แตะต้องรถม้าที่เทลงมา ข้าเพียงแค่เลิกผ้าม่านดูเท่านั้น รถม้าเทลงมาเอง เื่นี้ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ นะ”
เซวียนหยวนเช่อกลับไม่สนใจนาง เขาสบสายตากับหลีต้าซือและถามย้ำประโยคเดิม “เป็เงินจำนวนเท่าใด”
“นี่ เซวียนหยวนเช่อ ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่” เฟิ่งเฉี่ยนตวาดใส่เขาอย่างโกรธๆ
หลีต้าซือเงียบไปครู่หนึ่งดูเหมือนจะกำลังคำนวณมูลค่าของความเสียหาย ไม่นานเขาก็เอ่ยปาก “อย่างน้อยๆ ต้องมีหนึ่งแสนตำลึง!”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งเฉี่ยนเดือดดาล “อะไรนะ หนึ่งแสนตำลึงหรือ เหตุใดท่านจึงไม่ไปปล้นเล่า”
นางจับจ่ายซื้อของในร้านค้าตระกูลหลันไปมากมายเช่นนี้ เพิ่งจะเสียเงินทองไปหนึ่งถึงสองพันตำลึง สิ่งของบนรถม้าคันนี้อย่างมากก็มีค่าราวๆ หนึ่งหมื่นตำลึง เวลานี้กลับเสนอราคาราวกับปากเสือ อ้าปากครั้งหนึ่งก็้าหนึ่งแสนตำลึง นี่มันกำลังปล้นกันชัดๆ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้