หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยเเล้ว เหวินหวู่ได้พาหนิงอ้ายมายังที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปจากหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ไปไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก ตรงหน้าของเด็กหนุ่มเป็ถ้ำขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสมุนไพรข้างเรือนของอาจารย์
กลิ่นอายของลมปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบเข้มข้นมีความบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย ฟังว่าถ้ำนี้เปรียบได้กับที่พักชั่วคราวในยามที่ท่านอาจารย์ผ่านทางมายังหมู่บ้านนี้ สมุนไพรโดยรอบที่เห็นเป็ระเบียนก็เป็ฝีมือของชายชราเช่นกันที่เลือกสรรนำมาปลูกไว้ในบริเวณถ้ำดั่งกล่าวนี้นั่นเอง
"เ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่?" ชายชราถามขึ้นด้วยความเป็ห่วง เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงเสียพลังิญญาไปอย่างมากจากการสังหารอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เมื่อครู่ ในความคิดของผู้ที่มีอายุมากกว่าเห็นควรว่าเด็กหนุ่มควรจะพักเสียหน่อยจะเป็การดีที่สุด
"ข้ายังไหวอยู่ขอรับท่านอาจารย์อย่างไรข้าฝากท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อาจารย์สบายใจ อีกทั้งยังรบกวนอีกฝ่ายไปอีกด้วย
การดูดซับกระดูกิญญาในเเต่ละครั้งหากว่าเกิดเหตุการ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ผู้ฝึกตนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนดังกล่าวนั้นจะไม่สามารถปกป้องดูเเลตัวเองได้ จึงควรที่มีสุดยอดฝีมือที่คอยดูเเลอยู่ไม่ไกล ดังเช่นตอนที่เขาได้ดูดซับกระดูกิญญาตอนอยู่ตระกูลหวังเพราะครั้งนั้นก็มีผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยฝีมือคอยดูเเลโดยรอบเช่นกัน
หนิงอ้ายไม่รอช้าจึงทำการปลดปล่อยิญญายุทธ์ของตนออกมาในทันที พร้อมกันนั้นตรงพื้นยืนได้ปรากฎเป็วงเเหวนเวทย์ที่มีอักขระหมุนวนไปมาก่อนที่จะหยุดนิ่งทอเเสงสว่างไปทั่วทั้งผนังถ้ำเเห่งนี้ ิญญายุทธ์ปราณธาตุไฟยามที่ถูกเรียกใช้ในฐานะของผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญาขั้นต้นนั้น กล่าวได้ว่ามีอาณุภาพความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว
'กระดูกิญญาชิ้นนี้เป็ของสัตว์อสูรระดับมายาที่มีอายุเกือบเก้าพันปี หากเทียบดูเเล้วด้วยระดับเทวะิญญานี้ถือได้ว่าเกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับได้ เเต่หากว่าผู้ดูดซับมีจิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นไหวย่อมผ่านไปได้เช่นกัน...' เหวินหวู่เอ่ยพึมพำเสียงเบาคล้ายคุยกับตนเอง
'ผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาขั้นต้นที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้นับว่าหายากในรอบหลายสิบ หลายร้อยปี และหากอีกฝ่ายสามารถสอบเลื่อนขั้นจากนักปรุงโอสถฝึกหัดก้าวข้ามเป็นักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้สำเร็จคงเป็เื่ที่น่าชื่นชมเป็อย่างมาก ไม่รู้ว่าเหตุใดตาเฒ่าหวังนั้นจึงโชคดีมีลูกหลานที่มากไปด้วยฝีมือเช่นนี้ได้กัน...' ชายชราเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยความเป็ห่วงและชื่นชมความโชคดีของสหายเก่าแก่ของตน
