หลินเฟิงหนีมาจนถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง เขารู้สึกหนาวเหน็บที่หัวใจเล็กน้อย นี่คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพ พวกเขาจะมองชีวิตคนอื่นเหมือนผักเหมือนปลา ถ้าบอกว่าฆ่าก็จะฆ่าทันที
มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้อยู่รอด
เขาไม่ได้ตั้งใจเข้าไปในช่องผา ในตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากจะเข้าไปดูข้างในแล้วกลับออกมาเท่านั้นเอง แต่หลิ่วเฟยกลับ้าจะฆ่าเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็ศิษย์ร่วมนิกายเดียวกันก็ตาม
“ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีจิติญญาแห่งลูกศรมีความสามารถในการติดตามและฆ่า พลังโจมตีก็แข็งแกร่งมาก แต่ถ้าเป็การต่อสู้ในระยะประชิด เพียงแค่กระบวนท่าเดียวข้าก็สังหารนางได้แล้ว” หลินเฟิงพอใจกระบวนท่าชักดาบที่ตัวเองใช้มาก ด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าแลบและทรงพลังดุจสายฟ้าผ่า เพียงพริบตาเดียวก็สามารถฟันลูกศรดอกนั้นขาดเป็สองท่อน แสดงให้เห็นว่าการฝึกฝนของเขานั้นไม่สูญเปล่า
ตลอดเจ็ดวันที่หลินเฟิงฝึกเคล็ดวิชาชักดาบที่หน้าผา ได้ใช้จิติญญาแห่งความมืดช่วยยกระดับความสามารถในการเข้าใจของตัวเอง เมื่อพลังิญญาของเขาหมดลง หลินเฟิงจึงเก็บจิติญญาแห่งนักรบเข้าร่าง จากนั้นก็เปลี่ยนไปฝึกเคล็ดวิชาตัวเบาเคลื่อนไหวดั่งเงาต่อ
“หลิ่วเฟย” หลินเฟิงลอบจดจำใบหน้านวลนั่น ก่อนจะนำไม้บางส่วนมากองรวมกัน จากนั้นก็ใช้ดาบอ่อนถูกับก้อนหินจนเกิดประกายไฟขึ้นมา เมื่อเปลวไฟลุกโชนขึ้น หลินเฟิงก็นำชุดที่เปียกออกมาตาก
ไม่ไกลจากที่หลินเฟิงอยู่ ได้ปรากฏเงาคนสี่คนขึ้นมา พวกเขาต่างก็เป็ศิษย์ในนิกายหยุนไห่
“มีคนอยู่ตรงนั้น พวกเราชวนเขาเดินทางไปด้วยกันเถอะ ยิ่งคนมากยิ่งแข็งแกร่งมาก” ผู้เยาว์หนึ่งในนั้นที่สวมชุดสีเขียวกล่าวขึ้น
“ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีพลังแค่ไหน?” ผู้เยาว์ที่มีร่างกายกำยำแสยะยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีคัดค้านอะไร
ทั้งสี่คนเดินไปหาหลินเฟิง เมื่อผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มเห็นหลินเฟิงกำลังเปลือยท่อนบนอยู่ ก็อดหน้าแดงด้วยความเขินอายไม่ได้ นางพูดเสียงเบาว่า “สวัสดี เ้าช่วยสวมเสื้อของเ้าก่อนได้หรือไม่?”
