รุ่งเช้าวันนี้สีท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสาดแสงสีทอง
ครอบครัวเจินจูทานอาหารมื้อเช้าเสร็จก็เริ่มกรอกไส้
อากาศหนาวเย็นเลยยกกระถางไฟภายในห้องของหลัวจิ่งมาวางไว้กลางห้องโถง ถ่านดำในกระถางไฟกองถับถมกันจนพูนสูง เปลวไฟที่แผดเผาพลิ้วไหวอยู่ตลอดเวลา เนื้อที่หมักเสร็จวางไว้ทั้งคืนเกือบจะเกาะตัวกันแข็ง เพื่อป้องกันทุกคนหนาวจนเป็แผลเปื่อยเพราะความเย็น ถ่านไฟในกระถางเลยต้องใส่เข้าไปแล้วใส่เข้าไปอีก
“บ๊อกๆๆ”
“โอ้ว บ้านฉางกุ้ยผู้นี้ยังเลี้ยงลูกสุนัขไว้ด้วย! จุ๊ๆๆ ดุมากอีกด้วย”
“เสี่ยวหวง หยุดเห่าได้แล้ว”
ข้างนอกโวยวายอยู่พักหนึ่ง ห้าคนที่อยู่ในบ้านต่างก็หยุดการกระทำในมือลงชั่วคราว
“ข้าไปดูหน่อย” เจินจูวางไส้เล็กในมือลง หยิบผ้าขี้ริ้วด้านข้างเช็ดมือให้แห้ง แล้วหยัดกายยืนขึ้น
ดึงประตูห้องโถงให้เปิดออกเห็นเพียงก้อนดำๆ สิบกว่าคนล้อมอยู่นอกลานบ้าน กำลังแย่งกันพูดจาอย่างฟังไม่ได้ศัพท์
“นี่เป็ท่านยายของผิงซุ่นกระมัง ญาติของพวกท่านร่ำรวยใหญ่แล้ว พวกท่านก็อาศัยบารมีตามไปด้วยเลยสิ”
“ฉางหลินเอ๋ย แม่ยายผู้นี้ล้วนพากันมาหมดแล้ว ต้องนำพาพวกเขาให้ร่ำรวยขึ้นใช่หรือไม่เล่า? มีหนทางสู่ความร่ำรวยอะไรก็อย่าลืมคนกันเองของหมู่บ้านเรานะ”
“อาสะใภ้หู เนื้อตากแห้งบ้านท่านเยอะเช่นนี้ ยุ่งกันไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะสิ? ้าเรียกคนมาช่วยเหลือหรือไม่?”
“ลุงของผิงซุ่นก็มาด้วย นี่ครอบครัวพวกท่านมาทำอะไรกัน?”
“ครอบครัวข้าแค่มาเยี่ยมญาติ จะทำอะไรได้? แล้วพวกท่านเล่า รุมล้อมบ้านฉางกุ้ยทำไม? ที่บ้านไม่มีงานให้ทำแล้วหรือ? ล้วนว่างกันจริงๆ รีบแยกย้าย แยกย้าย ขวางประตูบ้านผู้อื่นทำไมกัน” เป็เสียงะโของฟู่เหรินท่านหนึ่ง
คนรูปร่างไม่สูงไม่เตี้ยผมสีดอกเลา ใบหน้ากลมคิ้วบางสวมเสื้อนวมผ้าทอมือบุด้วยฝ้าย มิใช่ว่าเป็เฝิงซื่อท่านยายของผิงซุ่นหรือ
เห็นเพียงนางกำลังโบกมือไล่ชาวไร่ชาวนาให้กระจายออกไปไม่หยุด “กลับไปทำงานให้หมด จวนจะปรับดินหว่านข้าวฤดูใบไม้ผลิอยู่แล้ว มีเวลาว่างเช่นนี้ไม่ไปไถที่นาของตนเองหรือ วิ่งมาที่นี่ทำอะไรกัน? มองมากแล้วอย่างไร ดูแล้วมีดอกไม้งอกหรือ? หรือดูแล้วออกไข่ได้กัน? โดยเฉพาะพวกท่านที่เป็ผู้ชายตัวโตๆ ทำไมถึงเหมือนฟู่เหรินลิ้นยาวเ่าั้ได้ กล่าววิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นไปทั่วทุกหนทุกแห่ง? ชายชาตรีแข็งแรงแขนขาหนาเช่นนี้ จิตใจเล็กยิ่งกว่ารูเข็ม? แม่และภรรยาครอบครัวพวกท่านยังไม่มาเข้าร่วมสนุกเท่าพวกท่านเลย ไม่เอาไหนเกินไปแล้ว ไปๆๆ รีบกลับบ้านไปช่วยภรรยาทำงานไป”
