“หน้าตาเคร่งเครียด กังวลเื่ใดอยู่หรือ?”
ิหยวนทรุดตัวคุกเข่าลงบนเบาะนั่งตรงข้ามโหวอิง ค่อยๆ ยกมือขึ้นคารวะคนตรงหน้า “จิตใจเป็กังวลเปรียบดั่งผ้าสกปรก ซักอย่างไรก็ซักไม่ออก ครุ่นคิดเงียบๆ คนเดียว ไม่อาจกระพือปีกบินสูง [1]”
“ไยถึงอยากกระพือปีกบินสูง?”
ิหยวนนั่งลงพลางยกยิ้มขมขื่น “ศิษย์เองก็มิทราบขอรับ”
“เช่นนั้นที่เ้าครุ่นคิดอยู่นานสองนาน คิดสิ่งใดออกบ้าง”
“คิดว่าตนเองปล่อยวางไม่ได้” ิหยวนตอบตามความจริง “หากไม่มีิฝู่จวินเห็นคุณค่า ไม่มีท่านอาจารย์คอยสั่งสอน ิหยวนก็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ชีวิตนี้คงทำได้เพียงทำไร่ไถนาไปวันๆ แต่เพราะมีโอกาสได้เล่าเรียนศึกษาตำรามากมาย ได้เรียนรู้เื่น้อยใหญ่สารพัด หากต้องปล่อยดาบขึ้นสนิม ปล่อยม้าอ่อนแรง ปล่อยบ้านรกร้าง ศิษย์ยอมให้เป็เช่นนั้นไม่ได้”
“ฮ่า!!! ไม่ยอมก็ดีแล้ว” โหวอิงหัวเราะลั่น “ข้าเห็นเ้าทำตัวเป็เด็กหนุ่มประพฤติตนสงบเสงี่ยมเรียบง่ายอย่างกับคนที่บรรลุสัจธรรมแล้ว ข้าก็กลัวว่าเ้าจะละทางโลกออกบวช ใช้ชีวิตที่เหลือในวัดก่วงจี้เสียแล้ว ทำให้ข้ากังวลแทบแย่”
ิหยวนทำหน้าฉงน
“หากเ้าปล่อยวางแล้วออกบวชจริง สิ่งที่ข้าเฝ้าอบรมสั่งสอนไปก็คงจะไร้ประโยชน์”
“ท่านอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ออกบวช แล้วเหตุใดต้องให้ศิษย์อ่านคัมภีร์เต๋า ทั้งยังคอยถกปัญหาเกี่ยวกับแิเต๋าอยู่บ่อยครั้ง?” ิหยวนยังไม่เข้าใจ “แถมยังบอกอีกว่า ‘พุทธศาสนามองว่าทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า ทว่าเต๋ากลับมองว่าความว่างเปล่าคือต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง’”
โหวอิงชักจะโมโห “เด็กเกเรอบรมสั่งสอนไม่ได้ฉันใด ต้นไม้พุพังก็แกะสลักไม่ได้ฉันนั้น!”
“ข้าสอนก็เพราะยุคนี้เขานิยมศึกษาเื่นี้กัน! เ้าเข้าใจหรือไม่! หากเ้าไม่รู้จักนิยามของคำว่าความว่างเปล่าเลยสักนิด เ้าจะคุยกับคนอื่นรู้เื่ได้อย่างไร?”