หนิงอ้ายไม่รอช้าหยิบกระดูกิญญาที่พึ่งได้มานั้นดูดซับเข้าสู่ร่างกาย เพียงครึ่งเค่อหลังจากนั้น ใบหน้างามของหนิงอ้ายถึงกับบิดเบี้ยว ราวกับว่ากำลังพบกับความเ็ปที่มากเกินจะบรรยายก็คงไม่เกินจริงไปนัก แม้ว่าในกระดูกิญญาชิ้นนี้จะเทียบไม่ได้กับสัตว์อสูรระดับมายาในตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ก็จริง
เเต่ถึงอย่างไรนั้นสัญชาติญาณดิบเถื่อนและจิตอาฆาตของสัตว์อสูรก็ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเช่นกัน ดังนั้นปัญหาในเื่ของการต่อต้านไม่ยินยอมในขณะดูดซับกระดูกิญญาได้อย่างโดยง่ายเช่นนี้ หนิงอ้ายไม่อาจที่จะควบคุมให้เป็ไปอย่างเรียบง่ายได้เช่นกัน
ภายใต้สภาวะอันกดดันนี้กลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับสูงจากชิ้นส่วนที่เรียกกระดูกิญญายังคงแผ่กลิ่นอายออกมาอย่างต่อเนื่อง หากว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในขณะที่หนิงอ้ายอยู่ในตระกูลหรือในสำนักอาจจะไม่สร้างความเป็กังวลให้กับเหวินหวู่เช่นนี้
พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรอยู่โดยรอบ ดังนั้นกลิ่นอายจากกระดูกิญญาชิ้นนี้สามารถเรียกให้สัตว์อสูรระดับต่ำที่ไร้สติปัญญานึกคิด ที่คล้ายกับตกอยู่ในอำนาจสะกดจิตให้ก้าวล้ำเข้ามาในบริเวณดังกล่าวนี้ได้ เหวินหวู่เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงปลดปล่อยกลิ่นอายอันเเข็งแกร่งของตนออกมาต้านกลับเพื่อปกปิดกลิ่นอายของกระดูกิญญาชิ้นนี้ พร้อมกับเพิ่มความเเข็งแกร่งของค่ายกลป้องกันที่อยู่โดยรอบถ้ำที่คาดว่าน่าจะเพียงพอจนที่เด็กหนุ่มผ่านพ้น่ของการดูดซับนี้ไปได้
การดูดซับกระดูกิญญาชิ้นนี้ได้ใช้เวลาเกือบถึงสามชั่วยาม ตอนนี้กลิ่นอายอันเข้มข้นของสัตว์อสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์ได้ผสานเข้ากับร่างกายของหนิงอ้ายจนเกือบจะสมบูรณ์เเล้ว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดเหตุการณ์ที่ว่าได้มีขาแมงมุมสีดำม่วงทั้งสิบหกขาที่ได้งอกออกมาจากทางด้านหลังของหนิงอ้ายที่ส่งผลให้เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องดังคล้ายกับจะทนไม่ไหว ด้วยเพราะว่ากระดูกิญญาชิ้นนี้ถือว่าเกินขีดจำกัดในการดูดซับของพลังิญญาในร่างกาย
สิ่งที่ทำให้เหวินหวู่ถึงกับต้องตกตะลึงนั่นคือในขณะที่เขากำลังเรียกิญญายุทธ์ของตนออกมาเพื่อจะช่วยเหลือเด็กหนุ่มให้ผ่านพ้น่วิกฤตนี้ไปให้ได้ ได้ปรากฎเป็เงาร่างของหงส์เพลิงที่เเผ่กลิ่นอายของพลังชีวิตให้กับเด็กหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้นอกจากจะช่วยเด็กหนุ่มปรับในเื่ของสมดุลระหว่างร่างกายและกระดูกิญญาเเล้วนั้น ร่องรอยาแต่าง ๆ ที่ได้รับก่อนหน้าคล้ายกับว่าได้รับการเยียวยาจนหายดีไปเสียอย่างนั้น รวมไปถึงพลังลมปราณที่ถูกใช้ไปอย่างมหาศาลก่อนหน้าก็ได้รับการเติมเต็มจนกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
หลังจากที่เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงยามเช้าของวันใหม่ ตอนนี้ขั้นตอนการดูดซับกระดูกิญญาของอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์นั้นได้สิ้นสุดลงมีผลลัพธ์เป็ที่น่าพึงพอใจเป็อย่างยิ่ง จิตใจของหนิงอ้ายถือได้ว่ามั่นคงไม่หวั่นไหวต่อความรู้สึกเ็ปใด ช่างเป็เด็กหนุ่มที่น่าสนใจเสียจริงคิดถูกเเล้วที่เขายอมรับอีกฝ่ายให้อยู่สังกัดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเห่งนี้
