หน้าหนาวที่หนาวเหน็บในเดือนสิบสองของปีจันทรคติจีน เขตหมู่บ้านเล็กๆ ในูเาท่ามกลางลมหนาวและหิมะลอยล่องต้อนรับการมาเยือนของวันส่งท้ายปี
สองสามวันนี้บรรยากาศของครอบครัวสกุลหูมีความสุขสันต์และงานยุ่งนัก
เมนูพะโล้ที่ทำไว้ในบ้านมอบให้คนอื่นไปหมดแล้ว สองบ้านปรึกษาหารือกัน จึงตัดสินใจว่าจะซื้อหมูหนึ่งตัวมาอีกครั้งแล้วเชือดทำการตุ๋นพะโล้ แล้วนำไปมอบเป็ของขวัญส่งท้ายปีให้ญาติๆ ใน่ฉลองปีใหม่นี้
เวลานี้การเงินของสกุลหูเปลี่ยนไปดีขึ้นอย่างมาก สองครอบครัวไม่ต้องวิ่งเต้นทำงานหนักอย่างแต่ก่อนเพื่อหาเลี้ยงชีพ ความมั่นคงปลอดภัยและความสุขภายในใจล้วนแสดงออกมาบนใบหน้า การแสดงออกอย่างมากที่สุดในตอนนี้ของทุกคนคือรอยยิ้มที่ปิดบังไว้ไม่มิด
วันนี้ทั้งครอบครัวมีงานยุ่งตลอดั้แ่ตื่นนอนตอนเช้า
เชือดไก่ ชำแหละปลา นึ่งเหนียนเกา ห่อเกี๊ยว… ของกินมากมายจัดวางอยู่ทั่วทุกมุมภายในห้องครัว ทุกอย่างล้วนหอมกรุ่นอัดแน่นไปทั่วห้อง เป็ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสภาพห้องครัวที่เก่าทรุดโทรมเล็กน้อย
หูฉางกุ้ยพาผิงอันกลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเก่า เลยถือโอกาสเอากลอนคู่ที่หลัวจิ่งเขียนเสร็จแล้วไปติดขึ้นด้วย ส่วนเจินจูพาหลัวจิ่งออกมาติดกลอนคู่กับกระดาษตกแต่งหน้าต่างที่หน้าบ้านของตนเอง
ร่างกลมดิกของเสี่ยวหวงเอาแต่วิ่งไปวิ่งมาล้อมรอบสองคน เห่า “บ๊อกๆ” อยู่เป็พักๆ
“ทั้ง… ตระกูล์… ประทานพรสุขสงบ อืม… คน... อะไรต้อนรับทรัพย์สินเงินทองมากมายในฤดูใบไม้ผลิ?” นางพยายามอ่านอย่างตะกุกตะกัก พร้อมกับสังเกตน้ำหนักในการเขียนที่มั่นคงลายเส้นราบรื่น พอมองก็รู้ว่าเคยฝึกฝนมาอย่างโชกโชน อายุน้อยแค่นี้แต่มีลายเส้นลื่นไหลดังใจเช่นนี้ได้ ต้องผ่านการฝึกฝนนานปีเหนื่อยเดือนอย่างแน่นอน ถึงสามารถเขียนได้ดังเมฆลอยน้ำไหล [1] เช่นนี้
เจินจูมองไปทางเด็กหนุ่มร่างสูงที่อยู่ข้างๆ เขามีใบหน้าสง่างาม ดวงตาดูล้ำลึกสงบนิ่งไม่เข้ากับอายุของเขาเลย
“…คนสมัยโบราณก็เป็คนสมัยโบราณล่ะนะ อายุน้อยแต่ใช้ชีวิตเช่นผู้เฒ่าผู้แก่ มิน่าเล่าที่ตัวอักษรจะเขียนได้ดีเพียงนี้” เจินจูวิจารณ์อยู่ในใจ
“์ประทานพรสุขสงบแก่ทั้งตระกูล คนในครอบครัวต้อนรับทรัพย์สินเงินทองมากมายในฤดูใบไม้ผลิ” ในเสียงใสไพเราะของหลัวจิ่งมีความแหบแห้งอยู่ด้วย เป็ลักษณะของเด็กผู้ชายใน่ที่เสียงเปลี่ยน
“โอ้…” เจินจูเพ่งมองเขาแวบหนึ่งอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ถามหนึ่งประโยคขึ้น “ยู่เซิง เ้าอายุเท่าไรหรือ?”
