“เถ้าแก่ เด็กหนุ่มผู้นั้นมีที่มาอย่างไรหรือเ้าคะ? อายุของเขาดูแล้วก็ยังเด็กนัก เหตุใดถึงมีของล้ำค่ามากมายเช่นนี้ได้”
ผู้ช่วยหญิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่เคยพบพานคนผู้นี้มาก่อน ลองส่งคนไปลอบสืบข่าวดู เด็กคนนี้มีแหวนเฉียนคุนไว้ใน เกรงว่าภูมิหลังของเขาคงไม่ธรรมดา คงไม่ใช่บุคคลที่จะสามารถล่วงเกินได้”
เถ้าแก่หลี่กล่าวขณะหรี่ตาลง จากนั้นสายตาของเขาก็เหลือบมองไปทางกลุ่มคนของหวังเยว่ ก่อนที่มุมปากจะกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย
มู่เฟิงเดินตรงไปข้างหน้าขณะเอามือไพล่หลัง หางตาของเขาเหลือบมองไปยังคนทั้งสามที่ลอบติดตามเขามา เด็กหนุ่มแสยะยิ้ม จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปยังตรอกแห่งหนึ่งที่มีผู้คนผ่านทางมาไม่มากนัก
เมื่อเห็นดังนั้นกลุ่มคนทั้งสามของหวังเยว่ก็ลอบยิ้มออกมาในทันที ก่อนจะรีบเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินเข้ามายังส่วนลึกของตรอกแล้ว มู่เฟิงได้หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันกลับไปมองคนทั้งสามและพูดอย่างใจเย็นว่า “พวกเ้าสามคนตามข้ามาทำไม?”
“เฮ้ เ้าหนุ่ม นี่เ้ายังดูไม่ออกอีกรึ แม้เ้าจะมีเงินมากมาย แต่วันนี้เ้าทำให้คุณชายเช่นข้าต้องขุ่นเคือง ข้าเป็ถึงคุณชายรองตระกูลหวัง หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองอันหนาน แน่นอนว่าคนที่มันบังอาจมาล่วงเกินข้าย่อมไม่มีจุดจบที่ดี แต่หากว่าเ้ายอมส่งมอบป้ายทองของเ้าออกมา ข้าจะถือว่าเื่ในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
หวังเยว่กล่าวราวกับว่าตนนั้นเหนือกว่า
บนตัวของมู่เฟิงมีเงินมากกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญตำลึงทอง ซึ่งมูลค่าของมันก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย มันเพียงพอให้คนธรรมดาทั่วไปสามารถกินอยู่อย่างสบายไปได้ตลอดชีวิต
แม้เขาจะเป็ถึงคุณชายรองของตระกูลหวัง แต่ตัวเขาก็ไม่ได้มีเงินมากมายถึงขนาดนั้น
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อ้อ คิดจะมาชิงป้ายทองของข้า เอาละ ในเมื่อตามมาแล้ว งั้นพวกเ้าก็มารับไปสิ”
มู่เฟิงใช้หว่างนิ้วของเขาคีบป้ายทองขึ้นมา พร้อมกับแสยะยิ้ม
“นับว่าเ้ายังฉลาดเลือก ไปนำมันมาให้ข้า”
หวังเยว่เผยยิ้มอย่างยินดี เขารีบสั่งบ่าวรับใช้ให้เข้าไปรับมันอย่างรวดเร็ว
บ่าวรับใช้ในชุดคลุมสีดำผู้นี้มีวรยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้า เขายิ้มกว้างออกมา และเตรียมจะเข้าไปคว้าป้ายทองจากมือของมู่เฟิง
ั์ตาของมู่เฟิงมีประกายแสงสีแดงแวบผ่านอย่างรวดเร็ว ในเวลานั้นมือของเขาจับป้ายทองเอาไว้แน่น ก่อนจะส่งพลังปราณภายในร่างเข้าไปในแผ่นป้ายแผ่นนั้น และปัดมันไปยังมือของฝ่ายตรงข้าม
ชิ้ง!
