พวกเขาล้วนอึ้งไป หลังจากนั้นจึงรีบร้อนขึ้นไปบนเวที จิ่งเซียงผลักชีหวาออกไป เ้าเด็กนั่นถึงจะเตี้ยแต่ก็กลมป้อม บนร่างยังมีอาวุธลับอยู่นับไม่ถ้วนจึงทำให้ตัวค่อนข้างหนัก แต่ว่าจิ่งเซียงร้อนรนเกินไป จู่ๆ ก็มีพละกำลังมหาศาลจนผลักคนผู้นี้ไกลออกไปหลายก้าว ซวนเซจนสุดท้ายล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น สีหน้ามึนงงเล็กน้อย
จิ่งฝานเดิมทีจ้องมองเงาร่างอ๋าวหรานตีลังกาอย่างสง่างาม วรยุทธ์ของหวาหวาชีธรรมดายิ่ง แต่อาวุธลับก็มากมายจนทำให้ป้องกันได้ไม่หมด หากอ๋าวหรานปะทะกับเขาตรงๆ ทีละหมัดทีละขา การจะจัดการล้มเขาลงภายในไม่กี่วินาทีนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย แต่พอมีอาวุธลับเข้ามา อ๋าวหรานก็จำเป็ต้องหดมือหดขา
หนุ่มน้อยขายาวแขนยาวถือกระบี่หนึ่งเล่ม ชุดสีฟ้าปลิวไสวอยู่กลางอากาศ เส้นผมสีดำราวกับขนกาวาดลวดลายอย่างอิสระกลายเป็เหมือนภาพเขียนอันงดงาม ปลิวไสวล่องลอยไปพร้อมกับร่างอันผอมเล็กของหนุ่มน้อย
จิ่งฝานไม่รู้ว่าอ๋าวหรานไปได้ยินแผนการของจิ่งเหวินซานมาจากที่ใด หวาหวาจิ่วก็แค่พวกขยะที่เป็วิชากู่1 นิดหน่อยเท่านั้น จิ่งเหวินซานคิดว่าไปหาเ้าพวกนี้มาแล้วจะสามารถทำให้ตนถูกกู่เล่นงานจนเป็บ้าได้อย่างนั้นหรือ?
ตระกูลหวาหวาจิ่วใช้แซ่ว่าหวาหวา สมาชิกในตระกูลมีน้อยมาก ตอนนี้ยังไม่ได้ดินแดนส่วนไหนเป็ของตัวเอง และยังไม่ยอมเป็พวกกับตระกูลใดทั้งสิ้น คนในตระกูลของพวกเขาั้แ่โบราณนานมาก็ล้วนไม่สูง อีกทั้งยังมีใบหน้าที่ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ยังดูอ่อนเยาว์อยู่เช่นเดิม ถึงแม้จะบอกว่าลักษณะเช่นนี้เป็สิ่งที่คนไม่อยากแก่มากมายปรารถนาจะมีเป็อย่างยิ่ง แต่อาจเป็เพราะ์ให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์แก่พวกเขา ดังนั้นจึงตัดอายุขัยของพวกเขาไปเกินครึ่ง
คนตระกูลหวาหวาั้แ่อดีตมาจนถึงวันนี้ล้วนมีอายุไม่เกินสามสิบห้าปี อีกทั้งส่วนใหญ่เมื่ออายุถึงสามสิบปีแล้ว ผ่านไปไม่นานแค่ระยะสั้นๆ ภายในสามวันก็จะแก่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ตายไป
การที่มีอายุขัยเพียงเกือบครึ่งหนึ่งของคนทั่วไปทำให้พวกเขาไม่อาจอยู่รอดได้ คนในตระกูลสับเปลี่ยนกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอันสั้นนี้ไปกับการพเนจร หนึ่งเพราะว่าอายุขัยสั้นมาก ไม่เหมือนคนปกติที่มีเวลามากพอให้ออกไปดูโลกอันรุ่งเรืองงดงาม พวกเขาทำได้เพียงเดินต่อไปเพื่อชมดูทุกอย่างรอบกายโดยไม่หยุดพักถึงจะเทียบเท่ากับชีวิตผู้อื่นหนึ่งชีวิต สองเพราะพวกเขาหวังมาตลอดว่าจะสามารถค้นพบหมอเทวดาที่สามารถรักษาพวกเขาได้ อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดยินดีนั่งรอความความตายหรอก
พวกเขาท่องเที่ยวพเนจรไปทั่วทุกซอกมุมของแผ่นดินใหญ่ เพราะใบหน้าที่ไม่เป็ผู้ใหญ่นี้จึงทำให้ถูกเหยียดหยามนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็อาศัยหน้าตาที่ไร้พิษภัยนี้หลอกผู้คนไปนับไม่ถ้วนเช่นกัน