"ท่านอาจารย์ขอรับ..." เปลือกตาของเด็กหนุ่มค่อยลืมขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเรียกขานชายชราผู้เป็อาจารย์ของตน
มือเรียวบางนั้นกุมหน้าอกตนคล้ายกับย้ำว่าให้จดจำ่เวลาที่เ็ปก่อนหน้า เส้นทางของผู้ฝึกตนนั้นไม่ง่ายดาย ดังนั้นหากเลือกที่จะเดินทางในสายนี้ต้องเปลี่ยนความเ็ปมาเป็แรงพลักดันให้กับตนเองให้ได้มากที่สุด
"เป็อย่างไรบ้าง ยังรู้สึกเ็ปที่ใดอยู่หรือไม่??"เหวินหวู่ถามขึ้น แม้จะััได้ถึงความั่นคงของพลังิญญาเเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างนั้นอาการเ็ปที่มองไม่เห็นก็นับว่าเป็สิ่งที่ควรกังวลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
"ตอนนี้รู้สึกปกติแล้วขอรับ ข้าไม่คิดว่ากระดูกิญญาของอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์ตัวนี้จะมากไปด้วยแรงอาฆาตเป็อย่างยิ่ง โชคดีที่ข้าสามารถดูดซับได้สำเร็จ..." หนิงอ้ายตอบอาจารย์ของตนให้คลายความกังวล เเต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมรับว่าการดูดซับกระดูกิญญาที่เกินขีดจำกัดของพลังิญญาในร่างกายนั้นเป็สิ่งที่ท้าทายมากเช่นกัน
"ยอดเยี่ยมมาก เเล้วนี่เ้าได้ทักษะใดเพิ่มขึ้นมาอย่างนั้นรึ??"เหวินหวู่เอ่ยถามขึ้น
"กระดูกิญญาของอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์ได้ประสานเข้ากับิญญายุทธ์จักรพรรดิหมื่นพิษปลิดิญญาของข้า เกิดเป็ทักษะิญญาที่สองของิญญายุทธ์ปราณธาตุพิษนี้…"
"มากไปกว่านั้นยังส่งเสริมให้ปราณธาตุพิษในตัวของข้ามีความรุนเเรงเข้มข้นที่เพิ่มมากขึ้นอีกสองถึงสามส่วน ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ยามเรียกใช้ทักษะิญญานี้จะปรากฎเป็ขาแมงมุมทั้งสิบหกขาจากทางด้านหลังของข้าที่จะช่วยทั้งในการเคลื่อนไหวและการโจมตีศัตรูขอรับ...." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับเรียกใช้ทักษะนี้ออกมาให้อาจารย์ของตนได้เห็นในทันที
ตรงด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฎเป็ขาแมงมุมสีดำม่วงที่มากถึงสิบหกขาที่มีความคมกริบไม่ต่างไปจากหอกคมสักเท่าไหร่นัก ทั่วทั้งส่วนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยพิษร้ายที่หากศัตรูหรือเป้าหมายพลาดท่า นอกจากจะทำให้ร่างกายเป็อัมพาตไปชั่วขณะเเล้ว พลังลมปราณในร่างกายจะค่อยถูกพิษร้ายจะกัดกินพลังลมปราณนี้ให้ค่อย ๆ ลดลงอีกด้วย
"อสูรจักรพรรดิรัตติกาลเหมันต์นั้นถือว่าเป็อสูรพิษที่น่าหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย โชคดีที่ก่อนหน้าเ้าได้ดูดซับกระดูกิญญาของอสูรอสรพิษาไปจึงทำให้ร่างกายสามารถต้านทานพิษนี้ได้ การที่เ้าได้ความสามารถของพิษมาเพิ่มพูนรวมไปถึงได้ทักษะพิฆาตเช่นนี้นับว่าเ้าโชคดียิ่งนัก..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม
"ข้าตั้งชื่อทักษะนี้ว่าทักษะิญญาสิบหกมัจจุราชคลั่งโลกันต์สังหาร ท่านอาจารย์คิดเห็นเป็อย่างไรขอรับ??" หนิงอ้ายถามกลับไป
"ช่างเป็ชื่อที่น่าเกรงขามยิ่งนัก เอาละ!! เ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อย อาจารย์จะเข้าไปจัดการบางอย่างที่หมู่บ้านไร้นามก่อนที่จะพาเ้าไปสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถตามจุดประสงค์เเรกที่เราตั้งใจเอาไว้..."