“…สิบสาม” หลัวจิ่งมองไปทางนางแล้วตอบอย่างราบเรียบ
“เอ๋? …เ้าสิบสามแล้ว? …ไม่เหมือนเลย?” เจินจูจ้องตาโต พิจารณาเขาจากบนลงล่าง รูปร่างผอมเล็กเช่นนี้ นางคิดมาตลอดว่าอายุมากสุดก็น่าจะสิบเอ็ดไม่ก็สิบสอง คิดไม่ถึงเลยว่าจะอายุสิบสามแล้ว มิน่าเล่าที่เสียงจะเริ่มเปลี่ยน
“…” หลัวจิ่งอ้าปาก ทันทีหลังจากนั้นก็เม้มไว้ ในใจหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อก่อนเขาเลือกอาหารไม่ชอบทานข้าว ร่างกายจึงไม่ค่อยสูงมาตลอด มารดาก็เคยหยอกล้อเขา บอกว่าต่อไปเขาจะสูงได้เพียงครึ่งหนึ่งของพี่ชายใหญ่ เพราะเช่นนั้นเขาเลยพนันกับมารดาตนเองอยู่หลายวัน
หลัวจิ่งหยุดไปพักหนึ่ง หยิบกระดาษตกแต่งหน้าต่างขึ้นมาทำงานต่อโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
“ฮ่าๆ” เจินจูเห็นสีหน้าความขุ่นเคืองของเขาอยู่ในสายตา อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลัวจิ่งเอียงกายกลับมามองนางแวบหนึ่ง
เจินจูเลยฉีกยิ้มกว้างส่งไป
“…”
หางตาหลัวจิ่งกระตุก และหมุนกายละความสนใจ
ในห้องครัว หลี่ซื่อกำลังเตรียมของเพื่อคืนส่งท้ายปี
ในหม้อมีน้ำมันหมูมันวาวกำลังร้อน ปลาตะเพียนตัวใหญ่ที่จัดการชำแหละแล้ววางอยู่ข้างแท่นเตา หลี่ซื่อดูความร้อนของไฟให้ดี แล้วหนึ่งเสียงของปลาก็ลงหม้อเสียงดัง “ฉ่าๆๆ”
“ท่านแม่ กลอนคู่กับกระดาษตกแต่งหน้าต่างติดเสร็จแล้วเ้าค่ะ!” เจินจูยิ้มแล้วเดินเข้าห้องครัว “ตอนนี้ยังมีอะไรต้องทำอีกหรือไม่เ้าคะ?”
หลี่ซื่อเงยหน้ายิ้มไปทางบุตรสาว ในมือพลิกปลาในหม้อไปด้วยอย่างคล่องแคล่ว
“อืม ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว น้ำร้อนในหม้อนั้นก็ต้มเสร็จหมดแล้ว เ้าช่วยใส่น้ำร้อนให้ยู่เซิงที ให้เขาอาบน้ำสระผมก่อน เขาอาบเสร็จแล้วก็ถึงตาเ้าอาบ อีกเดี๋ยวท่านพ่อของเ้ากับผิงอันกลับมาจะได้ไม่ต้องรออาบต่อกัน”
“อื้ม ทราบแล้วเ้าค่ะ…” เจินจูขานรับ ไม่มากความใช้กระบวยตักน้ำให้เรียบร้อย ดึงถังไม้ออกมาและเดินไปทางห้องอาบน้ำด้านหลังห้องครัว
“เจินจู เสื้อผ้าสีน้ำเงินทะเลสาบชุดนั้น เป็ชุดที่ท่านย่าเ้าทำขึ้นใหม่ให้ยู่เซิง เ้าช่วยหยิบออกมาให้เขาที วันนี้ทุกคนอาบน้ำเสร็จล้วนต้องสวมเสื้อผ้าใหม่” เสียงแหบของหลี่ซื่อมีความสุขอยู่ข้างใน
“เ้าค่ะ เข้าใจแล้ว…”
เปลี่ยนน้ำร้อนเสร็จ เจินจูก็ตะเบ็งหนึ่งเสียงไปทางห้องเล็กๆ ของหลัวจิ่ง “ยู่เซิง ออกมาอาบน้ำได้แล้ว!”
