ขยะ? ใครกันที่กล้าด่าเหวินเริ่นเหยียนว่าเป็ขยะ
ฝูงชนต่างจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างรู้สึกมึนงง เพราะว่าหลินเฟิงในเวลานี้ยังสวมเครื่องแบบของศิษย์สายนอก หรือว่ายังเป็ศิษย์สายนอกอยู่?
หนานกงหลิงขมวดคิ้ว หลินเฟิงได้ก้าวเข้าสู่การเป็ศิษย์สายในแล้ว แต่ทำไมยังสวมเครื่องแบบของศิษย์สายนอกอยู่อีก?
ภายในนิกายหยุนไห่ มีศิษย์สี่คนที่หนานกงหลิงให้ความสำคัญที่สุดคือ หลิ้งหูเห่อซาน ถูฟู เหวินเริ่นเหยียน และหลินเฟิง
ตอนนี้หลิ้งหูเห่อซานได้กลายเป็ความหวังของนิกาย ถูฟูเองก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเหวินเริ่นเหยียนก็มีศักยภาพอันไม่มีที่สิ้นสุด และหลินเฟิงแม้ว่าตอนนี้จะยังอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วมีพร์ที่โดดเด่นและมีอนาคตไร้ขีดจำกัด
คนคนนี้ถูกหนานกงหลิงเห็นว่าเป็อนาคตของนิกาย หนานกงหลิงไม่ได้้าให้พวกเขาขัดแย้งกัน แต่ในตอนนี้ระหว่างเหวินเริ่นเหยียนและหลินเฟิง ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ
“เ้ามีสิทธิ์อะไรถึงมาชี้หน้าด่าข้า ทั้งที่เ้ามันก็ยังเป็แค่เศษสวะ”
ดวงตาสีฟ้าของเหวินเริ่นเหยียนได้ปล่อยรังสีอำมหิต ขณะจ้องมองหลินเฟิง
“คนที่ไม่มองการณ์ไกลอย่างเ้า ไม่รู้ว่ามีคุณสมบัติอะไรถึงมาด่าคนอื่นว่าเป็เศษสวะได้”
คำพูดเยาะเย้ยของหลินเฟิงนับวันยิ่งรุนแรงขึ้น ทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจ ความแข็งแกร่งของเ้าเด็กนี่ยังห่างไกลและเทียบกับเหวินเริ่นเหยียนไม่ได้ เหวินเริ่นเหยียนเป็ที่เคารพนับถือของทุกคน เขากล้าดีอย่างไรถึงมาด่าเหวินเริ่นเหยียนเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำสูงเสียจริง
“หรือว่าเ้ามีคุณสมบัติมากกว่าข้า?” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวถามด้วยสีหน้ากลั้นขำไม่อยู่
“แน่นอนว่าถ้าข้าไม่มีคุณสมบัติพอ ข้าจะไม่ด่าคนอื่นว่าเศษสวะ” หลินเฟิงกล่าวขณะก้าวเดินไปยังลานประลองเป็ตายอย่างเชื่องช้า ด้วยท่าทางที่ดูสงบและสุขุม
“เ้าอยู่อันดับสูงสุดของศิษย์สายในและดูถูกศิษย์สายในคนอื่นๆ ว่าเป็เศษสวะ ถ้าหากตอนที่เ้าถูกศิษย์หลักที่ทรงพลังของนิกายดูถูกว่าเป็เศษสวะ เ้าจะทำอย่างไร?”
“หึ ถึงศิษย์หลักจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่ในภายภาคหน้าข้าก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่า พวกเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะด่าข้าว่าเป็สวะ แต่สำหรับพวกเ้าไม่มีโอกาสที่จะแข็งแกร่งกว่าข้า ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์มาด่าข้า”
เหวินเริ่นเหยียนหยิ่งผยองยิ่งนัก ทำให้บรรดาศิษย์สายในล้วนรู้สึกโกรธเกรี้ยว แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ พร์ของเหวินเริ่นเหยียนแข็งแกร่งและทรงพลังกว่าพวกเขามาก
“ไร้สาระ” หลินเฟิงได้เดินมาถึงลานประลองเป็ตาย และก้าวขึ้นไปยังลานประลองทันที
“ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก เ้ามีพร์ที่พิเศษและเป็อัจฉริยะ แต่ในสายตาของข้า เ้าก็แค่คนโง่เขลา ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมนิกายหยุนไห่ถึงให้ความสำคัญกับเ้านัก”
เมื่อหลินเฟิงกล่าวจบ สายตาของทุกคนต่างใ เ้าเด็กนี่ไม่เพียงด่าเหวินเริ่นเหยียนเท่านั้น แต่ยังกล้าตั้งคำถามอีก กล้าดีอย่างไรถึงทำเช่นนี้!
