หวังลี่ตงเดินออกไปส่งบุรุษวัยกลางคน เมื่อกลับมาถึงห้องโถงก็กล่าวกับชวีหงด้วยท่าทางดีอกดีใจว่า “ภรรยาคนดี ยังเป็เ้าที่ฉลาดมากไหวพริบ ถึงกับคิดวิธีการหาเงินเช่นนี้ออกมาได้”
่ต้นฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาทั้งสองได้เงินมาจากสินสอดทองหมั้นของหวังซานนิวห้าตำลึงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อหวังซานนิวถูกขับออกจากตระกูลจึงประหยัดค่าสินเดิมของนางไปได้อีกห้าร้อยตำลึง
เื่ในครั้งนี้ได้เงินมาแล้วหนึ่งตำลึง หากทำสำเร็จจะได้อีกเจ็ดตำลึง หวังลี่ตงคิดแล้วแทบอยากจะะโโลดเต้นเลยทีเดียว
“ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ชวีหงก็รู้สึกดีใจจนใบหน้าแดงก่ำ รีบเดินออกไปนอกประตูแล้วตรงไปยังบ้านของหวังชิง ิโดยพลัน
หวังชิงิเป็พี่ชายของหวังเซี่ยจื้อ เป็บิดาของต้าจู้จื่อและหวังฮวาฮวา ่นี้หวังชิงิออกไปก่อเตียงเตากับหวังไห่จนบางคืนก็ไม่ได้กลับบ้าน
มารดา ภรรยา และบุตรชายบุตรสาวของหวังชิงิล้วนอยู่บ้านกันครบ พวกเขากินอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ชวีหงทุบประตูครั้งหนึ่งแล้วเดินเข้าไปทันที
ความสัมพันธ์ของหลิวซื่อและชวีหงนับว่าธรรมดา ก่อนหน้านี้ไปมาหาสู่กันน้อยมาก หลังเกิดเื่หวังซานนิวก็ไม่ได้ไปหากันอีก นางยืนอยู่ตรงประตูห้องโถงไม่ยอมให้ชวีหงเข้าไป และกล่าวด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ว่า “วันนี้ลมอะไรพัดมา เหตุใดจึงพาเ้ามาถึงบ้านข้าได้?”
ชวีหงรู้สึกขุ่นเคืองใจ ทว่าเพื่อเงินจึงทำได้เพียงจีบปากจีบคอบอกไปว่า “ลมจากเมืองเยี่ยนพัดข้ามาถึงนี่”
หลิวซื่อทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้กล่าวตอบ
ชวีหงแอบด่าหลิวซื่ออยู่ในใจ สุดท้ายจึงกล่าวโน้มน้าวหลิวซื่อไปตรงๆ “คนมีเงินในเมืองเยี่ยนถูกใจฝีมือก่อเตียงเตาของพี่ชิงิ เพียงแต่ไม่รู้จักเขาจึงไหว้วานให้ครอบครัวเราเป็คนกลาง นำคำพูดของเขามาบอกต่อพี่ชิงิ หากไปก่อเตียงเตาที่เมืองเยี่ยนจะได้เงินเดือนละสิบตำลึง ทั้งยังมีอาหารและที่อยู่ให้ด้วย”
หลิวซื่อกล่าวอย่างตื่นตะลึง “สิบตําลึง!?” นี่เป็เงินมหาศาลจริงๆ เพียงพอที่จะนำไปเป็สินเดิมให้หวังฮวาฮวาผู้เป็บุตรสาวและเพียงพอจะเหลือไว้ให้ต้าจู้จื่อแต่งภรรยา เพียงแต่เื่ดีๆ เช่นนี้เหตุใดฟังแล้วจึงรู้สึกไม่ถูกต้องนัก
ชวีหงรู้ว่าหลิวซื่อจะมีอาการเช่นนี้จึงเลิกคิ้วกล่าวไปว่า “ใช่แล้ว สิบตําลึง”
หลิวซื่อกล่าวอย่างทอดถอนใจ “คนรวยที่เมืองเยี่ยนนี่มีเงินมากจริงๆ”
ชวีหงเห็นหลิวซื่อยังไม่ยอมให้ตนเข้าไปพูดคุยจึงบันดาลโทสะ กล่าวด้วยน้ำเสียงชืดชาว่า “ข้าจะบอกเ้าให้ คนในตระกูลที่ก่อเตียงเตาได้มิได้มีเพียงพี่ชิงิผู้เดียว ข้าจะรอพี่ชิงิอยู่ที่บ้าน หากเขาปฏิเสธข้าจะไปหาผู้อื่น”
หลิวซื่อที่ยังคงนึกถึงเงินสิบตำลึงมองดูชวีหงเดินจากไปตาปริบๆ
มารดาของหวังชิงิเดินเข้ามา ดวงตาอันพร่าเลือนจับจ้องไปทางหลิวซื่อ กล่าวว่า “เงินสิบตำลึงที่ชวีหงกล่าวเป็มาอย่างไรกันแน่?”