บุรุษรูปร่างกำยำล่ำสันสองสามคนถูกคำพูดของเฝิงซื่อตอกหน้า ได้แต่มองดูกันไปมาด้วยใบหน้าเหยเก แล้วล่าถอยจากไปอย่างเงียบกริบจริงๆ
เฝิงซื่อที่เห็นแล้วก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้นไปอีก “แล้วก็พวกท่านน้องสะใภ้ตัวเล็กตัวน้อยกับพี่สามีไม่กี่คนนี่ รีบกลับไปปรนนิบัติผู้หลักผู้ใหญ่กับลูกเล็กเด็กแดงไป ประสมโรงกล่าวนินทาอยู่ข้างนอกทั้งวัน ไม่กลัวว่าจะพูดมากจนกัดลิ้นกันบ้างหรือ เสื้อผ้าในบ้านซักหรือยัง? พื้นกวาดแล้วหรือ? พื้นรองเท้าของลูกเล่าเย็บหรือยัง? สวนผักพรวนดินแล้วหรือ? อ่า... งานมากมายไม่ทำ วิ่งมารวมตัวรื่นเริงอะไรกันที่นี่ เร่งรีบเถิด กลับบ้านไป ล้อมประตูบ้านคนอื่นคิดเื่อะไรกัน”
ฟู่เหรินในหมู่บ้านที่คุ้นเคยในการทะเลาะวิวาทกับผู้คน ไม่ได้ไล่ให้จากไปง่ายดาย “โอ๊ะ นี่เป็ประตูบ้านของครอบครัวหู มิใช่บ้านอันเก่าแก่ของสกุลเหลียงของพวกท่าน พวกข้าคนหมู่บ้านเดียวกัน แค่ผ่านมารวมตัวกันครื้นเครง ไม่ได้เหมือนพวกท่าน ท่าทางเช่นนี้ จุ๊ๆ เห็นว่าสกุลหูร่ำรวยขึ้นแล้ว คิดจะมาแบ่งน้ำแกงข้นสักถ้วยกระมัง [1]”
ผู้ที่กล่าวคือหลิวซื่อสะใภ้คนรองขี้นินทาที่อาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้านเดียวกัน หนึ่งในสตรีที่ชอบนินทาว่าร้ายวิจารณ์ผู้อื่นในเชิงลบและชอบยุให้รำตำให้รั่วที่สุดของหมู่บ้านวั้งหลิน ไม่ว่าในหมู่บ้านจะเกิดเื่ใหญ่เล็กอะไรขึ้น ล้วนมีเงาของนางอยู่ด้วยตลอด
่นี้ที่สกุลหูเชือดหมูทำเนื้อตากแห้ง หลิวซื่อล้วนมาเคลื่อนไหวสองสามรอบอยู่ที่ประตูบ้านสกุลหูเกือบจะทุกวัน สายตาอิจฉาริษยาประกายระยิบระยับ
“โอ๊ะ ดูฟู่เหรินเช่นเ้ากล่าวเข้า สกุลเหลียงของพวกข้ากับสกุลหูเป็ญาติกัน ครอบครัวเขาร่ำรวยหาเงินได้แล้ว บ้านสกุลเหลียงของพวกข้าก็มีหน้ามีตาไปด้วย การส่งเสริมญาติขึ้นมาสักหน่อยนั่นมิใช่เป็เื่ที่แน่นอนอยู่แล้วหรือ”
แน่นอนอยู่แล้วอะไร? เจินจูที่เดินมาต้อนรับข้างหน้า หยุดชะงักเท้าลงชั่วครู่ มองเฝิงซื่อที่อิ่มอกอิ่มใจเล็กน้อยแล้วอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ในโลกนี้จะมีเื่อะไรที่แน่นอนอยู่แล้วได้
หวังซื่อใบหน้าครึ้มเหลือบมองเฝิงซื่อแวบหนึ่ง เห็นนางยังปะทะคารมกับหญิงสาวในหมู่บ้านไม่กี่คนที่มารุมล้อมอยู่ไม่หยุด ก็ไม่สนใจพวกนางอีก รอให้เจินจูเปิดประตูลานออก คนหนึ่งกลุ่มจึงเดินเข้ามา
“เจินจูเอ๋ย วันนี้ท่านยายของผิงซุ่นกับท่านลุงของเขาจะมาดูกระท่อมกระต่ายเสียหน่อย กลับไปจะได้สร้างตามสักหลัง” หวังซื่อมองเจินจูที่มือเต็มไปด้วยน้ำมันแวบหนึ่ง ดูก็รู้ว่าครอบครัวของพวกนางกำลังเร่งทำการกรอกกุนเชียง “อีกเดี๋ยวพวกเ้ายุ่งกันไปก่อน ขาจะพาพวกเขาไปชมสักรอบแล้วจะกลับไปช่วยทำงาน”