กล่าวจบไม่ได้รอให้เขาตอบกลับ ก็วิ่งไปในห้องหยิบเสื้อผ้าใหม่ออกมาให้เขา
หลังจากที่สภาพการเงินของครอบครัวสกุลหูได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น หวังซื่อกับหลี่ซื่อก็ไม่เคยหยุดงานเย็บปักถักร้อยในมือเลย พอมีเวลาก็เย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้คนในบ้านอยู่ตลอด
เจินจูเพียงคนเดียวก็ทำเสื้อผ้าชุดใหม่ไปแล้วสี่ชุด นี่ยังไม่ได้นับรวบชุดข้างในด้วยเลย
หวังซื่อตัดเย็บเสื้อผ้าตัวใหม่สองชุดให้หลัวจิ่งอีกด้วย เสื้อคลุมชายยาวสีน้ำเงินทะเลสาบชุดนั้นจึงเป็ชุดที่เตรียมให้เขาสวมฉลองปีใหม่
“นี่ อีกเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จเ้าก็สวมเสื้อผ้าชุดนี้” นางยื่นเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมส่งไปให้เขา “จ้าวเจี่ยวกับป้าหอมวางไว้หลังประตูทั้งหมดแล้ว”
หลัวจิ่งรับเสื้อผ้ามาเงียบๆ เสื้อคลุมชายยาวตัวหนาสีน้ำเงินทะเลสาบ วัสดุผ้าฝ้ายธรรมดาอย่างมาก ไม่ได้โอ่อ่าและก็ไม่ได้สะดุดตา มีเพียงลวดลายเมฆปักอย่างประณีตอยู่บนคอเสื้อและแขนเสื้อ แต่หลัวจิ่งกลับรู้สึกหนักหน่วงเล็กน้อยเมื่อถืออยู่ในมือทั้งสองข้าง
“ขอบคุณ…”
เจินจูยิ้ม โบกไม้โบกมือใส่เขา ”รีบไปอาบน้ำเถิด อีกสักพักน้ำจะเย็นเอานะ!”
หลัวจิ่งมองนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงหมุนกายแล้วเดินเนิบช้าเข้าไป
...รอจนเจินจูชำระล้างตนเองให้สะอาดทั้งภายในและภายนอกอย่างทั่วถึง เวลาก็จวนจะพลบค่ำแล้ว
พอออกจากห้องอาบน้ำ หลี่ซื่อที่รออยู่ข้างนอกก็รีบเดินเข้ามา
“เ้าเด็กคนนี้ แค่อาบน้ำอะไรนานเพียงนี้ น้ำเย็นจะเป็หวัดเอาได้!” หลี่ซื่อมองนางแวบหนึ่งด้วยความขุ่นเคือง หยิบผ้าแล้วช่วยบิดผมชื้นของเจินจูให้แห้ง
“แหะๆ มิใช่ว่าอาบให้ตัวเองสะอาดหมดจดจึงจะฉลองปีใหม่ได้ดีหรือเ้าคะ!” เจินจูกล่าวอย่างขบขัน