หลิวซื่อนำคำพูดของชวีหงมาเล่าให้มารดาฟังอีกครั้งหนึ่ง
มารดาของหวังชิงิหรี่ตาลง คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ชวีหงผู้นี้กระทั่งบุตรสาวแท้ๆ ก็ยังไม่สนใจ จิตสำนึกพังไปหมดแล้ว คำพูดของคนเช่นนี้เก้าในสิบประโยคล้วนเป็คำเท็จ เ้าไม่ต้องเชื่อนางและไม่ต้องไปสนใจนางด้วย คิดเสียว่านางผายลมเป็พอ”
หลิวซื่อคิดว่าพรุ่งนี้จะไปยังอำเภอฉางผิง เพื่อนำเื่นี้ไปบอกต่อหวังชิงิสักหน่อย ดูว่าเขาจะมีความคิดเช่นไร แต่เมื่อได้ยินคำพูดของแม่สามีก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ทว่าเงินสิบตำลึงนั้นยั่วยวนใจมากเหลือเกินไ หากเป็เื่จริงเล่า?
ค่ำคืนนี้หลิวซื่อนึกถึงเงินสิบตำลึงจนยากที่จะข่มตานอน วันต่อมาเมื่อพบแม่สามีก็รีบกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าฝันร้าย ฝันว่าบ้านเดิมถล่ม ข้าจะกลับบ้านสักเที่ยวนะเ้าคะ”
มารดาของหวังชิงิเชื่อว่าเป็เื่จริง จึงอนุญาตให้หลิวซื่อกลับบ้านเดิม ทั้งยังให้นำของกลับไปมอบให้ญาติพี่น้องด้วย ได้แก่ ไข่ไก่สิบฟอง แป้งขาวสองชั่ง และน้ำตาลอีกครึ่งชั่ง
เมื่อก่อนครอบครัวของหวังชิงิไม่ได้มีของดีเหล่านี้ ทว่าตอนนี้หวังชิงิไปทำงานก่อเตียงเตาด้วยกันกับหวังไห่ ทำเงินให้ครอบครัวได้มากขึ้น มารดาของหวังชิงิจึงใจกว้างกับญาติพี่น้องมากขึ้น
หลิวซื่อนำของทั้งหมดตรงไปยังอำเภอฉางผิง ไปหาหวังชิงิที่กำลังก่อเตียงเตาให้บ้านหลังหนึ่งในอำเภอ
เมื่อหวังชิงิที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยดินโคลนเห็นภรรยามาหาก็รู้สึกแปลกใจ “เ้ามาหาข้าได้อย่างไร คืนนี้ข้าจะกลับบ้านอยู่แล้ว”
“ภรรยาคิดถึงเ้าจนทนไม่ไหวกระมังจึงได้มาหา” คนตระกูลหวังกล่าวหยอกล้อสามีภรรยาหวังชิงิ
หลิวซื่อลากหวังชิงิออกไปยังสถานที่ที่ไร้ซึ่งผู้คน จากนั้นจึงนำคำพูดของชวีหงมาบอกกล่าวให้ฟังรอบหนึ่งด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ จากนั้นจึงจับจ้องไปยังหวังชิงิด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “เ้าจะไปหรือไม่”
“ไม่ไป” หวังชิงิโบกมือส่ายศีรษะเป็พัลวัน ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
หลิวซื่อรู้สึกใจหายวูบ ดูท่าทางเงินตำลึงเ่าั้คงไม่ได้แล้วกระมัง “นั่นเป็เงินสิบตำลึงเชียว เหตุใดเ้าจึงไม่ไป?”