ยามนี้ประตูห้องโถงก็เปิดออก หูฉางกุ้ยกับพวกหลี่ซื่อไม่กี่คนล้วนเดินออกมา
“แม่ยาย ชิงซาน พวกท่านมาแล้ว” หูฉางกุ้ยฉีกยิ้มทักทาย
“ฉางกุ้ยเอ๋ย นานแล้วที่ไม่ได้เจอ บ้านเ้าล้วนเปลี่ยนแปลงไปมาก เกินความคาดหมายนัก!” นับั้แ่เฝิงซื่อเข้ามาในลานก็เริ่มเหลือบซ้ายแลขวาขึ้น พอตอนนี้ประตูห้องโถงเปิดออก ดวงตาของนางก็เหลือบมองเข้าไปข้างในจ้องเขม็ง เห็นว่าในห้องจัดวางเนื้อหลายกะละมังไว้อย่างเป็ระเบียบ ดวงตายิ่งจ้องมองจนเกือบถลน
ปีนี้ตอนบุตรสาวและลูกเขยกลับไปเยี่ยมเยียนและอวยพรปีใหม่ ของกำนัลส่งท้ายปีก็มากมายกว่าปีที่แล้วๆ มา ในจำนวนนั้นมีกุนเชียงและเนื้อตากแห้งอยู่ด้วย หลังจากครอบครัวพวกเขาได้ทานแล้วแต่ละคนก็น้ำลายสอ อีกนิดเดียวเด็กเล็กไม่กี่คนในบ้านก็จะตีกันขึ้นมาเพื่อแย่งกุนเชียงแผ่นสุดท้าย ไม่คาดคิดเลยว่าสกุลหูจะทำอาหารประเภทเนื้อออกมาได้อร่อยเช่นนี้ ไม่แปลกที่โรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองจะซื้ออาหารการกินของครอบครัวสกุลหู
ดวงตาเฝิงซื่อมองทะลุกลุ่มหูฉางกุ้ยไม่กี่คนไปที่สิ่งของข้างในห้องโถงอย่างไม่ไหวติง
หลัวจิ่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง ขมวดคิ้วมองการกระทำของเฝิงซื่อ แล้วขยับร่างกายของตนเองบดบังสายตาที่มองทะลุเข้าไปข้างในไว้อย่างแเี
“ฉางกุ้ย พวกข้ามาเยี่ยมชมกระท่อมกระต่าย กลับไปจะได้สร้างตามสักหลัง ตอนนี้ความเป็อยู่ที่บ้านผ่านไปไม่ค่อยดี ครั้งนี้มาขอพึ่งพิงผลประโยชน์กับครอบครัวเ้า เพื่อเลี้ยงกระต่ายจำนวนหนึ่ง ให้เพิ่มรายได้สักเล็กน้อย” ผู้ที่เอ่ยเป็เหลียงชิงซานลุงคนที่สามของผิงซุ่น ใบหน้าคล้ำซูบและยาว ขนคิ้วบางและจมูกสั้นแบนราบ โชคดีที่ดวงตายังนับว่าค่อนข้างตรง เขาดูไม่คล้ายกับมารดาของเหลียงซื่อเลย
สองฝ่ายทักทายกันอยู่สองสามประโยค หลี่ซื่อเช็ดถูความมันในฝ่ามือไปมา แล้วจึงคิดจะเข้าห้องครัวไปต้มน้ำมาต้อนรับแขก
หวังซื่อขัดขวางไว้ “คำสั่งสินค้าเร่งด่วน พวกเ้าไปทำงานก่อน ตอนบ่ายยังต้องเตรียมเชือดหมูอีก ไม่สามารถล่าช้าได้ ข้าพาพวกเขาไปดูหนึ่งรอบก็พอแล้ว”
ขณะกล่าวก็หันศีรษะกลับมามองเฝิงซื่อ “คนกันเองคงไม่ถือสากระมัง ใบรายการนี้ของสือหลี่เซียงเร่งรัดนัก ไม่กี่วันนี้พวกเราล้วนเร่งทำสินค้ากันตลอดทั้งค่ำเช้า งานเร่งรัดจริงๆ” ความหมายในคำพูดย่อมเป็การให้เฝิงซื่อรีบไปจับกระต่ายตัวเมีย ดูกระท่อมกระต่าย และรีบกลับไป