หลินเฟิงมองเด็กสาวคนนั้น ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้งดงามเท่าหลิ่วเฟย แต่เครื่องหน้าของนางก็สวยงามน่ารัก ผิวขาวเนียนละเอียด นับได้ว่าเป็สาวงามคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับสาวงามในโลกก่อนของเขาแล้ว หญิงสาวที่อยู่ในโลกนี้ล้วนงดงามกว่ามาก บางทีอาจจะเป็เพราะว่าพวกนางล้วนบ่มเพาะพลังก็ได้
“ได้สิ” หลินเฟิงไม่ใช่คนที่พูดยาก ตรงกันข้ามด้วยชีวิตที่ลำบากมาั้แ่เด็ก ทำให้เขากลายเป็คนที่เรียบง่าย และนี่เป็ข้อดีของเขา
“มีธุระอะไรกับข้า?” หลังจากสวมเสื้อผ้าเสร็จ หลินเฟิงก็หันไปถามทั้งสี่คนที่เดินมาหา
“คือแบบนี้ พวกข้ากำลังจะไปที่หุบเขาเฮยเฟิงเพื่อล่าสัตว์อสูรปีศาจ ดังนั้นจึงอยากชวนเ้าไปด้วย แกนอสูรที่ได้มาจะแบ่งกันอย่างเท่าเทียม ไม่รู้ว่าเ้าสนใจจะเข้าร่วมไหม?” เด็กหนุ่มในชุดสีเขียวอธิบาย
‘หุบเขาเฮยเฟิง’ ก็คือป่าอสูรที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของูเาหยุนไห่ มันมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ศิษย์บางคนยังคิดว่าหุบเขาเฮยเฟิงใหญ่กว่าูเาหยุนไห่เสียอีก หลังจากที่นิกายหยุนไห่เลือกก่อตั้งนิกายทีู่เาหยุนไห่ พวกเขาก็เพิ่งจะทราบว่าในหุบเขาเฮยเฟิงมีป่าอสูรอยู่ด้วย ความจริงแล้วป่าอสูรก็เป็สถานที่ที่เหมาะสำหรับการขัดเกลาพลังของผู้ฝึกยุทธ์ นอกจากนี้พวกเขาสามารถนำหนังหรือแกนอสูรที่ได้จากการสังหารสัตว์อสูรปีศาจมาแลกเปลี่ยนเป็สิ่งของที่มีประโยชน์สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ได้
“ดี ข้าเห็นด้วย” แทบจะไม่ต้องคิด หลินเฟิงตอบกลับทันที ตัวเขาเองก็อยากจะไปดูหุบเขาที่ว่า
“เยี่ยม แบบนี้พวกเราก็มีกัน 5 คนแล้ว ถ้าไม่บังเอิญไปเจอสัตว์อสูรปีศาจระดับ 9 ก็ไม่มีปัญหาอะไร” เมื่อหญิงสาวเห็นหลินเฟิงตอบตกลงก็ดีใจขึ้นมา ในบรรดาพวกเขาทั้งสี่คนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือเด็กหนุ่มในชุดสีขาวที่ไม่ค่อยชอบพูด ซึ่งเด็กหนุ่มคนนี้ได้บรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 และอีกสามคนที่เหลืออยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 ส่วนหลินเฟิงก็เป็ศิษย์ในนิกายหยุนไห่เหมือนกันและยังอายุเท่ากันอีก ดังนั้นเขาก็น่าจะอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 หรือไม่ก็ขั้นที่ 6
โดยปกติแล้วสัตว์อสูรปีศาจจะแบ่งออกเป็ 9 ระดับ ซึ่งเทียบเท่าได้กับขอบเขตนักรบลมปราณทั้ง 9 ดังนั้นถ้าไม่บังเอิญไปเจอสัตว์อสูรปีศาจระดับ 9 หรือสัตว์อสูรปีศาจขั้นจิติญญาที่ทรงพลัง ก็จะไม่ตกอยู่ในอันตราย
“น้องชาย ข้ามีนามว่า ชิงอี นี่คือศิษย์พี่หานหมาน ศิษย์น้องจิ้งหยุน และจิ่งเฟิงผู้แข็งแกร่ง” เด็กหนุ่มในชุดสีเขียวแนะนำกลุ่มของตัวเองให้หลินเฟิงรู้จัก
หานหมานที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำและจิ้งหยุนส่งยิ้มให้หลินเฟิงเล็กน้อย ส่วนเด็กหนุ่มในชุดสีขาวกลับทำสีหน้าหยิ่งผยอง แสดงท่าทางไม่แยแสหลินเฟิง