“เ้านี่นะ ช้าเกินไปแล้ว ท่านพ่อของเ้ากับผิงอันกลับมากันหมดแล้ว” หลี่ซื่อเพิ่มความเร็วการกระทำในมือ “พ่อเ้า เ้าช่วยใส่น้ำให้ผิงอันที ให้เขารีบอาบน้ำ อีกเดี๋ยวฟ้าจะมืดแล้ว”
“ได้…” หูฉางกุ้ยตอบ แล้วยุ่งอยู่กับงานขึ้นทันทีด้วยท่าทางว่องไว
เจินจูแลบลิ้นด้วยความเขินอาย เวลาที่นางอาบน้ำสระผมนานไปหน่อยจริงๆ
รอจนผิงอันอาบน้ำเสร็จ สีท้องฟ้าก็ใกล้พระอาทิตย์ตกดินพอดี เสียงประทัดยามค่ำคืนก่อนมื้ออาหารค่ำส่งท้ายปีเก่าในหมู่บ้านก็ดังต่อเนื่องกันเป็ระลอกๆ
ผิงอันเช็ดผมลวกๆ ด้วยความร้อนใจ พร้อมกับส่งเสียงเอะอะโวยวายว่าอยากจุดประทัด
หลี่ซื่อมองสีท้องฟ้าบอกเวลาค่ำ มื้ออาหารสำหรับข้ามคืนต้อนรับปีใหม่ล้วนเตรียมพร้อมพอดี “ได้ ให้ท่านพ่อของเ้าไปจุดเป็เพื่อน”
“โอ้ จุดประทัดกัน พี่ชายยู่เซิงไปจุดประทัดกัน รีบตามมาเร็ว” ผิงอันะโขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ดึงหลัวจิ่งที่เงียบสงบอยู่ด้านข้างออกไปข้างนอก
“บ๊อกๆ” ร่างกลมดิกของเสี่ยวหวงวิ่งตามผิงอันไปอย่างคึกคัก เสี่ยวเฮยเพียงยืนอยู่ข้างหน้าประตูอย่างเฉยเมยไม่ได้ขยับตัว
หูฉางกุ้ยนำประทัดล้อมรอบหน้าประตูหนึ่งรอบ ให้ผิงอันพาเสี่ยวหวงออกไปเล็กน้อย แล้วใช้ธูปหอมจุดไฟประทัด
พร้อมกับเสียงประทัดดัง “ปุงปังๆๆ” ครึกครื้น มื้ออาหารข้ามคืนต้อนรับปีใหม่บนโต๊ะของครอบครัวหูก็เริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ
ปลาน้ำแดงถาดใหญ่ ไก่ตุ๋นเห็ด พะโล้ขาหมู เคาหยก กุนเชียงที่นึ่งดีแล้ว ปลาหมึกกับเนื้อตากแห้งผัดไฟแดง… จัดวางเต็มโต๊ะอาหาร
“โอ้ว เริ่มทานอาหารกัน” จุดประทัดเสร็จ ผิงอันก็วิ่งกลับมาอย่างเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ว้าว กับข้าวเยอะมาก ท่านแม่ พวกเราจะทานกันหมดหรือขอรับ?”
