นับแต่วันที่ หลู่หานเฟิง เข้ามาตั้งรกรากในหมู่บ้านซื่ออัน ชายหนุ่มก็สามารถปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตและผู้คนในหมู่บ้านได้เป็อย่างดีแม้จะเป็คนแปลกหน้า แต่ความสงบเสงี่ยม ขยันขันแข็ง และมารยาทอ่อนน้อมของเขา กลับทำให้ชาวบ้านวางใจ และยอมรับเขาเสมือนหนึ่งในพวกเดียวกัน
เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ซ่อมแซมบ้านไม้เก่าด้วยสองมือชีวิตที่เคยมีแต่เสียงคำสั่ง เสียงะเิ และการล้มตายบัดนี้กลับกลายเป็วันเวลาที่มีเพียงเสียงไก่ขัน กลิ่นดิน และลมยามเช้าพัดผ่านยอดไม้
ชายหนุ่มผู้นี้... เคยเป็นายทหารที่โลกเดิมเคยนำทัพฝ่ากลางห่าะุ แต่วันนี้ เขาปล่อยวางอดีตแต่สิ่งหนึ่งที่ หลู่หานเฟิง ไม่เคยทอดทิ้งเลย คือ ทักษะการต่อสู้
ทุกเช้าก่อนอาทิตย์ขึ้น และทุกค่ำยามหมู่บ้านหลับใหลเขาจะออกไปที่ลานหลังบ้าน ดินแข็งกรังและโคนไม้ใหญ่กลายเป็สนามฝึกส่วนตัวมือเคลื่อนไหวด้วยจังหวะหนักแน่น ช้า แต่มั่นคงลมหายใจสม่ำเสมอ ผสานกับท่วงท่าอันเฉียบขาด
เขาคือทหารแม้จะเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนยุคสมัยแต่จิติญญาของนักรบ...ยังคงอยู่และเมื่อเขาได้พบกับ ตำราฝึกพลังปราณเบื้องต้น เล่มเก่าที่หลงเหลืออยู่ในบ้านแม้จะขาดรุ่งริ่งและเขียนด้วยอักขระที่แปลกใหม่สำหรับเขาแต่ด้วยไหวพริบเขาสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้ทีละน้อย
เมื่อพลังปราณ ที่หลู่หานเฟิงฝึกฝนเริ่มผสานเข้ากับทักษะการต่อสู้จากโลกเดิมของเขาสิ่งที่เกิดขึ้น… คือความสามารถที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าทึ่งทุกจังหวะการเคลื่อนไหวของเขา แม้ดูเรียบง่าย แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความแม่นยำ รวดเร็ว และทรงพลังเมื่อพลังภายในถูกควบคุมอย่างเป็ระบบกระบวนท่าของเขากลายเป็สิ่งที่ยากจะมองตามทัน
วันหนึ่ง ขณะที่เขาฝึกท่วงท่าตามปกติในลานหลังบ้านเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
"ท่านพี่หลู่หานเฟิง… ท่านเป็ผู้ฝึกปราณอย่างงั้นหรือ?"
ชายหนุ่มในหมู่บ้านคนหนึ่งเอ่ยถาม เขามีรูปร่างบึกบึนแต่ท่าทางยังซื่อ ๆ ในหมู่บ้านเล็กแห่งนี้ คนหนุ่มส่วนใหญ่สนใจแต่การเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์หลู่หานเฟิงหันมามอง ยิ้มเล็กน้อยในแบบถ่อมตน
"ข้าพอรู้บ้างเล็กน้อย ฝึกไว้… เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น" แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับยิ่งสนใจมากขึ้น ดวงตาลุกวาว
"งั้น… ขอข้าประลองกับท่านได้หรือไม่!" เขาพูดอย่างกระตือรือร้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลองหลู่หานเฟิงมองเขานิ่ง ๆ ไม่ตอบทันทีแต่สุดท้ายก็พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อทั้งสองประจันหน้า ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านไม่กี่คนที่ยืนมุงดูด้วยความสงสัยเสียงฝีเท้าดังขึ้นสองสามก้าว... ก่อนที่ชายหนุ่มจะล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็วโดยแทบไม่ทันเห็นว่าถูกโจมตีเมื่อใด
หลู่หานเฟิงยั้งมือไว้แล้ว เขาไม่คิดทำร้ายเพื่อนร่วมหมู่บ้านแต่กระนั้น… ผลลัพธ์ก็ชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธ
ชายหนุ่มลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นออกจากเสื้อ แล้วมองหลู่หานเฟิงด้วยสายตาเปี่ยมความเลื่อมใส
"ท่านเป็ยอดฝีมือจริง ๆ ขอข้าฝึกกับท่านได้หรือไม่?" หลู่หานเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆหลังจากวันนั้น หนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ ต่างเริ่มเข้ามาท้าประลองบ้าง ด้วยความอยากรู้อยากลองเหมือนกันคนแล้วคนเล่า ล้วนพ่ายแพ้ให้กับหลู่หานเฟิง
บางคนล้มด้วยฝ่ามือเดียวบางคนเพียงแค่ก้าวพลาดก็รู้ตัวทันทีว่า เขาเหนือกว่าไม่นานนัก... กลุ่มชายหนุ่มวัยแรงงานทั้งหมู่บ้านต่างก็เรียกเขาว่า พี่ใหญ่หลู่ ด้วยความนับถือจากใจจริง
ไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งที่สุดแต่เพราะเขานิ่ง สุขุม ในสายตาของทุกคนเขาเปรียบเสมือนเสาหลักของหมู่บ้านอย่างไม่เป็ทางการั้แ่นั้นมา ลานหลังบ้านของหลู่หานเฟิงก็กลายเป็สนามฝึกกลาย ๆ
เมื่อเวลาผ่านไป และผู้คนมากมายเริ่มเข้ามาขอฝึกฝนกับเขาบางคนเพราะอยากแข็งแกร่ง บางคนเพราะความศรัทธาในตัวเขาบางคน… เพียงเพราะไม่เคยมี เป้าหมายในชีวิตมาก่อน จนกระทั่งได้เห็นหลู่หานเฟิงยืนหยัดมั่นคงดุจขุนเขา
หลู่หานเฟิง ไม่ได้ตั้งใจจะเป็อาจารย์แต่เมื่อชายหนุ่มเหล่านี้พร้อมที่จะเชื่อฟังและฝึกฝนอย่างเอาจริงบางสิ่งที่เขาคิดว่าตนเองได้ทิ้งไปแล้ว... ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
จิติญญาของ “ทหาร”
เขาเริ่มฝึกพวกเขาอย่างจริงจังไม่ใช่เพียงแค่ท่วงท่าการต่อสู้หรือพลังปราณแต่เป็ หลักสูตร ที่เขาเคยใช้ฝึกพลทหารในโลกเดิมทุกเช้าเริ่มต้นด้วยการอบอุ่นร่างกาย สลับด้วยการวิ่งระยะไกล ฝึกวินัย และการเคลื่อนไหวเป็หมู่
เสียงะโรายงานตัว เสียงฝีเท้าพร้อมเพรียง และเสียงหายใจเหนื่อยหอบ…เริ่มกลายเป็เสียงที่คุ้นเคยในหมู่บ้านซื่ออัน
หมู่บ้านเล็กที่เคยเงียบสงบ… ค่อย ๆ กลายเป็ค่ายฝึกกลาย ๆ เขาเริ่มมองไปรอบหมู่บ้านเขามองเห็นว่า หมู่บ้านนี้ แม้สงบ แต่ก็เปราะบางวันหนึ่ง เขาเอ่ยกับชายหนุ่มกลุ่มเดิมที่เคยประลองกับเขา
“ข้า้าแรงพวกเ้า… ล้อมรั้วรอบหมู่บ้านใหม่”
ไม่มีใครถามเหตุผลเพราะในสายตาทุกคน พี่ใหญ่หลู่ คือคนที่มองการณ์ไกลที่สุดไม้ไผ่จากแนวป่าใกล้หมู่บ้านถูกโค่น ตัดแต่ง และนำมาล้อมรอบหมู่บ้านอย่างแ่าเสริมด้วยหินจากแม่น้ำ และเสาค้ำยันที่ขุดลึกลงไปในดินแม้จะไม่ถึงขั้นค่ายทหารใหญ่โตแต่มันก็เพียงพอที่จะ ทำให้คนภายนอกคิดทบทวนก่อนจะล่วงล้ำเข้ามา
แม้ หลู่หานเฟิง จะเชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิดแต่สิ่งหนึ่งที่เขาขาดไปโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ทักษะในการขี่ม้าและการยิงธนูในโลกเดิมของเขายานพาหนะคือรถถัง รถลำเลียง รถลุยทะเลทรายอาวุธคือปืนกล ปืนพก และอาวุธระยะไกลอันทันสมัยทว่าในโลกโบราณที่เขาอยู่ตอนนี้…ไม่มีเครื่องยนต์ ไม่มีปืน ไม่มีแม้แต่เข็มทิศมีเพียงม้า ธนู และแผนที่ที่วาดด้วยมือ
หลู่หานเฟิงตระหนักดีว่า หากเขาจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคงเขาจำเป็ต้องเรียนรู้ทุกสิ่งใหม่แม้จะเป็ทักษะที่ไม่เคยจับต้องมาก่อนไม่นานนัก เขาก็สามารถบังคับม้าให้เชื่อฟังฝึกควบ บังคับเลี้ยว กระทั่งควบเร็วข้ามทุ่งได้อย่างสง่างามส่วนการยิงธนู แม้จะต่างจากปืนในมือแต่หลักของ การเล็งการควบคุมลมหายใจ และ การอ่านจังหวะเพียงไม่กี่วันหลู่หานเฟิงก็สามารถ ยืนยิงธนูเข้าเป้าได้ในสามนัดแรกและเพียงไม่กี่สัปดาห์เขาก็เริ่ม ยิงธนูจากหลังม้าได้อย่างแม่นยำ
ณ ยามนี้... หลู่หานเฟิง มิได้เป็เพียงชายแปลกหน้าผู้หลงมาหากแต่กลายเป็ดั่ง เทพแห่งา ผู้ถือกำเนิดใหม่ในโลกโบราณชายผู้ฝึกฝนยุทธ์ด้วยหลักการจากโลกอนาคตผสานด้วยวินัยแห่งกองทัพ พลังปราณแห่งยุคโบราณ และสัญชาตญาณของนักรบผู้ผ่านศึกนับไม่ถ้วน
ในหมู่บ้านซื่ออันเขาคือเสาหลักในสายตาของคนรอบข้างเขาคือผู้นำอีกไม่นานชื่อของเขาจะเดินทางออกจากหุบเขา เผยแพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินเมื่อพายุแห่งาครั้งใหม่กำลังเคลื่อนตัวมาอย่างเงียบงันผู้คนจะเริ่มเอ่ยถึงชายหนึ่ง ผู้บัญชาการรบด้วยแววตาเยือกเย็นผู้ที่เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็ทหารผู้ที่ปลุกหมู่บ้านให้กลายเป็ป้อมปราการ
โชคชะตาของเขา จะเริ่มเปลี่ยนแปลงในวันที่สตรีนางหนึ่งย่างก้าวเข้ามาเพราะนางจะเป็เพียงผู้เดียว… ที่สามารถกุมหัวใจของเขาได้และเขาก็ยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อนาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้