“ข้ามีนามว่าหลินเฟิง” หลินเฟิงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ไอ้ขยะหลินเฟิง” นี่คือคำแรกที่จิ่งเฟิงกล่าวออกมา ก่อนจะแสยะยิ้มดูถูกไปให้หลินเฟิงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องจิ้งหยุน ดูเหมือนว่าพวกเราจะเสียเวลาเปล่า ถ้าพามันไปด้วยจะกลายเป็ภาระเสียเปล่าๆ”
สามคนที่เหลือก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหลินเฟิงมาก่อน ถึงแม้ว่าศิษย์สายนอกส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นหน้าของหลินเฟิง แต่พวกเขาก็รู้จักชื่อของหลินเฟิง
หลินเฟิงขมวดคิ้ว ส่วนอีกสามคนก็รู้สึกอึดอัดและวางตัวไม่ถูก
“ศิษย์น้องหลินเฟิง จิ่งเฟิงเป็คนที่มีพร์สูง เขาบรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 เลยอาจจะเย่อหยิ่งไปบ้าง ดังนั้นไม่ต้องไปใส่ใจ คิดเสียว่าไม่เคยได้ยินอะไรก็แล้วกัน ในเมื่อรู้จักกันแล้วก็แสดงว่ามีชะตาต้องกัน” เด็กหนุ่มร่างกำยำที่ชื่อหานหมานกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง” ทั้งชิงอีและจิ้งหยุนต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดเ่าั้ ส่วนจิ่งเฟิงกลับร้อง หึ! ออกมาอย่างเ็า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก
หลินเฟิงเห็นสายตาที่จริงใจของคนทั้งสาม ก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธที่จะร่วมเดินทางไปด้วยกัน ทั้งห้าคนเดินข้ามูเาไม่กี่ลูก ก็มาถึงหุบเขาเฮยเฟิง
“หลินเฟิง หุบเขาเฮยเฟิงมีพื้นที่กว้างขวางมาก เกรงว่าคงมีแค่ผู้าุโและศิษย์หลักของนิกายเท่านั้นที่รู้ว่ามันกว้างใหญ่ขนาดไหน พวกเราอยู่ได้แค่บริเวณรอบนอก ไม่สามารถเข้าไปลึกกว่านี้ได้ นั่นก็เป็เพราะพวกเราอ่อนแอเกินไป ดังนั้นเ้าอย่าอยู่ห่างจากกลุ่มของพวกเราเชียวนะ” หานหมานเตือนด้วยความหวังดี
หลินเฟิงพยักหน้า ตลอดเวลาที่เดินทางมาด้วยกัน ทำให้เขารู้ว่าหานหมานมีนิสัยตรงไปตรงมา ดังนั้นประโยคที่อีกฝ่ายพูดจึงไม่ได้มีความหมายเสียดสีแต่อย่างใด
ลักษณะภูมิประเทศของหุบเขาเฮยเฟิงค่อนข้างซับซ้อน เต็มไปพันธุ์ไม้ที่มีหนามแหลมคม ต้นไม้และพืชพรรณล้วนอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การหลบซ่อนตัว ที่นี่เป็สรวง์สำหรับสัตว์อสูรก็ว่าได้
“นั่นหมาป่าวายุระดับ 5 นี่ รีบจับมันเร็วเข้า” ทันใดนั้นเองหานหมานก็ะโขึ้นมา เมื่อเห็นสายตาที่เ็าจ้องมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป
เมื่อชิงอีก้าวเท้าออกไป ก็มีดาบยาวปรากฏขึ้นมาที่ด้านหลัง ดาบเล่มนั้นมีสีเหมือนพระจันทร์ แลดูคล้ายปรอทสีเงินที่กำลังเทลงมาที่พื้น
“สวบ!” ดาบยาวที่อยู่ในมือของชิงอีแทงเข้าไปในหัวของหมาป่าวายุ เพียงแค่ดาบเดียวก็สามารถปลิดชีพหมาป่าวายุระดับ 5 ได้อย่างง่ายดาย
“เคล็ดวิชาดาบแห่งสายลมสามารถจัดการกับหมาป่าวายุได้จริงๆ ด้วย” หานหมานหัวเราะอย่างสะใจ ก่อนจะเข้าไปช่วยชิงอีเก็บซากของสัตว์อสูรปีศาจ “นี่มันสัตว์อสูรปีศาจระดับ 5 เชียวนะ”