“ไม่ไป เ้าว่าทุกวันนี้ชีวิตคนหนึ่งคนมีค่าเพียงใด หากข้าไปก่อเตียงเตาที่เมืองเยี่ยนหนึ่งเดือน ก็จะได้เงินสิบตำลึงเช่นนั้นหรือ หึ... เป็ไปไม่ได้! เื่นี้จะต้องมีลับลมคมในแน่นอน ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก”
หลิวซื่อกล่าวอย่างร้อนใจ “พวกท่านกับลุงหวังมีทั้งหมดสิบเอ็ดคน ทุกคนล้วนก่อเตียงเตาได้ทั้งสิ้น หากท่านไม่ไปผู้อื่นก็ไป”
“ชวีหงโกหก ผู้ใดเชื่อคำพูดของนางผู้นั้นก็คือคนโง่” หวังชิงิดูสามีภรรยาคู่นี้ออกนานแล้ว คนประเภทนี้อยู่ให้ห่างได้เท่าใดก็ควรห่างเท่านั้น มิใช่ว่าเขากลัวอีกฝ่าย แต่ไม่อยากสนใจต่างหาก
หลิวซื่อเดินทางออกจากอำเภอไปยังบ้านเดิมของตนด้วยสีหน้าผิดหวัง
ชวีหงกล่าวโน้มน้าวหวังชิงิไม่ได้จึงไปหาบ้านอื่น ไปหามาหลายครอบครัว ใช้เวลาไปหลายวัน สุดท้ายก็มีครอบครัวหนึ่งเห็นด้วย บุรุษของครอบครัวนี้ชื่อว่า หวังฝูจื้อ เป็ญาติผู้น้องของหวังไห่
ปีนี้หวังฝูจื้ออายุสี่สิบสามแล้ว เขามีร่างกายสูงใหญ่ มือเท้าใหญ่โต กระดูกแข็งแรงราวกับวัว ทว่าเกิดมาโชคร้าย อายุไม่ถึงสามสิบปีก็เสียภรรยาไปแล้วสามคน เหลือเพียงบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคน ภรรยาคนที่สี่ซึ่งเป็คนปัจจุบันเป็แม่หม้ายที่มาแต่งงานใหม่
ภรรยาใหม่แซ่จาง ปีนี้อายุสามสิบเก้าแล้ว บุตรสองคนที่เกิดกับสามีเก่าแต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว นางแต่งให้หวังฝูจื้อก็ทำได้เพียงคล้อยตามลูกเลี้ยงเท่านั้น
เหล่าลูกเลี้ยงและสะใภ้เห็นแก่หน้าของหวังฝูจื้อ จึงพอให้ความเคารพจางซื่ออยู่บ้าง
จางซื่อไม่ได้เฉลียวฉลาดเท่าเฟิงซื่อ และมิได้มีสายตากว้างไกล กลับจิตใจคับแคบเสียด้วยซ้ำ ทว่านางมีรูปโฉมไม่เลวทั้งยังยิ้มง่าย ทำให้หวังฝูจื้อชื่นชอบ เขาจึงเชื่อฟังคำพูดของนางทั้งหมด
หวังฝูจื้อไม่ได้เห็นด้วยในเื่การแยกตัวออกจากกลุ่มก่อเตียงเตาของตระกูล เพื่อไปก่อเตียงเตาที่เมืองเยี่ยน หากคนในตระกูลทราบเื่นี้ โทษสถานเบาก็คงต้องถูกลงโทษปรับเงิน โทษสถานหนักคงถูกขับออกจากตระกูล
แต่จางซื่อกลับเห็นด้วยในเื่นี้ นางคิดว่าหวังฝูจื้อมีฝีมือในการก่อเตียงเตาแล้ว ไปอยู่ที่ใดก็ย่อมหาเงินได้ หากถูกขับไล่ออกจากตระกูลและถูกไล่ออกจากหมู่บ้านหลี่ เพราะจะไปก่อเตียงเตาที่เมืองเยี่ยน ก็นับว่าสมใจปรารถนาของนางพอดี
หวังฝูจื้อฟังคำพูดของจางซื่อจนติดเป็นิสัย ดังนั้นคราวนี้แม้ใจจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ขัดจางซื่อไม่ได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงคล้อยตาม เขาไปบอกหวังไห่ว่า จะไม่ทำงานก่อเตียงเตากับตระกูลแล้ว แต่จะไปทำงานอื่นข้างนอก
มีคนนำเื่ที่ชวีหงหลอกคนในกลุ่มก่อเตียงเตาไปบอกกับหวังไห่นานแล้ว
หวังไห่จับจ้องไปยังหวังฝูจื้อ กล่าวด้วยท่าทีเ็าว่า “เ้าหลอกลวงให้มันน้อยหน่อยเถิด ข้ารู้แล้วว่าเ้าจะแยกไปทำคนเดียว”
“ใช่ ข้าอยากหาเงินให้มากหน่อย”
“ระยะนี้เ้าก่อเตียงเตาหาเงินได้ไม่น้อยแล้ว อีกอย่างหากทำเช่นนี้แล้วเ้าไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมหรือ”
“ทำคนเดียวจะหาเงินได้มากกว่า”
“เ้าลืมคำสาบานที่พวกเรามีให้บ้านหลี่ไปแล้วหรือ ไม่กลัวกรรมตามสนองหรือไร? หึ... เ้ายังไม่ได้รับคำอนุญาตจากบ้านหลี่และยังไม่ได้รับคำอนุญาตจากตระกูลของพวกเรา แต่คิดจะนำทักษะการก่อเตียงเตาไปทำงานส่วนตัว เช่นนั้นต่อไปอย่ามาเรียกข้าว่าพี่อีก หากครอบครัวเ้ามีเื่อะไรก็อย่ามาที่ตระกูลเราอีก!” หวังไห่ไม่ได้พูดดีด้วยแม้เพียงประโยคเดียว
“โชคชะตาของข้าเป็ของภรรยา ภรรยาสามคนก่อนหน้านี้ตายไปหมดแล้ว มีเพียงภรรยาคนนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ดี” หวังฝูจื้อยังคงเลือกที่จะเชื่อฟังคำพูดของจางซื่อ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้