ตระกูลหวาหวาสืบทอดมาจนถึงวันนี้ล้วนไม่เคยเหลือร่องรอยอะไรเอาไว้บนแผ่นดินใหญ่นี้เลย เพราะพวกเขามักจะอยู่ที่หนึ่งไม่นานสักพักก็เปลี่ยนไปที่อื่น พวกเขาก็เคยอยู่กับที่เป็เวลานานๆ แต่คนรอบตัวกลับค้นพบว่าหน้าตาของพวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย
เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก มนุษย์มักจะคาดเดาไปในทางชั่วร้ายอย่างที่สุดและ้ากำจัดออกไป มักเป็เช่นนี้อยู่เสมอ ‘ปีศาจ’ สองคำนี้ในที่สุดก็กลายมาเป็ป้ายชื่อของพวกเขา
พวกเขาไม่ได้ถูกปฏิบัติเช่นนี้ด้วยแค่เพียงครั้งสองครั้ง พอหลายครั้งเข้า พวกเขาก็ไม่คิดจะปฏิบัติต่อโลกใบนี้อย่างมีเมตตาอีกต่อไป
ตระกูลหวาหวาไม่มีวรยุทธ์อะไรที่ควรค่าแก่การถ่ายทอดหรือได้รับการยอมรับ หมัดมวยธรรมดา วรยุทธ์ก็ธรรมดา ในตระกูลมักจะมีกันอยู่แค่สิบกว่าคน แต่สิบกว่าคนนี้กลับไม่ได้เรียนวรยุทธ์เดียวกันเลย คนนี้ฝึกกระบี่ คนนั้นฝึกดาบ แล้วยังมีอาวุธลับ วิชาหมัด เป็ต้น มากมายหลายอย่าง ไม่มีวิชาที่สืบทอดเป็อันหนึ่งอันเดียวกันของตระกูล ไม่ได้รับการสืบทอดวรยุทธ์เฉพาะของตระกูล ตระกูลเช่นนี้จะแตกต่างจากคนทั่วไปที่เป็วรยุทธ์นิดหน่อยได้อย่างไร
ยิ่งรวมกับพวกเขาเอาแต่พเนจรไปทั่ว ไม่มีผู้ใดสนิทสนมและรู้จักพวกเขาอย่างแท้จริง นี่จึงทำให้พวกเขาที่เคยสร้างความตกตะลึงไปทั่วอยู่พักหนึ่งได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในเวลาไม่นาน
ั้แ่ตอนที่จิ่งเหวินซานวางแผนจะจัดงานประลองยุทธ์ขึ้นมา จิ่งฝานก็ได้สืบรู้จนหมดแล้วว่าเขา้าจะทำอะไร ทุกการเคลื่อนไหวของจิ่งเหวินซานนั้นเขาก็รู้เป็อย่างดี หวาหวาจิ่ว...ตระกูลเล็กๆ ไม่โดดเด่นที่ไม่มีผู้ใดรู้จักนี้ไม่ได้ไร้ความสามารถไปหมดเสียทีเดียว ภายใต้วรยุทธ์สะเปะสะปะนั้นแอบซ่อนไปด้วยความสามารถของพวกเขาที่ได้สืบทอดต่อกันมา...พิษกู่
การประลองครั้งนี้ ถึงแม้จิ่งเหวินซานจะไม่ได้ตั้งใจให้เขาพบกับตระกูลหวาหวาจิ่วทุกรอบ แต่อย่างน้อยก็เตรียมการไว้มากกว่าสามคน ในบรรดาคนเหล่านี้...คนที่เก่งกาจที่สุดก็คือพี่ใหญ่สุดในกลุ่มหวาหวาจิ่ว...ต้าหวา
คนผู้นี้อายุใกล้สามสิบแล้ว ตามที่มีการสืบทอดกันมาในตระกูล อย่างมากก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินห้าถึงหกปี ไม่มีผู้ใดไม่รักชีวิต นั่งนับนิ้วรอวันตายของตัวเองถือเป็เื่ที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง บรรพบุรุษของพวกหวาหวาจิ่วเองก็เคยมาให้ตระกูลจิ่งรักษาให้ แต่น่าเสียดายที่อาการป่วยของตระกูลพวกเขาก็เหมือนกับโรคปวดหัวใจของเทพธิดาดอกมู่จิน ตระกูลจิ่งเองก็ไม่มีวิธีเช่นกัน
จิ่งเหวินซานสัญญาว่าจะใช้หมอทั้งหมดของตระกูลจิ่งพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาโรคของเขา ต่อให้จะไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้เป็ร้อยปี แต่ก็ยังมีความหวังที่จะมีชีวิตยืนยาวขึ้นอีกสักหน่อย
ในขณะเดียวกันหวาหวาจิ่วต้องส่งคนในตระกูลมาร่วมงานประลอง และใช้วิชาพิษทำให้จิ่งฝานกลายเป็บ้าให้ได้