“ก็แค่สัตว์อสูรปีศาจระดับ 5 เท่านั้นเอง” จิ่งเฟิงกล่าวออกมาอย่างดูแคลนนิดๆ
หลินเฟิงส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ถึงแม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 จะโดดเด่นกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป แต่ก็ไม่ถือว่าเป็อัจฉริยะ ไอ้ท่าทางอวดดีและมองไม่เห็นหัวใครแบบนี้ คงประสบความสำเร็จได้ยาก
พวกเขาเก็บเกี่ยวแกนอสูรตลอดการเดินทาง และสัตว์อสูรปีศาจที่พวกเขาพบล้วนไม่เกินระดับ 7 ดังนั้นจึงสามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่าๆ ถุงนี่ชักจะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ น่าจะมีแกนอสูรประมาณ 30 – 40 ชิ้นแน่ๆ นับว่าการเก็บเกี่ยวที่ดี” หานหมานมีร่างกายแข็งแรงกำยำ ดังนั้นหน้าที่แบกถุงจึงตกเป็ของเขา เมื่อรับรู้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของถุง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“แต่ว่าพวกเราเดินลึกเข้ามาในหุบเขาเฮยเฟิงกว่าหมื่นเมตรแล้วนะ ถ้าเดินไปไกลกว่านี้ อาจจะเจอกับสัตว์อสูรปีศาจระดับสูงก็ได้ ต้องระวังตัวกันหน่อยแล้ว ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้รีบถอยทันที” ชิงอีกล่าวเตือน
“เข้าใจแล้ว” หานหมานตอบกลับ ทว่าสิ้นเสียงของเขาเพียงเสี้ยววินาที ดวงตาของหานหมานก็ต้องชะงักค้าง
“นั่นมัน วานรคลั่งระดับ 8 นี่” หานหมานอุทานออกมา เมื่อเห็นร่างกายอันใหญ่โตตรงหน้า
วานรคลั่งเป็สัตว์อสูรปีศาจที่โหดร้าย และขึ้นชื่อในเื่ของพละกำลัง มันสามารถฉีกเสือด้วยมือเปล่า นับได้ว่าเป็สัตว์อสูรปีศาจระดับกลางที่แข็งแกร่ง
“จิ่งเฟิง คราวนี้ต้องพึ่งเ้าแล้วล่ะ” จิ้งหยุนหันไปมองจิ่งเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ สัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 ไม่น่าจะคณนามือของเขา อีกทั้งจิ่งเฟิงก็แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอยู่แล้ว
“ฮ่าฮ่า จิ้งหยุน เ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน ที่นี่ยังมีคนที่นั่งรอรับผลประโยชน์อยู่เฉยๆ ไม่เคยออกไปสู้เลย เหอะ คิดจะกินแรงคนอื่นล่ะสิท่า” จิ่งเฟิงปรายตามองหลินเฟิงด้วยหางตา ก่อนจะกล่าวถากถางออกมา
หลินเฟิงแสยะยิ้ม เขาเนี่ยนะคิดจะกินแรงคนอื่น? ที่เขาไม่ได้ออกไปสู้ นั่นก็เป็เพราะว่าหานหมานและชิงอีชิงลงมือก่อนทุกครั้ง ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ลงมือ และถ้าพบอันตรายเข้าจริงๆ เขาก็ไม่คิดที่จะนิ่งดูดายแน่ๆ ในยามที่เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 คนคนนี้กลับไม่ลังเลที่จะผลักให้เขาออกไปสู้ ช่างชั่วช้าจริงๆ
ความจริงแล้วในสายตาของจิ่งเฟิง หลินเฟิงเป็เพียงขยะ ถ้าขยะออกไปสู้กับสัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 สิ่งที่รออยู่มีเพียงแค่ความตาย ซึ่งมันก็คู่ควรกับไอ้ขยะอย่างหลินเฟิงแล้วไม่ใช่เหรอ?