หนิงอ้ายพยักหน้ารับคำของอาจารย์ก่อนที่จะใช้เวลาเล็กน้อยในการจัดการร่างกายให้กลับมาอยู่ในสภาพเรียบร้อยตามที่ควรจะเป็อีกครั้ง เด็กหนุ่มััได้ว่าการดูดซับกระดูกิญญาชิ้นนี้ช่างเป็เื่ที่ดียิ่งนัก ด้วยเพราะเนตรเเห่ง์ของเขานั้นได้ถูกยกระดับให้สามารถมองเห็นได้กว้างขวางและคมชัดมากขึ้นไม่ต่างไปจากดวงตาของแมงมุมก็ว่าได้
อีกทั้งญาณััในร่างกายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน หนิงอ้ายเข้าใจเเล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกตนจึงต้องทำการดูดซับกระดูกิญญาจากสัตว์อสูร ก็ด้วยเพราะสามารถยกระดับขีดจำกัดความสามารถให้มากขึ้น มีสัญชาติญาณที่เฉียบคมและมีความเเข็งแกร่งของร่างกายที่ไม่ต่างไปจากสัตว์อสูรก็ว่าได้ ยิ่งหากได้ดูดซับกระดูกิญญาที่มีความเข้ากับกับร่างกายและิญญายุทธ์ต้นกำเนิดของตนแล้วก็จะส่งเสริมให้มีความเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
หนึ่งอาจารย์หนึ่งศิษย์ได้ใช้เวลาไปอีกหนึ่งชั่วยามในการดูเเลรักษาอาการเจ็บป่วยของชาวบ้าน โอสถระดับต่ำที่เด็กหนุ่มที่ได้หลอมสร้างปรุงโอสถเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ต่างไปจากการฝึกฝนฝีมือให้มากขึ้น จากนั้นจึงฝากฝังเน้นย้ำอีกครั้งว่าหากไม่จำเป็ไม่สมควรไปบริเวณดังกล่าวเพราะตรงนั้นยังมีสัตว์อสูรอยู่ไม่น้อย ก่อนที่จะออกไปจากหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ด้วยเคล็ดวิชาตัวเฉพาะของตน...
บริเวณใจกลางเมืองนั้นแม้จะผ่านการทดสอบรับศิษย์เข้าสำนักศึกษาจนมาถึงวันนี้ที่ผ่านมาเป็หลายสิบวัน ผู้คนมากมายต่างให้ความรู้สึกที่คึกคักเป็อย่างมาก เหวินหวู่ได้ผลัดเปลี่ยนเป็ชุดประจำตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาสีขาวเขียว ตรงเอวนั้นนอกจากจะมีป้ายหยกยืนยันตัวตนในฐานะเ้าตำหนักในสำนักเเล้วนั้น ป้ายหยกสีขาวที่มีลวดลายเป็ดอกบัวที่เเสดงให้เห็นถึงฐานะของปรมจารย์โอสถระดับเจ็ด ตัวตนที่ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นต่างให้ความเคารพยำเกรงกันทั้งสิ้น อาจจะด้วยความรอบรู้ที่มีหรืออาจััได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดานั้นอีกฝ่ายที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเข้าออกเมืองจึงเชื้อเชิญให้ทั้งสองคนผ่านไปได้อย่างราบรื่น เป็ที่น่าพอใจยิ่งนัก
เมืองเเห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนนับพันกว่าหลัง สายลมพัดโชยมาเบา ๆ ชวนให้รู้สึกสดชื่นอยู่ไม่น้อย ท่ามกลางผู้คนมากมายทั้งคนสามัญธรรมดาหรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ร้านค้าขนาดน้อยใหญ่ โรงเตี๊ยมนอนหรือแม้กระทั่งร้านน้ำชาต่างเนืองเเน่นเต็มไปด้วยผู้คนอย่างเเท้จริง ข้างทางนั้นยังมีแผงลอยร้านค้าที่ขายข้าวของแตกต่างกันออกไป กล่าวได้ว่าเป็รองเพียงเมืองใหญ่ ๆ ของเเต่ละแคว้นก็เพียงเท่านั้น
แม้ว่าหนิงอ้ายอยากที่จะเดินชมตัวเมืองหรือใช้เนตร์ในการเลือกซื้อข้าวของที่ไม่ธรรมดา เเต่ทว่าด้วยระยะเวลาที่จำกัดรวมไปถึงเป้าหมายในการเดินทางออกจากสำนักในครั้งนี้นั่นคือการสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถ เนื่องจากว่าเมืองแห่งนี้นั่นยังมีสมาคมสมาพันธ์หลอมสร้างปรุงโอสถที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้
ดังนั้นแล้วนอกจากผู้ฝึกตนที่มากหน้าหลายตานั้น เมืองนี้จึงเป็เหมือนกับเมือง์ของนักปรุงโอสถเช่นกัน เพราะว่าต่างมีนักหลอมสร้างปรุงโอสถมากมายจากทั่วมุกสารทิศเดินทางมาทดสอบเลื่อนระดับที่เมืองเเห่งนี้
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้บ่อยครั้งที่โรงประมูลประจำเมืองหมอกทมิฬนี้ต่างมีโอสถระดับสูงหรือโอสถล้ำค่ามากมายที่ถูกนำมาออกประมูลอยู่เสมอ หากมีเงินทองและวาสนามากพอย่อมสามารถโอสถล้ำค่าเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งกับโอสถระดับสูงที่ไม่อาจหาได้โดยง่ายก็มีให้เห็นอยู่บ้างเช่นกัน ของเเลกเปลี่ยนนั้นหากไม่นับถึงความพึงพอใจส่วนตัวเเล้ว อาจกล่าวได้เช่นกันว่าเพียงเเค่มีเงินทองมากมายก็ไม่อาจหาซื้อหรือประมูลได้อย่างแท้จริง
"ถึงสมาคมสมาพันธ์นักหลอมสร้างปรุงโอสถแล้ว เ้าตื่นเต้นหรือไม่??"เหวินหวู่เอ่ยถามศิษย์ตัวน้อยของตน
"ข้าตื่นเต้นเพียงเล็กน้อยขอรับ แต่ข้าจะทำให้ดีที่สุดไม่เสียชื่อท่านอาจารย์และตำหนักของเราขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับอาจารย์ของตนไปด้วยความหนักเเน่น
"เ้าไม่ต้องกดดันตัวเองให้มาก ตอนทำการทดสอบก็คิดเสียว่ากำลังนั่งหลอมสร้างปรุงโอสถกับข้าเพียงสองคนเ้าจะได้คลายความตื่นเต้นลงไปได้บ้าง..."
