บนถนนทางการของอำเภออันไถ มีร้านว่าวเล็กใหญ่จำนวนมากมายตั้งอยู่สองฝั่งข้างทาง
โหยวอวี่เวยกับกู้ฉีเดินเคียงคู่กันอยู่ฝั่งหนึ่งของถนน ด้านหลังตามมาด้วยจื่อยู่ที่เดินก้มหน้าก้มตาอย่างนอบน้อม อี้เฟิงและโหยวซานติดตามอยู่ด้านหลังห่างออกไปเล็กน้อย
รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าโหยวอวี่เวยไม่เลือนหาย ที่จริงในใจนางตื่นเต้นเป็อย่างมาก จะเคยมีสักกี่ครั้งกันเชียว ที่กู้ฉีจะเป็ฝ่ายเริ่มอยากเดินเล่นตลาดเป็เพื่อนนางก่อน
ที่ผ่านมาความชื่นชอบของนางไร้ค่ามากมาโดยตลอด มักอยู่ในตำแหน่งที่เงยหน้ามองเขาอยู่เสมอ เมื่อนางพูดคุย นางก่อความวุ่นวายล้วนเป็ความ้าที่อยากจะได้รับความสนใจจากเขา ถ้าเขาไม่เอ่ยปาก นางก็แค่รอคอย ต่อให้ไม่ได้รับคำตอบจากเขาเลย นางก็ไม่เคยเสียใจ
าแบนไหล่ยังคงเ็ปและคันยุบยิบ แต่นางไม่สนใจเลยสักนิด หากการขวางลูกธนูเพื่อเขาแล้วสามารถแลกมาด้วยความชื่นชอบเพียงนิดจากเขาได้ นางยินยอมจะขวางให้เขาเป็พันครั้ง
“อวี่เวย เข้าไปดูร้านนี้กัน” กู้ฉียืนอยู่ด้านซ้ายของนาง คอยป้องกันคนสัญจรบนถนนไม่ให้ชนเข้ากับาแของนาง
“ได้เลย”
โหยวอวี่เวยพยักหน้าคล้อยตามอย่างเชื่อฟัง นางจำจุดประสงค์ของการออกมาเดินตลาดได้ไม่ค่อยแน่ชัดแล้ว รู้แต่เพียงเชื่อฟังความคิดของกู้ฉีไปตามสัญชาติญาณเท่านั้น
จื่อยู่เงยหน้ามองคุณหนูของตนเองแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ คุณหนูมั่นคงต่อคุณชายจริงๆ
ร้านขายว่าวร้านนี้ที่กู้ฉีเข้าไป เป็ร้านหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดบนถนนหลัก
ภายในร้านได้แขวนโคมสีเพลิงแดง ร้านว่าวล้วนเป็งานศิลปะที่ทำจากกระดาษ ฉะนั้นจึงมีการป้องกันไฟไว้ดีอย่างมาก
ในตู้สินค้าบนผนังกำแพงทั้งสองด้านล้วนจัดเรียงว่าวรูปแบบต่างๆ และมีขนาดหลากหลายเต็มไปหมด
โหยวอวี่เวยเข้าไปในร้าน เห็นว่าวพลิ้วไหวดูมีชีวิตชีวาราวกับมีชีวิต เดิมทีจิตใจที่ล่องลอยไม่มีสติอยู่เล็กน้อย กลับแจ่มใสกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที นางเดินเข้าไปใกล้ตู้สินค้าด้วยความสนใจมากขึ้นเป็เท่าตัว ค่อยๆ ดูว่าวแต่ละอันเรียงกันไป
“อ๊ะ ว่าวนกยูงรำแพนหางตัวนี้ประณีตมากเลย สีงดงามมากจริงๆ”
“เอ๋ พ่างซาเยี่ยน [1] ก็น่ารักมากเลย”
“ว้าว มีว่าวเทพธิดาโปรยดอกไม้ด้วย โดดเด่นนัก”
โหยวอวี่เวยตื่นเต้นดีใจจนดวงตาสองข้างเป็ประกาย ั้แ่พวกเขาเหยียบเข้ามาภายในร้าน เ้าของร้านก็เข้ามาแนะนำอยู่ด้านข้างด้วยสายตาที่มีแวว เสื้อผ้าและเครื่องประดับทั้งสองคนดูสวยหรู ท่าทางเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์ แล้วยังมีสาวรับใช้งดงามผู้หนึ่งติดตามมาอีกด้วย พอมองก็รู้ได้เลยว่าเป็คุณหนูของครอบครัวร่ำรวย
“ว่าวชนิดนี้ปีกแข็ง ส่วนว่าวชนิดนี้ปีกอ่อนนุ่ม แต่ละอย่างล้วนมีความพิเศษของตัวมันเอง คุณหนูสามารถซื้อไปมากกว่าสองสามแบบได้เลย ลองััดูหน่อยสิขอรับ” มุมปากเ้าของร้านยกรอยยิ้มขึ้นอย่างมืออาชีพ
โหยวอวี่เวยยิ้มแล้วพยักหน้า นางหันกลับไปมองกู้ฉีแวบหนึ่ง “พี่ห้า ท่านดูสิ อันนี้สวยไหม?”