แผ่นป้ายส่องประกายแสงสีทองแวววับ เวลานี้มันได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็ใบมีดอันคมกริบ ก่อนเฉือนลงบนฝ่ามือของบ่าวรับใช้ผู้นั้นในทันที
“อ๊าก…!”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นพลันร้องออกมาอย่างเ็ป ฝ่ามือของเขาเกือบจะหลุดขาดจากกัน นิ้วทั้งสี่ยกเว้นเพียงนิ้วหัวแม่มือล้วนถูกเฉือนจนขาดครึ่ง เืสีแดงสดไหลหยดลงบนพื้น เขากุมฝ่ามือของตัวเองเอาไว้ ขณะร้องโหยหวนออกมา
“เ้าคนบัดซบ เ้ากล้าตลบหลังข้ารึ!”
หวังเยว่คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ในขณะที่บ่าวรับใช้อีกคนก็พลันเดือดดาลขึ้นมาทันที เขาชักดาบที่ห้อยอยู่ตรงเอวออกมา ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหามู่เฟิง พร้อมกับดาบในมือที่เตรียมจะฟันออกไปเต็มแรง
“หมัดทะลวงลมปราณ!”
มู่เฟิงกระตุ้นพลังปราณออกมาจากมวลคลื่นพลังภายในร่าง โดยพลังเ่าั้ได้ไหลเวียนมาผสานกับพลังปราณจากเส้นลมปราณทั้งสิบสองจุด ก่อนจะพวยพุ่งออกมาเป็พลังหมัดในที่สุด
ปึก! ปึก! ปึก…!
เสียงกระดูกลั่นดังขึ้นสิบสองครั้ง พร้อมกับที่พลังหมัดสีขาวได้พุ่งเข้าใส่ร่างของบ่าวรับใช้ที่กำลังง้างดาบผู้นั้น
เปรี้ยง!
บ่าวรับใช้ผู้นั้นตื่นใเป็อย่างยิ่ง เขาถูกหมัดนี้ของอีกฝ่ายกระแทกเข้าใส่อย่างจัง ส่งผลให้ร่างของเขาถลาออกไปไกลหกถึงเจ็ดเมตร เขากระอักเืออกมาในทันที จากความเ็ปนี้ดูเหมือนว่ากระดูกซี่โครงของเขาจะแตกหักแล้ว เมื่อรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่ม เขาก็มองมู่เฟิงด้วยสายตาตกตะลึง
“วะ วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่!”
หวังเยว่มองมู่เฟิงราวกับไม่เชื่อสายตา ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็หวาดหวั่น
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่นั้นสามารถพบเห็นได้โดยง่ายก็จริง แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ที่อายุเท่ามู่เฟิงนั้นกลับพบเห็นได้ยากเป็อย่างมาก
หวังเยว่ก้าวถอยหลังอย่างหวาดผวา สายตาของเขายังคงจับจ้องไปทางมู่เฟิงที่กำลังย่างเท้าเข้ามา ในปัจจุบันวรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่อย่างมู่เฟิง
“หนี!”
หวังเยว่หันหลังกลับและรีบวิ่งในทันที แต่มู่เฟิงนั้นเร็วกว่ามาก เด็กหนุ่มะเิพลังปราณไปยังฝ่าเท้าของตัวเอง ก่อนจะดีดเท้าทะยานตัวออกไปไกลราวเจ็ดถึงแปดเมตร ขวางหน้าหวังเยว่เอาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยันว่า “คุณชายท่านนี้ เ้าไม่้าป้ายทองของข้าแล้วรึ?”
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ข้าไม่้ามันแล้ว เ้าอย่าได้เข้ามานะ...”
