“เหมยเซียง เ้านี่ละเอียดรอบคอบดีจริงจะให้หวงฝู่จิ้งท่านแม่ทัพไว้ผู้เดียวได้อย่างไร!”นางจ้าวว่าพลางให้สาวใช้ช่วยแต่งเนื้อแต่งตัวให้ตน ก่อนจะค่อยๆเดินไปที่เรือนของหั่วอี้
ในห้องหนังสือมีเทียนจุดเอาไว้ เปลวไฟจากเทียนโบกอยู่เบาๆแสงเทียนดังไข่มุก ขยับหมุนส่องแสงสีทอง
เนื่องจากฉวยเวลาว่างแอบกลับมา ยังไม่ทันระลึกความหลังกับหลิ่วจิ้งก็มีบ่าวมาบอกว่าเขามีงานด่วนที่ต้องทำ ไม่มีเวลาจะได้อยู่กับหลิ่วจิ้งที่อยู่ข้างๆเขาในยามนี้
หลิ่วจิ้งเห็นว่าแม้หั่วอี้จะมีท่าทีชื่นมื่นสดใส หล่อเหลาสง่างามเช่นเคยแต่ความอ่อนล้าในดวงตากลับยากจะปิดบังได้คิดว่าเขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับมาเพื่อนางต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างมากทีเดียว อดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้จึงจัดเตรียมน้ำชาอาหารให้เขาด้วยตนเอง
“ท่านแม่ทัพ เชิญดื่มน้ำชาเ้าค่ะ” หลิ่วจิ้งส่งถ้วยชาให้หั่วอี้แววตาวับวามราวหยดน้ำ ดังตากวางก็ไม่ปานสิ่งนี้ทำให้หั่วอี้รู้สึกว่าหลิ่วจิ้งไม่เหมือนกับหญิงคนอื่นในจวนนางไม่เคยเป็เหมือนสตรีอีกสองคนนั้น ที่วันๆเอาแต่จะแย่งชิงความรักหรือจงใจประจบเขา
เวลานั้นเอง เด็กรับใช้ก็เข้ามารายงานว่า “ท่านแม่ทัพขอรับฮูหยินจ้าวขอพบขอรับ”
หั่วอี้ไม่แม้แต่จะเงยหน้า เพียงช้อนเปลือกตาขึ้นแล้วเอ่ยราบเรียบดังสายลมเบาเมฆาบางว่า“องค์หญิง ข้ากำลังมีกิจยุ่งท่านช่วยไปกล่าวแทนข้าว่าให้นางกลับไปเถิด ฟ้ามืดแล้วระวังทางลื่นด้วย”
เดิมทีหลิ่วจิ้งไม่อยากไป ด้วยกลัวจะถูกนางจ้าวเข้าใจผิดเอาจึงเรียกเด็กรับใช้ของ หั่วอี้มาใกล้ๆ กำชับเสียงเบาไปสองสามคำเด็กรับใช้ได้ยินคำที่ของหลิ่วจิ้งบอกและรู้ว่าฐานะของหลิ่วจิ้งในใจของหั่วอี้แตกต่างจากผู้อื่นจึงเดินออกไปนอกห้องอย่างเชื่อฟัง
“ท่านมีไหวพริบรู้จักใช้คน!” แม้หั่วอี้จะไม่เงยหน้าขึ้นแต่ถ้อยคำล้วยเปี่ยมด้วยความรักใคร่
“ข้าอยู่ในห้อง แต่ท่านกลับไม่ให้นางเข้ามา หากนางรู้เข้าแล้วจะไม่คิดแค้นเคืองข้าได้อย่างไร? จะนึกว่าข้ายุยงท่านเสียอีก!”
“กลับเป็ข้าทำผิดเสียแล้ว”
เด็กรับใช้ออกจากประตูไป คำนับนางจ้าวอย่างนอบน้อมแล้วพูดตามคำที่หลิ่วจิ้งบอกมาว่า “ท่านแม่ทัพมีภาระงานต้องทำ ไม่อาจปลีกตัวมาได้ฟ้ามืดแล้ว อย่างไรฮูหยินก็กลับไปก่อนเถิดขอรับอีกสักพักท่านแม่ทัพจะไปเยี่ยมฮูหยินในภายหลังขอรับ!”