ตระกูลจิ่งเป็ตระกูลหมอยา วิชาแพทย์และทักษะเื่ยาของจิ่งฝานนั้นยิ่งไม่มีผู้ใดในตระกูลจิ่งเทียบได้ การจะวางยาเขานั้นจึงแทบเป็ไปไม่ได้ แต่ครั้นจะใช้วรยุทธ์เอาชนะเขา...จิ่งเหวินซานก็ไม่อาจรับประกันได้ อีกอย่างจิ่งเคอยังเอาข่าวร้ายที่ว่าวรยุทธ์ของจิ่งฝานเหนือกว่าเขามาบอกอีก
โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาเคยคบค้ากับพวกหวาหวาจิ่วมาก่อน พวกเขามีครบทั้งสองอย่าง เป็แผนจัดการจิ่งฝานที่เหมาะสมจริงๆ
วิชาพิษของตระกูลหวาหวานั้นมีหลายชนิด ส่วนใหญ่มักเป็ชนิดที่ให้ตัวแมลงพิษเข้าไปในตัวคน ทำให้แมลงเคลื่อนไหวอยู่ภายในแล้วควบคุมแมลงพิษให้กระทำการในตัวคนได้ตามความ้า พวกเขามีวิธีในการเลี้ยงกู่พิษเป็พิเศษ เมื่อรอจนมันโตแล้วก็จะใช้ยาสมุนไพรบางอย่างทำให้มันกลายเป็สิ่งมีชีวิตแห้งๆ ขนาดเล็กสีเหลืองดินที่มีขนาดพอๆ กับเข็มเท่านั้น แค่มันััเข้ากับเนื้อหนังก็จะแทรกซึมชอนไชเข้าไปในร่างกาย ดื่มกินเืมนุษย์ แล้วคืนร่างขยายใหญ่กลับไปดังเดิมอย่างรวดเร็ว
ตอนที่เริ่มประลอง หวาหวาชีพยายามเข้ามาประชิดตัวอ๋าวหรานอยู่พักหนึ่ง และก็สาดแมลงกู่หลายตัวลงไปบนร่างของอ๋าวหราน แน่นอนต่อให้เ้าพวกนี้จะเข้าไปในร่างอ๋าวหรานไม่ได้ ตอนหลังเขาก็ยังมีโอกาสเข้าใกล้อ๋าวหรานอีกมาก หรือไม่ก็หาวิธีอื่นให้แมลงกู่พวกนี้เข้าใกล้อ๋าวหรานให้ได้
ในตอนนี้หน้าตาของพวกเขาก็คือแต้มต่อ เพราะทำให้คนสามารถลดการป้องกันลงได้
ภายหลังในระหว่างการประลอง หวาหวาชีก็สาดแมลงกู่เข้าใส่เกือบร้อยตัว รวมถึงพวกอาวุธลับของเขาที่มีไว้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเ้าแมลงกู่นี้ แถมบนอาวุธลับก็ยังมีมันอยู่ด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปลี่ยนจากนายน้อยตระกูลจิ่งตามที่พี่ชายบอกมาเป็อ๋าวหราน แต่เพื่อความแน่ใจ หวาหวาชีจึงลงมือด้วยทั้งนั้น
เมื่อประลองมาถึงตอนนี้ หวาหวาชีเชื่อว่านอกเสียจากคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็เทพเซียน ไม่เช่นนั้นคงยากที่จะหลบหลีกเ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ยากจะป้องกันนี้ได้
บอกว่าเป็สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ก็เป็สิ่งมีชีวิตเล็กๆ จริงๆ แมลงกู่ของตระกูลหวาหวาตัวไม่ใหญ่ ต่อให้จะขยายร่างกลับมาเช่นเดิมก็ยังมีขนาดแค่ประมาณก้นเข็มสองสามเล่มเท่านั้น คนที่โดนกู่เข้าไปยิ่งโดนมากเท่าไรก็ยิ่งง่ายต่อการควบคุม ปกติแล้วเมื่อคนโดนแมลงกู่แรกเริ่มจะไม่มีความผิดปกติใดๆ ขอแค่ผู้ควบคุมกู่ปรากฏตัวขึ้นก็จะเชื่อฟังแต่คำสั่งเขาเท่านั้น ถึงขนาดยอมให้คนฆ่าแกงได้ตามใจชอบ หวาหวาชีรู้ว่าเขายังไม่มีความสามารถเช่นพี่ชายที่สามารถควบคุมแมลงกู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งแมลงกู่ที่เขาสาดใส่ล้วนเป็ ‘กู่บ้า’ ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดหัวจนทนไม่ไหว เหตุใดถึงไปกดหน้าอกแทนได้?