“เ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
เหวินเริ่นเหยียนหัวเราะอย่างน่าสะพรึงกลัว เมื่อเห็นหลินเฟิงก้าวขึ้นมายังลานประลองเป็ตายทีละก้าว
“การทดสอบของนิกาย คือการให้ศิษย์ทุ่มเทพลังทั้งหมดในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอันดับดีๆ มาให้ได้ เพราะมันคือเกียรติยศ และการที่ศิษย์ในอันดับต่ำจะท้าประลองกับศิษย์ที่อยู่ในอันดับที่สูงกว่า มันเป็ธรรมชาติของมนุษย์ ต่อให้แพ้ก็ไม่ถือว่าขายขี้หน้า แต่เ้าเหวินเริ่นเหยียน กลับสั่งให้ศิษย์เหล่านี้สังหารผู้ท้าประลอง เ้านี่มันช่างไร้มนุษยธรรมยิ่งนัก”
“เป็ศิษย์สายในอันดับหนึ่ง แต่มาดูถูกและด่าศิษย์คนอื่นๆ ว่าเป็ขยะ และยังกดขี่ศิษย์ร่วมนิกาย เหวินเริ่นเหยียน เ้ามันชั่วช้า!!!”
“เ้าไม่มีทั้งมนุษยธรรมและศีลธรรม นิกายเลี้ยงดูเ้าให้กลายเป็อัจฉริยะเพื่อที่ภายภาคหน้าจะได้มาค้ำจุนนิกาย แต่เ้ากลับสังหารศิษย์ร่วมนิกายด้วยกันเพียงเพราะความไม่ชอบใจ เหอะ หากยังเป็เช่นนี้อีกต่อไป อนาคตของนิกายคงยากลำบากแน่!!! หรือยังมีคนคาดหวังว่าเ้าจะกลายเป็ผู้กอบกู้นิกาย? เกรงว่าคนแรกที่ทรยศนิกายก็คือเ้า!!! แค่พร์แข็งแกร่งขึ้นเล็กๆ น้อยๆ ก็กำเริบเสิบสานได้ขนาดนี้ ถ้าในอนาคตพร์แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีก จะไม่กลายเป็ภัยต่อนิกายหยุนไห่หรือ?”
หลินเฟิงพูดเพียงสามประโยคเท่านั้น ในขณะนั้นบรรยากาศพลันเงียบสงบ ไม่มีทั้งมนุษยธรรมและศีลธรรม ถ้าในอนาคตพร์แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีก ไม่กลายเป็ภัยต่อนิกายหยุนไห่หรือ?
“ตูม!”
กลิ่นอายอันหนาวเย็นได้ปะทุขึ้น เหวินเริ่นเหยียนก้าวไปยังลานประลองเป็ตาย อุณหภูมิพลันลดลงอย่างรวดเร็ว
“โกรธงั้นหรือ? ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ”
หลินเฟิงหัวเราะเยาะ จากนั้นเขาก็เคลื่อนตัวไปยังใจกลางของลานประลอง และมองเหวินเริ่นเหยียนอย่างดูิ่
“ทวีปเก้า์นั้นกว้างใหญ่ไพศาล เหวินเริ่นเหยียน เ้าเคยเห็นสถานที่อื่นๆ มามากแค่ไหน? และเคยเห็นอัจฉริยะมามากน้อยแค่ไหน? นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ในแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลถือว่าอ่อนแอที่สุด ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่มีคนอีกมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเ้าอยู่นับไม่ถ้วน แต่เ้ากลับหยิ่งผยองไปกับพลังเล็กน้อยแค่นี้ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเ้าเอาความผยองนี่มาจากไหน?”