“เช่นนั้น ความหมายของเ้าคือไม่ให้ข้าเข้าไปเช่นนั้นรึ?” นางจ้าวเลิกคิ้ว ยิ้มจางๆ แต่แววตากลับนิ่งสงัด
“เรียนฮูหยิน บ่าวมิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ”
“แล้วเ้าหมายความว่าอย่างไร?” นางจ้าวยังคงถามไปอย่างราบเรียบแ่เบาแต่กลับโค้งมุมปากขึ้นยิ้มเป็ทีว่าไม่เข้าใจ ดังดอกฝิ่นที่ดูเผินๆ งดงามไร้พิษภัยแต่ความจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยพิษแต่ยามอยู่ต่อหน้าหั่วอี้นางจำต้องทนเก็บอาการเอาไว้
“ฮูหยินขอรับ ท่านแม่ทัพเป็ห่วงท่าน เกรงจะไม่มีเวลาสนใจแล้วจะดูแลท่านไม่ทั่วถึงขอรับ” เด็กรับใช้ไหวพริบดี จึงอธิบายไปดังนั้น
“หากเ้าไม่ให้ข้าเข้าไป วันนี้ข้าก็จะรอท่านแม่ทัพอยู่ที่นี่ รอจนกว่าท่านแม่ทัพจะออกมา”นางจ้าวจดจ้องเด็กรับใช้ด้วยท่าทีหยิ่งยโสเป็ที่สุดดังดอกมู่ตานโดดเด่นท่ามกลางดอกไม้นับหมื่น ที่ไม่ยอมให้ผู้คนมองข้ามตนไปได้
“จะอย่างไรฮูหยินก็กลับไปก่อนเถิดขอรับเมื่อครู่นี้ท่านแม่ทัพย้ำข้าน้อยมาหลายคราว่าอย่าได้ให้ฮูหยินต้องเหน็ดเหนื่อยเป็อันขาดขอรับ”เด็กรับใช้เองก็ไม่กล้าชักช้าจึงเอ่ยเตือนอย่างอดทน
ผู้เป็บ่าวย่อมต้องทำตามความประสงค์ของคนเป็นายนางจ้าวก็เพียงอยากจะพบหั่วอี้สักหน่อยเท่านั้น อยากได้ความห่วงใยจากหั่วอี้เด็กรับใช้ย่อมรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร
“ท่านแม่ทัพพูดเช่นนี้จริงรึ?” ได้ยินว่าหั่วอี้เป็ห่วงตน ในใจนางจ้าวพลันรู้สึกหวานหอมดังได้กินลูกกวาดน้ำผึ้งเช่นนั้น
“ขอรับท่านแม่ทัพยังกำชับมาเป็การพิเศษว่าให้บ่าวไปส่งฮูหยินกลับไปด้วยนะขอรับ เห็นได้ชัดว่าท่านแม่ทัพห่วงใยฮูหยินยิ่งนักขอรับ”
นางจ้าวรู้ว่าวันนี้หั่วอี้ไม่มีแก่ใจจะพบตนหากยังขืนดึงดันต่อไปก็เกรงว่าทำให้หั่วอี้รำคาญแต่ก็กังวลในใจอีกว่าตอนบ่ายที่ผ่านมาหลิ่วจิ้งจะนินทาว่าร้ายตนต่อหน้าหั่วอี้จึงไม่กล้าอยู่ต่อ เพียงคิดหาหนทางจะได้พบหั่วอี้สักคราว จึงสั่งเด็กรับใช้ว่า“หนทางแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ไม่ต้องลำบากเ้าไปส่งหรอกเ้าไปดูแลท่านแม่ทัพให้ดีๆ เถิด!”