ในมือนางถือพ่างซาเยี่ยนที่ดูอุดมสมบูรณ์สีสันงดงามอยู่หนึ่งตัว รอยยิ้มบนใบหน้าดังดอกท้อในเดือนสามก็ไม่ปาน สุกสว่างสดใสเป็ประกาย
กู้ฉีเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวพร้อมกับอมยิ้มแล้วพยักหน้า
เ้าของร้านมองไปมาเล็กน้อย จึงหยิบว่าวหนึ่งตัวจากอีกด้านขึ้น พลางยิ้ม “คุณหนู ตัวนี้เป็ว่าวนกนางแอ่นบินข้างกัน ้าวาดนกนางแอ่นไว้สองตัว คอยอยู่เคียงคู่ด้วยกัน มีความหมายแฝงเป็มงคล ท่านอยากซื้อไปสักตัวหรือไม่ขอรับ?”
โหยวอวี่เวยชะงักงัน ทันใดนั้นบนใบหน้าราวกับมีไฟไหม้ สีแดงลุกลามขึ้นจนแผ่กระจายไปทั้งใบหน้า
กู้ฉีก็ใเช่นกัน มองโหยวอวี่เวยที่ใบหน้าแดงเปล่งปลั่งไปทั่วอย่างทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย
สุดท้ายโหยวอวี่เวยก็ไม่ได้ซื้อนกนางแอ่นบินเคียงข้างกันตัวนั้น ต่อหน้ากู้ฉี นางไม่มีความกล้ามากพอที่จะซื้อกลับมา
นางกดความโปรดปรานของตนเองไว้ เลือกว่าวแบบอื่นมาหกตัว ให้จื่อยู่ไปคิดเงินและถือว่าวออกจากร้านไป
สีท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว สองฝั่งของถนนแขวนโคมไฟแดงขึ้น ภายใต้แสงไฟที่สลัว ใบหน้าโหยวอวี่เวยยังหลงเหลือความแดงเป็เืฝาดอยู่เลือนลาง นางก้มหน้าก้มตาลง ขนตาเป็แพยาวสั่นไหวน้อยๆ
กู้ฉีเดินอยู่ฝั่งซ้ายอย่างเงียบสงบ เดินเคียงคู่กับจังหวะเท้าของนาง
โหยวอวี่เวยมองสองคนยกเท้าซ้ายขึ้นพร้อมกัน วางลงในเวลาเดียวกัน แล้วยกเท้าขวาขึ้นมาอีกครั้ง วางลงไปอีกหน จังหวะเท้าพร้อมเพรียง แม้จะก้าวไม่เสมอกันแต่ก็ทำให้รู้สึกดียิ่งนัก นางหวังว่าถนนเส้นนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุด และสามารถให้นางเดินเคียงข้างกับเขาได้ตลอดไป
“พี่เจินจู บ้านท่านยังขาดฟืนอีกหรือไม่?”
เสียงของถู่วั่งดังขึ้นอยู่เื้ัเจินจู
เจินจูที่จูงซิ่วจูอยู่ได้หันศีรษะกลับไปด้านหลัง มองใบหน้าเล็กอันงดงามของเขาแล้วยิ้มตอบ “ถู่วั่ง ฟืนบ้านเ้าตุนไว้ดีแล้วหรือ?”