แต่ดวงตาเฝิงซื่อกลับเป็ประกายยิ้มขึ้นทันที “ยุ่งกันหรือ ยุ่งเกินไปทำไม่ไหวล่ะก็ พวกข้าทุกคนว่างอยู่พอดี ไม่เช่นนั้น ข้าให้ลูกสะใภ้สามคนที่บ้านมาช่วยไหม พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกันย่อมต้องช่วยเหลือกันและกัน”
อีกนิดใบหน้าของหวังซื่อก็จะกลั้นความอดทนไว้ไม่อยู่แล้ว แววตาที่มองเฝิงซื่ออยู่ครึ้มลง
“…เอ่อ คือ ท่านแม่ สือหลี่เซียงได้ลงนามสัญญากับพวกเราไว้ การทำอาหารหมักนี้ต้องเก็บไว้เป็ความลับเช่นกัน” หูฉางหลินที่อยู่ด้านข้างรีบจูงเฝิงซื่อมาพูดคุย
“นี่แน่นอนว่าต้องเก็บไว้เป็ความลับสิ แต่นั่นสำหรับคนนอกใช่ไหมเล่า ฉางหลินเอ๋ย พวกเรามิใช่คนนอกหรอกนะ พวกข้ามาช่วยเหลือ แน่นอนว่าต้องรักษาความลับไว้” เฝิงซื่อยิ้มอย่างกระตือรือร้น ตอนคัดเลือกลูกเขยรอบแลก ไม่นึกเลยว่าจะเลือกถูก ดูเนื้อที่เต็มบ้านนี่สิครอบครัวไหนจะเทียบได้
“…นี่ นี่ไม่ได้” หูฉางหลินกระวนกระวายเล็กน้อย ทำไมเฝิงซื่อผู้นี้เป็เช่นนี้ ไม่เห็นหรือว่าสีหน้าของมารดาเขาเคร่งขรึมลงแล้ว?
หวังซื่อมองหูฉางหลินที่ร้อนใจจนเหงื่อผุดที่หน้าผาก ในใจถอนหายใจออกมา “เอาล่ะครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้พวกเรากำลังรีบเร่งทำกันไหวอยู่ ไม่รบกวนครอบครัวท่านแล้ว พวกท่านมาดูกระท่อมกระต่ายเถิด อีกเดี๋ยวพวกท่านก็จับกระต่ายตัวเมียกลับไป ผ่านไประยะหนึ่งก็จะมีลูกกระต่ายออกมาให้เลี้ยงได้แล้ว ถึงตอนนั้นพวกท่านก็ใส่ใจดูแลให้ดีที่สุดสักหน่อย พอนานไปก็จะยิ่งมีกระต่ายมากขึ้น”
กล่าวไปพลางดึงเฝิงซื่อให้เดินไปทางหลังลานด้วยกัน ่นี้หวังซื่อทานอิ่มนอนหลับจิตใจเบิกบาน และร่างกายยิ่งแข็งแรงขึ้นเป็เท่าตัว หาบของหนักด้วยตนเองร้อยกว่าชั่งได้ แล้วยังแบกทุกอย่างได้ตามใจ พละกำลังของร่างกายนี้มีมากกว่าตอนที่นางยังสาวอยู่หลายส่วน กำลังของมือยิ่งไม่น้อย จึงออกแรงลากเฝิงซื่อให้เดินไปข้างหลังตลอดทาง
เฝิงซื่อดิ้นรนสองสามทีก็สลัดไม่หลุด จนปัญญาทำได้เพียงก้าวตามหวังซื่อไป ในใจกลับแอบด่าทอ... ยายแก่น่าตาย งกเช่นนี้เลยหรือ ไอ๊หยา นี่ทานเนื้อไปเท่าไรกัน มือถึงได้แข็งแรงมากเช่นนี้
หูฉางหลินที่เห็นสถานการณ์จึงจูงเหลียงชิงซานตามไปทันที
“ผิงอัน เ้าตามท่านย่าไป เอาหัวข้อที่ควรระวังบอกแก่พวกเขา หลังจากนั้นดูว่าพวกเขา้าซื้อกระต่ายตัวเมียกี่ตัวก็ค่อยดูแล้วจับอีกทีนะ” กระต่ายที่บ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็ผิงอันจัดการ เื่พื้นฐานของการเลี้ยงกระต่ายเขาย่อมรู้แจ้งอย่างดี ผิงอันเป็คนนิสัยพิถีพิถัน รายละเอียดมากมายเขาล้วนจัดการได้เป็ระเบียบเรียบร้อย เจินจูวางใจเขามากนัก