“ฉลองปีใหม่ต้องทานไม่ให้หมดแล้วเก็บไว้ นี่จึงจะเป็เงินทองเหลือกินเหลือใช้ตลอดปี” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“เอาล่ะ ทุกคนนั่งลงทานข้าวกันเถิด” หลี่ซื่อร้องทักด้วยรอยยิ้ม “ยู่เซิง นั่งลงทานข้าวกัน”
ทุกคนนั่งตามลำดับเรียบร้อยแล้ว ในฐานะที่หูฉางกุ้ยเป็ผู้าุโสุดในบ้าน ตามธรรมเนียมแล้วควรจะกล่าวอะไรสักเล็กน้อย แต่กลับเห็นเขากลืนน้ำลายลงไปอย่างตื่นเต้น แล้วจึงอ้าปากกล่าวตะกุกตะกัก “วัน… วันนี้เป็คืนส่งท้ายปีเก่า ทุกคน… ทานอาหารกันเยอะๆ เอ่อ… ทานให้มากหน่อย…”
ทั้งครอบครัวล้วนรู้จักนิสัยของหูฉางกุ้ย สามารถกล่าวสองสามประโยคได้อย่างราบรื่นก็นับว่าไม่เลวแล้ว จึงพากันยิ้มขึ้นมา
แม้่เวลานี้ครอบครัวหูล้วนไม่เคยขาดอาหารประเภทเนื้อเลยสักวัน แต่ส่วนใหญ่ต่างเป็เนื้อหมูกับเครื่องในหมู อาหารข้ามคืนต้อนรับปีใหม่นี้มีไก่มีปลาแล้วยังมีอาหารทะเลอย่างปลาหมึกอีกด้วย อาหารที่พบได้น้อยบนโต๊ะอาหารเช่นนี้ย่อมได้รับความชื่นชอบจากทุกคน
ผิงอันคีบปลาหมึกที่น้อยครั้งจะได้เห็นขึ้นมาตะเกียบแรก ใส่เข้าในปากหนึ่งคำ เคี้ยวอย่างละเอียดไม่กี่คำ “แจ๊บๆ” ทันใดนั้นดวงตาก็เป็ประกายทันที
“ท่านพี่ อันนี้อร่อย ท่านลองชิมดู”
“อื้ม นี่เป็ปลาหมึก เป็ของในทะเล รสชาติไม่เลวเลย เ้าทานมากหน่อย”
“อื้ม ท่านแม่ ท่านทานอันนี้ อร่อย! ท่านพ่อ ท่านก็ทานดูสิขอรับ”
“พี่ชายยู่เซิง อันนี้ให้ท่าน อร่อยมาก!”
ชีวิตหนึ่งครอบครัวผ่านการปรับปรุงให้ดีขึ้นมา่ระยะเวลาหนึ่ง ไม่ได้มีความรู้สึกว่าพอเห็นของจำพวกเนื้อแล้วสองตาเป็ประกายเช่นนั้นอีก แต่มื้ออาหารคืนข้ามปีนี้ ทุกคนทานกันอย่างเพลิดเพลินและอิ่มอกอิ่มใจ
วันส่งท้ายปีเก่าสำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว การยุ่งอยู่กับงานมาตลอดทั้งปี แล้วทั้งครอบครัวได้มาทานอาหารต้อนรับปีใหม่อย่างเอร็ดอร่อยพร้อมหน้าพร้อมตา เป็เื่ที่สำคัญมากที่สุด
ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า กราบไว้บูชาบรรพบุรุษและไปอวยพรปีใหม่เยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหาย วิธีการฉลองปีใหม่ของครอบครัวคนธรรมดาส่วนใหญ่ล้วนเป็เช่นนี้
หลังผ่านอาหารมื้อค่ำไปแล้ว เจินจูช่วยหลี่ซื่อเก็บกวาดถ้วยและตะเกียบ อาหารบนโต๊ะต่างก็เหลืออยู่มากมาย หลี่ซื่อรวมอาหารบนโต๊ะเข้าด้วยกัน อดทอดถอนใจอยู่ข้างในไม่ได้
คิดไปว่าเวลานี้ของปีที่แล้วบรรยากาศการเฉลิมฉลองไม่ดีเลย เพราะการเก็บเกี่ยวแย่ อาหารประเภทเนื้อบนโต๊ะมีแค่เชือดแม่ไก่ที่แก่แล้วหนึ่งตัว ข้าวยังต้องผสมกับธัญพืช ฉลองปีใหม่เหมือนกัน ทานอาหารมื้อค่ำส่งท้ายปีเหมือนกัน กับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของปีนี้ทำให้นางทอดถอนใจไม่หยุด