ิหยวนแอบหัวเราะ “หมายความว่าท่านอาจารย์ยังอยากให้ศิษย์มีครอบครัว”
“แล้วแต่เ้าเถิด ข้าไม่มีสิทธิ์ไปชี้นิ้วสั่งให้เ้าแต่งงานมีลูกหรอก” โหวอิงบอกปัด
“ใช่สิ ท่านมีหู่เก้อเอ๋อร์แล้วนี่” ทันใดนั้นเด็กชายตัวเล็กน่าเอ็นดูก็เดินเข้ามาะโใส่ิหยวน ิหยวนจึงรีบอ้าแขนรับและกอดเขาไว้ เด็กคนนี้คือบุตรชายของปี้อวี้ อายุได้สามขวบแล้ว มีชื่อจริงว่า “โหวเจิ้ง” ชื่อเล่นคือหู่เก้อเอ๋อร์
โหวอิงไม่มีบุตรชาย จึงรับเด็กคนนี้เข้าตระกูลโหว โหวอิงและฮูหยินเลี้ยงดูเขาเหมือนบุตรชายแท้ๆ
โหวอิง้าคุยเื่สำคัญต่อ จึงสั่งให้คนพาเด็กออกไปก่อน ทว่าทั้งหู่เก้อเอ๋อร์ติดิหยวนมาก ทั้งสองจึงเล่นกันต่อ ไม่ยอมออกไปตามคำสั่ง โหวอิงจึงปล่อยเลยตามเลย กลับมาคุยเื่ที่คุยค้างไว้ “หากไม่อยากทิ้งความรู้ก็ต้องหางานทำ ใต้หล้ามีงานมากมายให้เ้าทำ เ้าคิดไว้หรือยังว่าอยากตามรอยผู้ใด จือลู่ เฉิงซี หร่านโหย่ว หรือกงซีฮวา?”
“ท่านอาจารย์ได้โปรดชี้แนะ”
“หากจะเป็ขุนนางท้องถิ่นระดับอำเภอก็จะต้องรู้พิธีการ รู้กฎหมาย และทำความเข้าใจระบบที่ดินก็พอแล้ว หากอยากเป็ขุนนางระดับเมือง ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษา บุกเบิกพื้นที่รกร้าง รับคำสั่งจากคนในราชสำนัก ปกครองตระกูลชนชั้นสูงในเมืองไม่ให้แตกแยก แต่หากจะเป็ขุนนางราชสำนัก เบื้องบนคือโอรส์ เบื้องล่างคือราษฎร ขุนนางต้องเป็สื่อกลางของทั้งสองฝ่าย ต้องรู้เื่การทหาร เข้าใจการบริหารกิจการบ้านเมือง ผูกมิตรกับตระกูลใหญ่เรืองอำนาจ รับใช้ราษฎร ซึ่งมิใช่เื่ง่าย”
ิหยวนจับหู่เก้อเอ๋อร์นั่งบนตัก แล้วจมอยู่ในห้วงความคิด
“รอเ้าถึงเจี้ยนคัง เข้าสำนักศึกษาหลวงแล้วค่อยคิดอีกที”
“สำนักศึกษาหลวง?”
“ข้าเป็อาจารย์มาหลายปี เพื่อศิษย์อย่างเ้า ข้าโหวอิงยินดีเอาหน้าเหี่ยวๆ เป็ประกัน บัณฑิตที่จะได้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวง ไม่ว่าอย่างไรเ้าจะต้องได้เป็หนึ่งในนั้น”
......
สำนักศึกษาหลวงอยู่ในความดูแลของราชสำนัก เป็สถานศึกษาที่มีไว้ศึกษาเพื่อสอบขุนนาง คือหนทางก้าวไปสู่ตำแหน่งขุนนางเก้าขั้น ค่าเล่าเรียนค่ากินอยู่ทางการออกให้ ยกเว้นค่าอื่นๆ ที่ตนเองใช้จ่ายข้างนอก บัณฑิตในสำนักศึกษาหลวง ครึ่งหนึ่งเป็บัณฑิตที่ถูกคัดเลือกจากราชสำนัก อีกครึ่งหนึ่งได้รับคัดเลือกจากเมืองอื่นๆ ทุกปีจะมีการคัดเลือกบัณฑิตจากทุกเมืองเข้าศึกษา แต่ละเมืองจะส่งรายชื่ออย่างน้อยเจ็ดถึงแปดคน อย่างมากก็สิบกว่าคน หลังจากส่งรายชื่อแล้ว ส่วนกลางจะเป็ผู้คัดเลือกผู้ที่เหมาะสม จำนวนผู้ผ่านการคัดเลือกก็จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละปีนั้นๆ