หวังเยว่ถอยหลังกรูดด้วยความกลัว มู่เฟิงเดินเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่าย ก่อนจะยกร่างของอีกฝ่ายขึ้น และกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “พวกคนที่ชอบใช้อำนาจรังแกผู้อื่น คราวหน้าอย่าได้มายั่วยุข้าอีก”
หลังมู่เฟิงกล่าวจบ ฝ่ามือของเขาได้ตบลงไปบนใบหน้าของหวังเยว่ทันที แรงตบนี้ทำให้ร่างของอีกฝ่ายถูกเหวี่ยงออกไปราวเจ็ดถึงแปดเมตร ก่อนจะกระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นมู่เฟิงก็หมุนตัวจากไปในทันที
“เ้า...”
หวังเยว่คลานไปตามพื้น พยายามที่จะพยุงร่างของตัวเองขึ้น สายตาของเขามองตามแผ่นหลังของมู่เฟิงไปด้วยความชิงชัง
ในอีกมุมหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบภูมิหลังของมู่เฟิงให้กระจ่างนั้น เขากำลังเฝ้ามองเหตุการณ์นี้ด้วยความใ
หลังจากจัดการกับกลุ่มคนที่น่ารำคาญเรียบร้อยแล้ว มู่เฟิงก็ตรงกลับมายังจวนตระกูลมู่ จากนั้นเด็กหนุ่มได้นำขวดยาบ่มเพาะพลังปราณไปมอบให้กับมู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และเสี่ยวหลานคนละหนึ่งขวด
ในหนึ่งขวดนั้นมีเม็ดยาจำนวนสิบเม็ด และขวดยาจำนวนสี่ขวดนี้มีราคามากกว่าหนึ่งพันเหรียญตำลึงทอง เห็นได้ชัดว่ายาอายุวัฒนะเหล่านี้มีมูลค่าสูงมากเพียงใด จากนั้นมู่เฟิงก็ได้มอบเงินในป้ายทองให้กับมู่ขวงและไป๋จื่อเยว่อีกคนละสองพันเหรียญตำลึงทอง เมื่อจัดแจงทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็กลับไปยังเรือนพักของตัวเองเพื่อเริ่มเรียนรู้วิธีการทำเครื่องราง
มู่เฟิงส่งพลังปราณเข้าไปยังหยกเทพชูร่าที่อยู่ภายในร่างของตน จากนั้นหยกเทพชูร่าก็พลันเปลี่ยนเป็ลำแสงสีโลหิตก่อนจะพุ่งออกมาจากร่างกาย และฉับพลันนั้นก็มีแสงสีทองส่องสว่างขึ้น พร้อมกับที่เงาร่างของคนผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องลับ
หลังจากมู่เฟิงได้เห็นเงาร่างของคนตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะชะงักไปพักหนึ่ง บนโลกใบนี้มีสตรีที่น่าหลงใหลเช่นนี้ดำรงอยู่ด้วยหรือ!
นางสวมใส่ชุดคลุมสีวิสุทธ์ ใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณขาวเนียนราวหิมะ ดวงตาใสกระจ่างเหมือนดังหยดน้ำบริสุทธิ์ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวนางนั้นทั้งสง่างามและสูงส่ง ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นต่างรู้สึกละอายใจในรูปลักษณ์ของตนที่ด้อยกว่า และไม่กล้าแม้แต่จะดูิ่นาง แต่ในความเย้ายวนของนางนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเ็าและเย่อหยิ่ง
ซีเยว่จ้องมองมู่เฟิงที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ด้วยความพอใจ
“เยว่ เยว่เอ๋อร์?”
หลังจากนั้นไม่นาน มู่เฟิงก็พลันได้สติและเอ่ยถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ
“ข้าเอง!"
“เ้าช่างงดงามนัก เ้าเป็เพียงิญญาสถิตในหยกเทพชูร่าจริงหรือ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย
“หากกล่าวกันตามความจริง เมื่อก่อนนั้นไม่ใช่ แต่ตอนนี้ต่อให้ไม่ใช่ก็คงใกล้เคียง”
ซีเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา
มู่เฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะถามขึ้นอย่างสับสนว่า “หมายความว่าอย่างไร เมื่อก่อนไม่ใช่ แต่ตอนนี้กลับไม่ต่าง?”