การอยู่โต้รุ่งในคืนส่งท้ายปีเก่าเป็ประเพณีของวันส่งท้ายปี ทั้งครอบครัวนั่งล้อมกันอยู่ข้างกระถางไฟ ผิงอันพูดคุยกับหลัวจิ่งเจื้อยแจ้ว แต่ดวงตากลับจ้องมองผลไม้แตงกับขนมหวานที่วางอยู่ด้านข้างเป็ระยะๆ
“ฮ่าๆ” เจินจูมองอย่างสนุกสนาน อดหัวเราะออกเสียงขึ้นมาไม่ได้ “ผิงอัน เ้าอยากทานอะไรก็ไปหยิบเองเลย อย่าเอาแต่แอบมองอยู่ได้”
“…แหะๆ ท่านพี่ ท้องข้ายังอิ่มอยู่เลย ข้าแค่มองเท่านั้น” ผิงอันยกยิ้มขึ้น
“อ่า ไปหยิบพวกเมล็ดแตงกับลูกกวาดมาทานก็ได้ พวกนั้นไม่แน่นท้อง” เจินจูหัวเราะจนดวงตาหยี “หยิบมามากหน่อย ยู่เซิง เ้าก็ทานด้วยกันสิ”
“ไม่ต้องหรอก ข้ายังอิ่มอยู่” หลัวจิ่งส่ายหน้า ลูบท้องที่ยังนูนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เขาอิ่มมากจริงๆ ตอนมื้อเย็นหลี่ซื่อคีบอาหารใส่ในถ้วยเขาไม่หยุด หลังจากนั้นก็มองเขาด้วยใบหน้ากระตือรือร้น ในขณะที่ไม่ทันได้รู้ตัวเขาก็ทานอิ่มแล้ว
“ทานหน่อยสิ ร่างกายเ้ากำลังอยู่ใน่เติบโต ทานเยอะๆ ถึงจะสูงได้” หลี่ซื่อมองเขาแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน
“…อื้ม” ชั่วพริบตาเดียวหลัวจิ่งก็ใจลอยเล็กน้อย ภาพลักษณ์ที่มีเมตตาและอ่อนโยนของหลี่ซื่อซ้อนทับเงาของมารดา คิดถึงปีนี้ที่เหล่าญาติพี่น้องที่ลาจากกันไปชั่วนิรันดร์ ทันใดนั้นั์ตาของหลัวจิ่งก็หม่นหมอง เขาหลุบเปลือกตาลง อำพรางความปวดร้าวที่เต็มอยู่ในดวงตา
เสี่ยวหวงนอนคว่ำอยู่ข้างกระถางไฟหลับอย่างสนิท พุงน้อยๆ ที่กลมดิกขึ้นลงตามลมหายใจ เสี่ยวเฮยก็พันอยู่รอบข้างขาเจินจู ทำความสะอาดเส้นขนสีดำสนิทของตัวเองและคลอเคลียเ้าของของมันอยู่บ่อยๆ
หลี่ซื่อกับเจินจูกำลังห่อเกี๊ยวอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย แผ่นเกี๊ยวกับไส้เป็หลี่ซื่อจัดการทำไว้นานแล้ว แค่ต้องห่อให้เรียบร้อยเท่านั้น
เจินจูห่อเกี๊ยวไม่เป็ คนทางใต้ไม่ได้มีความสนใจต่อเกี๊ยวมากนัก ฉลองปีใหม่ก็ไม่ทานเกี๊ยวในยามนี้นางทำได้เพียงเลียนแบบหลี่ซื่ออย่างเงอะงะ เกี๊ยวที่ห่อจึงไม่สวยงามสักเท่าไร
หูฉางกุ้ยนั่งห่างจากกระถางไฟออกไปค่อนข้างไกล เสื้อผ้าสีน้ำเงินแดงตัวใหม่เอี่ยมที่สวมอยู่บนกาย ม้วนแขนเสื้อขึ้น กำลังถักตะกร้าที่อยู่ในมือและเงยหน้าขึ้นมามองคนในครอบครัวอยู่เป็ระยะๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นบ่อยครั้งด้วยความสุขใจ
เชิงอรรถ
[1] เมฆลอยน้ำไหล หมายถึง การเขียนไหลลื่นอย่างเป็ธรรมชาติ