“เหวินเริ่นเหยียน สายตาของเ้าช่างคับแคบยิ่งนัก เป็เหมือนกบในกะลาเท่านั้น นอกจากจะไม่มีมนุษยธรรมและศีลธรรมแล้ว กระทั่งสติปัญญาก็ยังไม่มีอีก”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้ทุกคนรู้สึกสั่นสะท้าน แม้แต่หนานกงหลิงและต้วนเทียนหลางยังต้องสั่นคลอน เ้าเด็กนี่ช่างมีวิสัยทัศน์ที่ดีและมองการณ์ไกลยิ่งนัก
ส่วนเหวินเริ่นเหยียนร่างกายสั่นระริกด้วยความโกรธ คำพูดของหลินเฟิงช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว ทำให้สถานะของเขาที่อยู่ในใจของผู้คนต้องสั่นคลอน เขารู้สึกได้ว่าสายตาที่ทุกคนมองเขามันเปลี่ยนไป
แม้แต่ผู้คนที่อยู่บนอัฒจันทร์ก็ล้วนเหมือนกันหมด
ดูเหมือนว่าหลินเฟิงคงไม่ปล่อยเขาไปแน่ๆ
หลินเฟิงปรายตามองไปยังอัฒจันทร์ และกล่าวขึ้นมาว่า
“สายตาคับแคบ ไม่มีมนุษยธรรม ขาดศีลธรรมและไร้ซึ่งสติปัญญา แต่กลับเป็ที่เคารพนับถือของทุกคน ไม่ว่าจะเป็ผู้าุโหรือนิกายล้วนให้ความสำคัญ ในฐานะที่เป็ศิษย์สายนอก ข้ารู้สึกอับอายเสียจริง หรือว่านิกายหยุนไห่จะไร้ที่พึ่ง?”
นิกายหยุนไห่ไร้ที่พึ่ง!
เสียงดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างใ หลินเฟิงดูิ่เหวินเริ่นเหยียน แล้วตัวเขาเองล่ะ? พูดจาโผงผางว่านิกายหยุนไห่ไร้ที่พึ่ง นี่เป็การกระทำที่บ้าบิ่นสิ้นดี
“บังอาจ เ้ามันก็แค่ศิษย์สายนอกกล้าดูิ่นิกาย รนหาที่ตายเสียจริง!” ผู้าุโสายนอกที่อยู่บนอัฒจันทร์กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว คนคนนี้คือหลู่หยวนที่ไม่ยอมมอบป้ายประจำตัวศิษย์สายในแก่หลินเฟิง
“เพราะนิกายมีคนประเภทนี้อยู่มาก ถึงได้ตกต่ำลงทุกวัน”
หลินเฟิงมองไปที่หลู่หยวนอย่างเ็า และกล่าวอย่างดูิ่ว่า “ศิษย์สายนอกแล้วอย่างไร??? ศิษย์สายในมันแข็งแกร่งมากนักเหรอ?”
“พวกเ้าทั้งห้าคนทระนงตัวว่าตัวเองแข็งแกร่ง จึงสังหารศิษย์ร่วมนิกายอย่างโเี้ คงไม่เคยนึกถึงว่าหากตัวเองไปพบกับคนที่แข็งแกร่งกว่า ชะตากรรมของพวกเ้าจะเป็เช่นไร?”
หลินเฟิงจ้องมองไปที่ศิษย์สายในทั้งห้าคนที่เพิ่งสังหารผู้ท้าชิงทั้งห้าไป และกล่าวอย่างเย็นว่า “ถึงแม้ว่าท่านประมุขจะมีกฎไม่อนุญาตให้ขอท้าประลองกับศิษย์สายในที่ต่อสู้ไปแล้ว แต่ข้าคิดว่าถ้าหากข้าขอท้าทายพวกเ้าทั้งห้าคนพร้อมกัน ก็คงไม่มีใครสามารถกล่าวหาได้ว่าข้าเอาเปรียบ ท่านประมุขต้องยอมรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน”
เมื่อหลินเฟิงพูดจบ สายตาของทุกคนพลันตื่นใ หลินเฟิง้าท้าทายศิษย์สายในที่มีชื่ออยู่บนผนังจัดอันดับถึง 5 คน?
บ้าไปแล้ว! หลินเฟิงต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ!
แม้ว่าหลินเฟิงจะมีเคล็ดวิชาและทักษะที่ยอดเยี่ยมในการต่อสู้ แต่นี่เป็ถึงผู้มียุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ตั้ง 5 คน เกรงว่าแค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถคร่าชีวิตของหลินเฟิงได้
แต่หลินเฟิงก็ยังได้ท้าทายทั้งห้าคน ถ้าไม่ใช่เสียสติแล้วมันคืออะไรล่ะ?