“หยกเทพชูร่านั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก ิญญาสถิตที่แท้จริงของมันถูกทำลายไปแล้ว ส่วนข้าเป็เพียงจิติญญาที่เข้ามาอาศัยอยู่ภายในหยกเทพชูร่านี้แทนเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงไม่อาจให้ประสิทธิภาพทั้งหมดของหยกนี้แก่เ้าได้อย่างเต็มร้อยนัก”
ซีเยว่อธิบาย
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจ”
มู่เฟิงส่ายหน้า
“ต่อไปเ้าจะเข้าใจเอง มู่เฟิง เ้ารับปากข้าเื่หนึ่งได้หรือไม่?”
ซีเยว่กัดริมฝีปากตัวเองก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เ้าบอกมาก่อนว่าเื่อะไร?”
“หากวันหนึ่ง เ้าสามารถฝึกเคล็ดวิชาชูร่าจนสำเร็จถึงระดับสูงสุด และสามารถฝึกฝนลายเส้นจนถึงขั้นที่แปดได้ เ้าช่วยหลอมกายเนื้อขึ้นมาให้ข้าได้หรือไม่”
ซีเยว่กล่าวอย่างคาดหวัง
“คิกๆ แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมไม่มีปัญหา ตราบใดที่ข้ามู่เฟิงสามารถไปถึงวันนั้นได้ ข้าขอสาบานว่าข้าจะต้องช่วยเ้าอย่างแน่นอน”
มู่เฟิงเหยียดยิ้มออกมา แววตาของเขาแสดงออกถึงความแน่วแน่อย่างเต็มเปี่ยม
เขาจะต้องไปให้ถึงวันนั้นให้ได้!
“อืม ข้าขอขอบคุณเ้าล่วงหน้า”
ซีเยว่ยิ้มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มนี้ทำให้บรรยากาศภายในห้องคล้ายกับมีสายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน มอมเมาจิตใจของเด็กหนุ่มให้เคลิบเคลิ้ม
“มะ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
มู่เฟิงพลันได้สติ เขายิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน
“ในตอนนี้ข้าขอตรวจสอบดูก่อนว่าพลังิญญาของเ้านั้นเป็อย่างไร จะสามารถเรียนรู้รูปแบบของลายเส้นได้หรือไม่”
ทันใดนั้นมือเนียนขาวราวกับหยกของซีเยว่ได้วางลงบนหน้าผากของมู่เฟิง จากนั้นนางก็ส่งคลื่นพลังให้หลั่งไหลเข้าสู่จิติญญาของอีกฝ่าย
มู่เฟิงรู้สึกถึงความเ็ปที่ปะทุขึ้นภายในหัว ฉับพลันนั้นภายในจิติญญาของเขาก็พลันปรากฏแสงสีทองเก้าสายส่องสว่างขึ้นมาก่อนจะเลือนหายไปในพริบตา
สีหน้าของซีเยว่แสดงออกถึงความตื่นเต้น จากนั้นนางได้รีบดึงมือออกในทันที
“เป็อย่างไร ข้าสามารถเป็นักสลักลายเส้นได้หรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามอย่างคาดหวัง
“อืม แน่นอนว่าย่อมได้ พลังิญญาของเ้านั้นแข็งแกร่งมาก และอยู่ในขั้นเก้าแล้ว โดยปกติแค่มีพลังิญญาขั้นหกก็สามารถเริ่มเรียนได้แล้ว”
ซีเยว่หัวเราะออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เฟิงก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง เขากล่าวขึ้นในทันทีว่า “เช่นนั้นก็รีบสอนข้าเร็วเข้า”
เขาแทบทนรอไม่ไหวที่จะได้เรียนรู้รูปแบบของลายเส้นแล้ว