หากบัณฑิตจากเมืองใดมีผลการเรียนดี ปีหน้าเมืองนั้นๆ ก็จะได้รับพิจารณาเพิ่มอีกสองสามคน แต่หากบัณฑิตจากเมืองใดสอบไม่ผ่านและถูกไล่ออก โอกาสที่เมืองนั้นๆ จะได้รับคัดเลือกก็จะมีน้อยลง เลวร้ายที่สุดก็อาจถูกตัดสิทธิ์ส่งรายชื่อไปอีกหลายปี
การที่บัณฑิตที่ส่งไปได้รับเลือก นับเป็ความสำเร็จครั้งใหญ่ของขุนนางในท้องถิ่น แต่ละอำเภอแต่ละเมืองจึงให้ความสำคัญกับเื่นี้มาก สรรหาผู้มีความสามารถจากทุกชนชั้น พยายามส่งรายชื่อให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็การเพิ่มโอกาสให้ได้รับการคัดเลือก
สำหรับเมืองเจียงโจว นอกจากการได้เข้าศึกษาที่สำนักศึกษากลางเป็กรณีพิเศษที่ิเยี่ยบังเอิญได้ไปเมื่อสองปีที่แล้ว ใน่สองปีที่ผ่านมา เฉินปั๋วได้ส่งรายชื่อไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบห้าสิบหกคน ทว่าได้รับคัดเลือกเข้าสำนักศึกษาหลวงเพียงสองสามคนเท่านั้น
่เวลาส่งรายชื่อหวนคืนมาอีกครั้ง ปีนี้เฉินปั๋วจึงเอาใจใส่เป็พิเศษ
ยามนี้เฉินปั๋วมือขวาถือฎีกา มือซ้ายถือรายชื่อบัณฑิตพร้อมผลการเรียน ซึ่งแต่ละอำเภอมียี่สิบรายชื่อ ทั้งผู้ที่มีรายชื่อหรือผู้ที่ไม่มีรายชื่อ เหล่าตระกูลใหญ่ต่างก็ทยอยกันมาพบเขา แม้แต่ตระกูลเล็กๆ ที่มีที่ดินในไม่ถึงร้อยหมู่ ยังหอบเงินทั้งหมดที่มีมาขอร้องให้เขาช่วย เพราะการที่ใครสักคนในครอบครัวได้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวงถือเป็เื่ใหญ่ในชีวิต
เฉินปั๋วครุ่นคิดเื่นี้อยู่ครึ่งค่อนวัน ทุกครั้งที่เทียนละลายจนใกล้ดับ จะมีกระดาษรายชื่อหนึ่งแผ่นถูกเผาไหม้
เขาประทับใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาก
ไม่ว่าที่งานเลี้ยงที่สวนจื่อหยวนเมื่อคราวนั้น หรือคราวตัดสินคดีของวัดก่วงจี้และคดีของตระกูลหลิว ทั้งสามคดีในยามนั้น ล้วนแล้วแต่ทำให้เฉินปั๋วรู้สึกว่าเด็กคนนี้ต้องอนาคตไกลเป็แน่ อีกทั้งโหวอิงยังแนะนำเด็กคนนี้กับเขาด้วยตนเอง อย่างไรเสียเขาจะต้องส่งชื่อเด็กคนนี้ไป แต่ผู้ใดจะรับประกันได้ว่าเด็กคนนี้จะถูกเลือก
เขาจะแน่ใจได้อย่างไร?
จริงด้วย! ถึงอย่างไรทางราชสำนักก็ต้องคัดเลือกคนจากแต่ละเมืองอย่างทั่วถึง รายชื่อที่ส่งไปไม่ว่าน้อยหรือมาก ในแต่ละเมืองก็ต้องมีสักคนที่ได้รับเลือก
แม้เด็กคนนี้ความสามารถโดดเด่นไม่แพ้ผู้ใด แต่เพื่อความแน่นอน...
เฉินปั๋วจุ่มปลายพู่กันลงบนหมึก ก่อนจะค่อยๆ บรรจงเขียนอักษรลงบนกระดาษ รายชื่อที่เขียนมีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
ิหยวนจากอำเภอไท่อัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กระพือปีกบินสูง (奋飞) หมายถึง อุปมาถึงคนที่พยายามอย่างหนักเพื่อความก้าวหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้