“จิ่งเฟิง นี่เ้าหมายความว่ายังไง นอกจากเ้าแล้วจะมีใครที่สามารถรับมือกับสัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 ได้ ถ้าเ้าปล่อยให้หลินเฟิงออกไปสู้ มันก็เหมือนส่งเขาไปตายไม่ใช่เหรอ?” ชิงอีได้ยินสิ่งที่จิ่งเฟิงพูดก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“ไม่ได้ทำอะไร แล้วยังคิดจะมาขอส่วนแบ่งจากพวกเราอีก มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ? หากมันตายก็ลดส่วนแบ่งไปได้ตั้งหนึ่งคน ดีจะตาย” จิ่งเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส
“จิ่งเฟิง ในเมื่อพวกเรามาด้วยกันก็ต้องกลับไปด้วยกันสิ หลินเฟิงเชื่อใจพวกเรา ถึงได้ยอมมาด้วยกันนะ” หานหมานพูดออกมาอย่างไม่สบายใจ
“หึ! ถ้าพวกเ้าอยากจะปกป้องมัน ก็ทำเองซะสิ แต่ข้าจะไม่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อขยะคนหนึ่งหรอกนะ” จิ่งเฟิงร้องหึอย่างเ็า ในขณะที่ก้าวถอยหลังออกมา และตอนนั้นเองวานรคลั่งก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขา
“ข้าจะลองดู” หลินเฟิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 เทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 เขาอยากจะลองดูว่ามันจะร้ายกาจขนาดไหน
“ไม่ได้ เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์อสูรปีศาจระดับ 8” จิ้งหยุนร้อนใจมาก “จิ่งเฟิง เ้าทำเกินไปแล้วนะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้สีหน้าของจิ่งเฟิงพลันเ็าขึ้นมา เขามองไปที่ร่างบอบบางของจิ้งหยุนด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย ถ้าหากเ้าไม่ได้เป็สาวงามล่ะก็ ข้าก็คงไม่ต้องทนอยู่กับไอ้ขยะนี่หรอก
“ข้าจะช่วยเ้าเอง” หานหมานโยนถุงลงพื้น และเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ หลินเฟิง
“นับรวมข้าอีกคน” ชิงอีก้าวเท้าตามมาติดๆ
“ข้าด้วย พวกเรามีกันตั้งสี่คนน่าจะหยุดสัตว์อสูรระดับ 8 ได้จริงไหม?” จิ้งหยุนแอบสวดภาวนาอยู่ในใจ
“ไม่รู้จักประมาณตน” จิ่งเฟิงที่อยู่ด้านหลังกล่าวเย้ยหยันออกมา วานรคลั่งดูฉุนเฉียวมากและยังดูทรงพลังอีกด้วย เกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 เพียงไม่กี่คนก็คงไม่สามารถรับมือกับมันได้
หลินเฟิงมองไปยังเหล่าคนที่ยืนเคียงข้างเขา ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ดวงตาเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเล็กน้อย
หลินเฟิงถูจมูกและกล่าวออกมาเสียงแ่เบาว่า “ไม่แน่ว่า บางทีข้าอาจจะสามารถจัดการกับสัตว์อสูรปีศาจตนนี้ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้