แม้แต่หานหมานยังอ้าปากค้างด้วยความใ เ้าเด็กนี่…
หลิ่วเฟยประหลาดใจอยู่ท่ามกลางฝูงชน ดวงตาที่สวยงามของนางได้มองไปที่หลินเฟิง นางคิดว่าแม้หลินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่มันก็แค่ด้านพร์เท่านั้น ดังนั้นนางจึงคิดว่าเพียงให้เวลาหลินเฟิงสักหน่อย เขาก็จะกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งและมีชื่ออยู่บนผนังหินจัดอันดับ แต่ตอนนี้เขาได้ท้าทายเหล่าศิษย์ที่มีชื่ออยู่บนผนังหิน นี่มันไม่เกินตัวไปหน่อยเหรอ
หลินเฟิงได้สร้างความประหลาดใจแก่หลิ่วเฟยเป็อย่างมาก เ้าบ้านี่้าท้าทายผู้แข็งแกร่งทั้งห้าคนที่มีชื่ออยู่บนผนังหิน? หรือเขาไม่รู้ว่าคนที่มีรายชื่ออยู่บนผนังหิน แข็งแกร่งขนาดไหน?
“เ้าบ้า” หลิ่วเฟยด่าอยู่ในใจเพราะนางเป็ห่วงหลินเฟิง การที่หลินเฟิงดูถูกศิษย์เหล่านี้ พวกเขาต้องไม่ปล่อยหลินเฟิงไปอย่างแน่นอน
แม้แต่หนานกงหลิงเองก็คิดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะท้าทายศิษย์สายในที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ถึงห้าคน ถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นล่ะ?
นอกจากนี้หลินเฟิงได้กลายเป็ศิษย์สายในแล้ว แต่ทำไมถึงยังเรียกว่าศิษย์สายนอกอยู่อีก?
“ห้าคน มันมากเกินไปแล้ว เ้าท้าทายคนเดียวก่อนเถิด”
หนานกงหลิงไม่อยากให้หลินเฟิงเสี่ยงอันตรายเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นหลินเฟิงยังเป็คนสำคัญของสองผู้พิทักษ์ หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เขากับสองผู้พิทักษ์คงเข้าหน้ากันไม่ติดแน่ๆ
“ไม่จำเป็ ให้ 5 คนนั้นขึ้นมาพร้อมกันเถอะ”
ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะไม่ซาบซึ้งในพระคุณของหนานกงหลิง เขาพูดตอบกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“หากเ้า้าที่จะตาย ข้าก็จะสงเคราะห์เ้าเอง”
1 ใน 5 คนนั้นหัวเราะออกมา หลินเฟิงได้ท้าทายพวกเขาทั้งห้าคน ช่างไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ
“ไสหัวขึ้นไป ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันแม้แต่วินาทีเดียว”
เหวินเริ่นเหยียนพูดแทรกขึ้นมาทันควัน หลินเฟิงด่าเขาต่อหน้าทุกคนว่า เขาไม่มีมนุษยธรรม ขาดศีลธรรม และไร้ซึ่งสติปัญญา มิหนำซ้ำยังกล่าวหาว่าเขาจะทรยศนิกายเป็คนแรก ทำให้เหวินเริ่นเหยียนเคียดแค้นหลินเฟิงเข้ากระดูกดำ
สายตาของทั้งห้าคนพลันแข็งกร้าวขึ้นมา ถึงแม้ว่าพวกเขา้าสังหารหลินเฟิงด้วยตัวเอง แต่คำพูดของเหวินเริ่นเหยียนนั้นพวกเขาต่างไม่กล้าขัดขืน แม้ว่าจะเป็คำพูดที่ไม่รื่นหูเอาเสียเลยก็ตาม
ทั้งห้าคนได้ขึ้นไปยังใจกลางลานประลองเป็ตาย ทันใดนั้นลมปราณที่แข็งแกร่งของทั้งห้าได้พุ่งเข้าไปกดทับร่างของหลินเฟิงทันที
“จำไว้ คนที่ฆ่าเ้ามีนามว่า เยว่หยาง”
ทันใดนั้นเปลวเพลิงอันทรงพลังได้ลุกโชนขึ้นมาบนฝ่ามือ เปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างบ้าคลั่งได้ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ออกมา ราวกับว่ากำลังเผาไหม้อากาศอยู่
คนคนนั้นสะบัดฝ่ามือเปลวเพลิงออกไปโจมตีทันที ในเวลาเดียวกันอีกสี่คนที่เหลือต่างก็ลงมือโจมตีหลินเฟิงเช่นกัน ทั้งห้าคนต่างอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบออกมา แต่แรงกดดันของพวกเขาก็แข็งแกร่งมาก แม้กระทั่งผู้ที่อยู่รอบๆ ลานประลองเป็ตายก็ััได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่งนี้