ระหว่างที่พูดไป กลับเห็นเงาของสตรีในห้องฉายกระทบที่หน้าต่างนางอดห่อเหี่ยวใจไม่ได้ มิน่าเล่าท่านแม่ทัพจึงไม่ให้ตนเข้าไปที่แท้เพราะมีสตรีเคียงข้างอยู่แล้ว!
คิดดังนี้นางจึงไม่พยายามเรียกร้องความสนใจอีก ก่อนจะพาสาวใช้จากไปอย่างรวดเร็ว
เด็กรับใช้เห็นว่าตอนกลับไปนางจ้าวมีสีหน้าหม่นหมองรู้ได้ทันทีว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงไม่กล้าปิดบังเมื่อเข้าไปในห้องก็บอกเล่าให้หลิ่วจิ้งและหั่วอี้ฟัง
หลิ่วจิ้งได้ฟังก็รู้ว่าตนไปล่วงเกินนางจ้าวเข้าอีกแล้ว เพียงแต่หั่วอี้กลับไม่มีท่าทีสนใจใดๆคิดเพียงว่าวันหลังว่างแล้วค่อยไปเยี่ยมนางจ้าวก็พอแล้ว
เดิมทีคิดจะได้อยู่ร่วมคืนแสนหวานกับหั่วอี้แต่กลับนึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันถึงยามโฉ่ว [1] หั่วอี้ก็ได้รับจดหมายด่วนฉบับหนึ่งบอกว่าให้เร่งเดินทางได้แล้ว
หลังจากนางจ้าวกลับไปที่เรือน นางก็เอาแต่รอให้หั่วอี้มาหาแต่คิดไม่ถึงว่ามีบ่าวมารายงานว่าหั่วอี้ออกไปตั้งนานแล้วนางจึงจดจำเื่ในวันนี้เอาไว้ คิดว่าจะต้องหาโอกาสสั่งสอนหลิ่วจิ้งให้จงได้
แลเห็นดอกไม้ใบหญ้าเต็มสวน ต้นไม้เขียวสอดประสาน ขยับเปลี่ยนมุมมองบดบังูเาเทียมและหอในสวนจนมิด
ณ ที่อับสายตาใกลู้เาเทียม เด็กรับใช้คนหนึ่งสังเกตรอบๆตัวด้วยสายตาล่อกแล่กเ้าเล่ห์ หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“เหตุใดคนผู้นี้จึงยังไม่มาเสียที?” ปากบ่นไปอย่างไม่พอใจ
ในขณะที่เขากำลังร้อนรนอยู่นั้น กลับเห็นสาวใช้นางหนึ่งเดินเหลียวซ้ายแลขวามาทางนี้แววตาของเด็กรับใช้พลันเป็ประกาย รีบลุกขึ้นมา ร้องเรียกเสียงเบาว่า “จือชิว!จือชิว!”
เด็กรับใช้ผู้นี้เดิมทีเป็บ่าวที่ทำงานอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเวลานี้เขาฉวยโอกาสที่ฮูหยินผู้เฒ่านอนกลางวันแอบวิ่งออกมา
จือชิวได้ยินเสียงคนเรียกนางจึงรีบหันหน้ามาเมื่อมองไปแล้วเห็นเป็เซิงเกอที่แอบนัดให้นางออกมาถึงวางใจเหลียวซ้ายแลขวาจนเห็นว่ารอบทิศไม่มีคนแล้วจึงมุดเข้าไปในถ้ำของูเาเทียมกับเซิงเกอ
“เรียกอะไรเล่า! ระวังจะมีคนมาเห็นเข้า!”จือชิวเอ็ดเสียงเบาไปคำหนึ่ง
“ได้ๆ รีบเอาของมาให้ข้าเร็ว ประเดี๋ยวฮูหยินผู้เฒ่าก็จะตื่นแล้ว” เสี่ยวหลี่จื่อพูดพลางก้มหน้าน้อมเอวลง แววตากลับมีแววเคืองโกรธ
“เอาล่ะ เื่นี้ต้องจัดการให้เรียบร้อย หากไม่ระวัง ชีวิตน้อยๆเยี่ยงเ้าจะได้รับโทษใหญ่หลวง อย่าหาว่าข้าไม่ได้เตือนเ้าเล่าตอนนี้พวกเราเป็ตั๊กแตนในตาข่ายเดียวกันแล้ว หากจัดการได้เรียบร้อย ฮูหยินบ้านข้าย่อมมีรางวัลให้อย่างงามหากล้มเหลวถูกเปิดโปง ปากเ้าก็ต้องปิดให้สนิทเชียว!อย่าให้ฮูหยินบ้านข้าต้องลำบากไปด้วย!”จือชิวล้วงห่อของหนึ่งห่อออกมาจากข้างในแขนเสื้อ วางลงในมือของเซิงเกอ