มอบหมายงานอย่างละเอียดอยู่สองสามประโยค จึงให้ผิงอันล้างมือแล้วไปกระท่อมกระต่าย
เจินจูสะบัดน้ำมันที่อยู่เต็มมือ ย่นจมูก แล้วเข้าบ้านมาทำงานต่อแต่โดยดี
เครื่องเทศที่มีติดบ้านอยู่ไม่พอใช้ พอกรอกกุนเชียงชุดนี้เสร็จ ต้องเข้าเมืองไปซื้อมาเพิ่มเล็กน้อย เื่ที่ต้องจัดการวันนี้ยังมีอีกมาก
เลือกกระต่ายตัวเมียห้าตัวและกระต่ายตัวผู้หนึ่งตัวเสร็จ คิดเงินเรียบร้อย ภายใต้สายตาแข็งกร้าวของหวังซื่อ เฝิงซื่อทำได้เพียงจ่ายเงินค่ากระต่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจด้วยสีหน้าดำคล้ำ แม้จะเห็นด้วยที่จ่ายเงินซื้อพันธุ์กระต่าย แต่เฝิงซื่อไม่คิดเลยว่าหลังจากที่สกุลหูร่ำรวยขึ้นแล้วยัง้าเงินของพวกเขาอีก ดีที่ว่าบุตรสาวของนางให้เงินไว้เล็กน้อยอย่างลับๆ ไม่เช่นนั้นนางคงจะถอดใจหยิบเงินมาซื้อพันธุ์กระต่ายเหล่านี้ไม่ได้แน่
หลังจากถ่ายทอดหัวข้อที่ต้องใส่ใจไปหนึ่งรอบแล้ว หวังซื่อจึงส่งเฝิงซื่อที่อาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากให้กลับไป
เดิมทีเฝิงซื่อคิดจะอยู่อีกสักครู่หนึ่ง คิดจะให้สกุลหูยุ่งอยู่กับการหมักเนื้อทำกุนเชียง แล้วใช้โอกาสนี้ถามเจาะลึกสักหน่อยพอดี
หวังซื่อจะไม่รู้ที่นางคิดไว้ได้อย่างไร พอกล่าวหนึ่งประโยคว่าในบ้านมีเื่วุ่นวาย ครอบครัวชิดใกล้ส่วนใหญ่ก็รู้ความหมายลึกๆ แล้ว หวังซื่อจึงหั่นเนื้อหมูกึ่งมันให้ไปสองมีด เก็บไข่ไก่สามสิบฟอง ไส้กรอกเืหนึ่งโถ เครื่องในพะโล้ชิ้นใหญ่สองสามชิ้น หนังหมูสามชั้นและตัดกระดูกหมูสองสามท่อนใส่ลงในตะกร้าของเฝิงซื่อ แล้วจึงให้หูฉางหลินไปส่งที่ทางเข้าหมู่บ้าน
เฝิงซื่อมองอาหารเนื้อหนึ่งตะกร้า ความไม่พอใจข้างในจึงลดไปหลายส่วน เนื้อมากมายเพียงนี้ เพียงพอให้ครอบครัวของนางทานได้หลายมื้อเลย
หลังส่งคนกลับไปแล้ว หวังซื่อก็ถกแขนเสื้อขึ้นทันที เข้าร่วมขบวนกรอกไส้เนื้อขึ้น
เวลาไม่นาน ชุ่ยจูและผิงซุ่นก็มาจากบ้านเก่าเริ่มลงมือช่วยเหลือ คนมากกำลังก็มาก รวมกับงานเหล่านี้ล้วนคุ้นเคยเป็อย่างดี ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เนื้อในกะละมังหนึ่งกองูเาเล็กๆ ก็กรอกเสร็จเรียบร้อย
แขวนผึ่งแดดไว้ใต้ชายคา งานที่ร่วมกันทำใน่เช้าก็นับได้ว่าเสร็จสิ้น
เมื่อยังเช้าอยู่ เจินจูคำนวณเวลาอีกครั้ง แล้วมองสีท้องฟ้าอีกหน เดาว่าน่าจะสิบโมงกว่าๆ เวลายังนับได้ว่าเหลืออีกมาก
“ย่า...” เกวียนวัวของสกุลหูก็ค่อยๆ ออกเดินทาง หูฉางหลินขับเกวียนพาเจินจูมุ่งหน้าเดินทางเข้าเมือง
เชิงอรรถ
[1] แบ่งน้ำแกงข้นสักถ้วย อุปมาถึง แบ่งปันผลประโยชน์ของผู้อื่น