ส่วนหลินเฟิงที่ถูกรุมโจมตีด้วยพลังที่แข็งแกร่งทุกประเภท เกรงว่าคงหายใจไม่ออกแน่ๆ
ทันใดนั้นหลินเฟิงได้ปลดปล่อยลมปราณออกมาพร้อมกับปราณฝ่ามืออันทรงพลังที่ปรากฏขึ้น เคล็ดวิชาแปดฝ่ามือพิฆาตได้ปกคลุมไปทั่วอากาศอย่างรวดเร็วราวกับอาชาหนุ่มที่โลดแล่นอยู่ในทุ่งหญ้า
“แปดฝ่ามือพิฆาตระดับสูงสุด สามารถถล่ม์ทลายฟ้าดิน”
ฝูงชนต่างประหลาดใจเมื่อเห็นแปดฝ่ามือพิฆาตเป็จำนวนมากปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า และพุ่งเข้าไปโจมตีพลังทุกประเภทที่ทะยานเข้ามา เสียงะเิดังสนั่นกึกก้องจนหูหนวกไปชั่วขณะ
“ตาย!” จู่ๆ เยว่หยางก็พุ่งเข้ามา ฝ่ามือเปลวเพลิงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเข้าปะทะกับแปดฝ่ามือพิฆาต เขาคาดไม่ถึงเลยว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่สิ มันก็แค่โชคดีที่ฝึกฝนแปดฝ่ามือพิฆาตถึงขั้นสูงสุดเท่านั้น หลินเฟิงไม่มีทางกำจัดพวกเขาทั้ง 5 คนได้ด้วยเคล็ดวิชานี้
“ดาบ!”
เสียงแหลมคมพลันดังขึ้นมา คลื่นดาบมหาศาลพลันทะลักออกมาประหนึ่งเขื่อนแตก ประกายแสงสว่างบนใบดาบสะท้อนไปทั่วลานประลอง ก่อนจะเกิดลำแสงหนึ่งพุ่งผ่านอากาศอย่างว่องไว
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป จนทำให้พวกเขามองไม่ทัน
เปลวเพลิงที่อยู่รอบๆ ตัวของเยว่หยางดับลงฉับพลัน สีหน้าของเขาดูตกตะลึงและแข็งทื่อ ทันใดนั้นเืก็พุ่งกระฉูดออกมาจากรอยตัดสีแดงในลำคอของเขา ทำให้ทุกคนตื่นใเป็อย่างมาก
ดาบ!
พวกเขาลืมไปแล้วว่า จุดเด่นของหลินเฟิงไม่ใช่หมัด แต่เป็ดาบต่างหาก!!!
เมื่อชักดาบออกมาจะต้องมีคนตาย
อย่างไรก็ตามแปดฝ่ามือพิฆาตของหลินเฟิงก็ทรงพลังเป็อย่างมาก อาศัยพลังของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 ก็ทำให้แปดฝ่ามือพิฆาตปลดปล่อยพลังออกมาได้ถึงขีดสุด และสามารถต้านทานพลังโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 5 คนในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ด้วยแปดฝ่ามือพิฆาตที่มีพลังอันน่าเกรงขาม ก็ทำให้เยว่หยางลืมไปว่า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลินเฟิงนั้นคือทักษะดาบ ดังนั้นราคาที่ต้องจ่ายก็คือ ชีวิต
“นั่นมัน เคล็ดวิชาชักดาบเหรอ?”
หลายคนที่รู้จักเคล็ดวิชานี้ต่างรู้สึกตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เคล็ดวิชาชักดาบเป็ที่รู้จักกันว่าเป็เคล็ดวิชาที่ไร้ประโยชน์ แต่เมื่ออยู่ในมือของหลินเฟิง กลับเป็เคล็ดวิชาชักดาบที่ทรงพลัง ความเร็วของมันราวกับความเร็วของแสง มันคือเคล็ดวิชาสังหารอย่างแท้จริง!
ดาบนั่นมันน่าทึ่ง! มันช่างน่าทึ่งเกินไปแล้ว!
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้าุโเป่ยถึงให้ความสำคัญกับเขา ไม่ว่าจะเป็พร์หรือเคล็ดวิชาล้วนแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่มีใครสามารถเทียบกับเด็กคนนี้ได้”
ตอนนี้สถานะของหลินเฟิงที่อยู่ในใจของหนานกงหลิงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 ที่สามารถใช้แปดฝ่ามือพิฆาตระดับสูงสุด และยังสามารถใช้เคล็ดวิชาชักดาบได้อย่างทรงพลัง นี่ใช่ศิษย์สายนอกที่เพิ่งกลายเป็ศิษย์สายในจริงหรือ?