เซิงเกอได้ยินคำของจือชิวรู้สึกว่านี่เป็การข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานชัดๆจึงรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันใด
จือชิวเห็นตนเองพูดแรงไปจนทำให้เซิงเกอใจึงเปลี่ยนสีหน้ามายิ้มแย้ม ปลอบว่า “จริงๆ แล้วเื่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเ้าสักนิดเดียวฮูหยินผู้เฒ่าก็จะไม่ได้มีอันตรายใดเ้าเพียงจำไว้ว่าถึงยามนั้นจะต้องยืนยันเสียงแข็งว่าเป็นางหวงบ่งการเ้ามาย่อมเพียงพอแล้ว”
เซิงเกอฟังแล้วพยักหน้า รีบเอาของในมือเก็บไว้กับตัว ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีเพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีงานใดเมื่อนึกถึงเื่ที่หั่วอี้สั่งความไว้ก่อนไปว่าให้ตนช่วยดูแลมารดาหลิ่วจิ้งจึงถือโอกาสที่ตนทำอาหารว่างประจำวันให้อิ๋งเหอนำไปส่งที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งจะตื่นจากนอนกลางวันใต้หน้าต่างมีเตากำยานสามขารูปหูสัตว์เตาหนึ่ง ควันบางลอยคว้างข้างกายทำให้สบายใจและผ่อนคลายนัก ว่าแล้วก็หาวออกมาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นหลิ่วจิ้งมาหาฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้คนไปรับของว่างและเชิญให้นางนั่งลงนับั้แ่เกิดเื่ของนางจ้าวเมื่อคราวก่อนก็เป็เวลานานแล้วที่นางไม่ได้พบหลิ่วจิ้ง คราวก่อนหั่วอี้กลับมาไม่นานก็ต้องรีบไปแม้แต่นางซึ่งเป็มารดาก็ยังไม่ทันได้พบหน้าเขาสักหน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคิดในใจว่านี่เป็วิกฤตจากหญิงงาม[2] เป็ห่วงว่าหั่วอี้จะถูกหลิ่วจิ้งทำให้เสียอนาคต จึงเอ่ยเพียงว่า“อี้เอ๋อร์มีกิจในกองทัพหนักหนานัก เมื่อเป็คนใน ย่อมต้องช่วยเขาแบ่งเบาภาระอย่าเป็ฝ่ายทำให้เขายิ่งต้องโหมงานหนักเสียเอง!”
หลิ่วจิ้งรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีเจตนาซ่อนอยู่ในคำพูดคงเพราะเป็ห่วงหั่วอี้ จึงไม่ได้อธิบายอันใดเพิ่มกับนาง เพียงแค่พยักหน้ารับคำ “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถูกต้องแล้วเ้าค่ะ”แล้วพูดต่อว่า “สองสามวันนี้อากาศร้อนขึ้นทุกวัน ทำให้คนไม่อยากอาหารข้าจึงให้อวี้จิ่นและอิ๋งเหอทำของว่างที่ทานแล้วสดชื่นมาส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าค่ะถ้าหากทานแล้วถูกใจ วันหลังข้าจะทำมาให้ท่านอีกเ้าค่ะ”
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ยามโฉ่ว คือ่เวลาตีหนึ่งถึงตีสาม
[2]วิกฤตจากหญิงงาม ก็คือ ผู้ชายจะเพี้ยงพล้ำเสียการงาน เพราะหญิงงาม