ตอนที่จิ่งฝานไปถึงตรงหน้าของอ๋าวหราน อ๋าวหรานแม้แต่คุกเข่าก็ไม่ไหวแล้ว จิ่งฝานเพิ่งจะััโดนเขา เขาก็ล้มลงในอ้อมแขนของจิ่งฝานทันที มืออันซีดขาวขยุ้มเสื้อบริเวณหน้าอกอย่างรุนแรงจนเห็นข้อกระดูกชัดเจน ฟันก็ขบริมฝีปากอย่างรุนแรง เพียงครู่เดียวก็มีเืแดงฉานไหลซึมออกมาย้อมริมฝีปากอันขาวซีดยิ่งทำให้ดูอ่อนแอ เหงื่อบนหน้าผากชื้นไรผม ดูน่าสงสารเป็อย่างยิ่ง
มือของจิ่งฝานสั่นน้อยๆ เขาได้ยินมาว่าจิ่งเหวินซาน้าให้เขากลายเป็บ้า ไม่ได้้าให้เขาตาย อีกทั้งแมลงกู่ทั้งหมดตอนที่เข้าใกล้อ๋าวหรานก็ล้วนถูกเขาทำให้สลายกลายเป็เถ้าไปแล้ว เขามั่นใจว่าไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว แล้วเหตุใดยังเป็เช่นนี้อีก
หวาหวาชีน่าจะไม่มีปัญญาควบคุมแมลงกู่นี่
ตอนที่เขาได้ยินอ๋าวหรานพูดถึงหวาหวาจิ่วนั้นก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่าก็คือในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้จักหวาหวาจิ่วเลยนั้น คนผู้นี้ยังขอแลกแท่งไม้กับเขาเพื่อไปเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่รู้จักแทนเขา
ที่เขามาสายก็เพราะไปสืบข่าวมาหรือ?
เขารู้ว่าจิ่งเหวินซานจะส่งหวาหวาจิ่วมาทำร้ายเขาเช่นนั้นหรือ?
เหตุใดจึงเอาอันตรายทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ?
ในสมองของจิ่งฝานรู้สึกสับสนวุ่นวาย อารมณ์หลากหลายมากมายตีกันไปหมด แต่ความสามารถของเขายังดีอยู่จึงยื่นมือไปจับข้อมืออ๋าวหราน นิ้วแนบชิดไปกับชีพจรของเขา
ตึก...ตึก...ตึก...ชีพจรเต้นเร็วมาก แต่ก็ราวกับเต้นอย่างบ้าคลั่งหลังวิ่งเสร็จ ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น ดูแข็งแรงดี
จิ่งฝานรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ แข็งค้างไปทั้งร่าง
ความสนใจของทุกคนถูกอ๋าวหรานดึงดูดไปจึงมองไม่เห็นแววตาอันแปลกประหลาดและร่างกายที่แข็งค้างของจิ่งฝาน
เหยียนเฟิงเกอไม่รอจิ่งฝานจับชีพจรเสร็จ ดึงมืออีกข้างของอ๋าวหรานที่ขยุ้มหน้าอกอยู่ออกมาแล้วเอาฝ่ามือของตนแนบเข้าไป จากนั้นถ่ายทอดกำลังภายในอย่างไม่หยุดพักราวกับไม่้าชีวิตแล้วให้แก่อ๋าวหราน แต่ก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้นแม้แต่น้อย
จิ่งจื่อกับจิ่งเซียงร้อนรนเป็อย่างยิ่ง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มือไม้ทำอะไรไม่ถูกอยากเข้าใกล้อ๋าวหราน แต่ก็ไม่กล้า
จิ่งเซียงหันศีรษะไปมองจิ่งฝาน น้ำเสียงสั่นไหวอยู่หลายส่วน “พี่ เป็อย่างไรบ้าง? ตรวจเจออะไรหรือไม่?”
จิ่งฝานถูกคำว่า ‘พี่’ ทำให้ใจนดึงสติกลับมา แผ่นหลังสั่นเล็กน้อย เนิ่นนานเขาจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงแหบต่ำยากต่อการคาดเดา “ชีพ...ชีพจรเต้นเร็วมาก แต่ไม่มีความผิดปกติใดๆ”
ทุกคนมีสีหน้าอึ้งค้าง
กู่1 (蛊)คือการใส่สัตว์พิษชนิดต่างๆ ลงไปในไหและให้สัตว์เ่าั้กินกันเองจนกว่าจะเหลือรอดตัวสุดท้าย ซึ่งเชื่อว่าจะมีพิษร้ายแรงที่สุด