''ขอรับท่านอาจารย์...."
ห่างไปไม่ไกลจากใจกลางเมืองเหวินหวู่ได้พาหนิงอ้ายมาถึงที่หมายเเล้วเสียที อาคารของสมาคมสมาพันธ์นักหลอมสร้างปรุงโอสถลักษณะภายนอกดูคล้ายกับอาคารทรงจีนห้าเหลี่ยมทั่วไปที่มีถึงห้าชั้น ตรงภายนอกนั้นถูกตกแต่งด้วยต้นไม้และสมุนไพรไม้ประดับที่ส่งกลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์พัดลอยมาตามลม
เหวินหวู่ได้เเสดงป้ายหยกอันเเสดงถึงฐานะนักหลอมสร้างปรุงโอสถระดับเจ็ดออกมาให้กับทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านหน้า เห็นเช่นนั้นจากในตอนเเรกที่พวกเขากำลังจะขับไล่ชายชรากับเด็กหนุ่มจึงแปรเปลี่ยนท่าทีโดยฉับพลัน พร้อมกับเดินนำทางไปยังทิศทางหนึ่งในทันที
"ลมอันใดสามารถมาเ้ามาที่นี่ได้กันสหายของข้า เด็ก ๆ ไปยกน้ำชาที่ดีที่สุดไปให้ข้าที่ห้องรับรอง้าเเล้วเหตุใดจะมาไม่บอกข้าก่อนเล่าตาเฒ่าเหวิน??" ชายชรารูปร่างอวบอ้วนเอ่ยทักขึ้นพร้อมกับตบไหล่เบาๆ เเสดงท่าทีสนิทสนมพร้อมกับเดินนำไปยังห้องรับรองที่อยู่ไปไม่ไกลนัก
"ข้าเพียงมาทำธุระเท่านั้นอย่าได้มากพิธีไป ตาเฒ่านี้มีนามว่าจ้าวเสวี่ยถังเป็หนึ่งในสามผู้ดูเเลสูงสุดของที่นี่ ส่วนนี่คือหนิงอ้ายศิษย์คนเล็กของข้า วันนี้ข้าพาเขามาทดสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถ...." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับแนะนำลูกศิษย์ให้ได้รู้จักกัน
"คำนับผู้าุโจ้าวเสวี่ยถัง หนิงอ้ายศิษย์ลำดับที่เจ็ดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ขอฝากตัวด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายลุกขึ้นยืนโค้งตัวประสานมือคำนับพร้อมกับแนะนำตนไปด้วยความหนักเเน่น
"เป็เ้านี่เอง ศิษย์คนล่าสุดที่ตาเฒ่าเหวินรับเป็ลูกศิษย์ในการทดสอบเข้าสำนักครั้งนี้...เดี๋ยวนะ!! เ้าบอกว่าวันนี้มาส่งศิษย์คนนี้สอบเลื่อนขั้นนักปรุงโอสถ ไม่ใช่ว่าพึ่งปิดการทดสอบไปยังไม่ถึงสิบวันอย่างนั่นหรือ..." จ้าวเสวี่ยถังเอ่ยถามสหายของตนด้วยความประกลาดใจพร้อมกับมองเด็กหนุ่มราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเองเสียอย่างนั้น...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้