สีหน้าถู่วั่งแดงเล็กน้อยขึ้นมาทันที เขาก้มศีรษะลงต่ำ “ของบ้านข้าตุนไว้เรียบร้อยแล้ว”
เจินจูยิ้มบางๆ “ของบ้านข้ายังขาดอยู่ หากของบ้านเ้ามีเหลืออยู่มากก็นำมามอบให้ที่ผิงอัน ข้าจะรับซื้อในราคาเหมือนกันกับที่รับในหมู่บ้าน”
“อื้ม ขอบคุณพี่เจินจู” ถู่วั่งกล่าวขอบคุณอย่างเหนียมอาย ที่จริงเขาเคยถามผิงอันแล้ว แต่เมื่อสักครู่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นเงากายเพรียวบางงดงามของนางเข้า เขาก็อยากเข้ามากล่าวกับนางเสียสองสามประโยคอย่างอดไม่ได้
“ถู่วั่ง ไม่ต้องเกรงใจ เ้าเข้าูเาไปตัดฟืนต้องระมัดระวังหน่อยนะ ดูความปลอดภัยด้วยล่ะ” เจินจูจูงซิ่วจูหันไปทางเขาแล้วโบกมือ
ถู่วั่งมองภาพด้านหลังของพวกนางที่ห่างออกไป อดมองอย่างละสายตาไม่ได้เล็กน้อย
ตอนนี้เจินจูเป็แม่นางที่งดงามที่สุดในหมู่บ้าน หนุ่มสาวที่อายุสิบกว่าปีทั้งหมดของหมู่บ้านวั้งหลิน ล้วนวิพากษ์วิจารณ์นางกันอยู่ลับๆ เส้นผมราวกับเส้นไหมดกดำ ผิวคล้ายหิมะขาวของฤดูหนาว ดวงตาเสมือนดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดท่ามกลางท้องฟ้าในยามราตรี ริมฝีปากนุ่มอมชมพูเสียยิ่งกว่าดอกท้อเดือนสามเสียอีก
เด็กผู้ชายที่โตทั้งหมดในโรงเรียน พวกเขาต่างก็เข้ามาเล่นลูกไม้ตีสนิทกับผิงอันผิงซุ่น คิดจะเกี่ยวพันจากความสัมพันธ์เล็กน้อยด้วยการพูดวนไปมา และสืบถามข่าวคราวแต่ละอย่างของหูเจินจูอยู่ด้านข้าง
ผิงอันกับผิงซุ่นกลับไม่ได้ถูหลอกง่ายดายเพียงนั้น พวกเขาล้วนเป็เด็กหนุ่มที่ค่อนข้างโตทั้งสิ้น จึงเข้าใจในเื่เหล่านี้อยู่บ้าง แต่เจินจูมีอำนาจสูงสุดในสกุลหูเสมอมา สองคนจึงไม่กล้าคุยเล่นลับหลังเื่ของนางง่ายๆ ดังนั้นคนที่จะเล่นลูกไม้ตีสนิทเ่าั้ล้วนไม่มีผู้ใดร้องขอผลประโยชน์ไปได้ทั้งสิ้น
เจินจูจูงมือเล็กของซิ่วจูไปบ้านเก่าสกุลหู
เมื่อผิงซุ่นออกมาเปิดประตู ซิ่วจูก็วิ่งโผเข้าไปทันที
“พี่ชายใหญ่!”
เสียงนุ่มนิ่มของเด็กสาวตัวเล็กป้อม น่ารักเป็อย่างมาก
ผิงซุ่นอายุสิบสองปีร่างกายกำยำล่ำสัน เขาฉีกยิ้มพร้อมกับก้มลงอุ้มซิ่วจูขึ้นมา “โอ้โห เ้าเด็กจ้ำม่ำมาแล้ว”
ซิ่วจูชอบเล่นกับผิงซุ่น เขามีความกล้าหาญอุปนิสัยปราดเปรียว ไม่สนใจเื่หยุมหยิม เวลานำซิ่วจูและผิงซั่นไปเล่นสนุกก็ไม่เคยสนใจการละเล่นคลุกดินคลุกฝุ่นของพวกเขา ล้มเป็ล้ม สกปรกเป็สกปรก เื่เล็กน้อยเหล่านี้เขาไม่สนใจเลยสักนิด เด็กน้อยสองคนจึงเล่นกับเขาได้สนุกสนานเบิกบานใจที่สุด
เจินจูมองสองคนด้วยความขบขัน “ผิงซุ่น ที่บ้านทานข้าวแล้วหรือยัง? พี่รองล่ะ?”
“ทานแล้ว ท่านพี่กับท่านแม่เก็บกวาดห้องครัวอยู่ด้านหลัง พี่สาม จ้าวไป่ิของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านมา ท่านย่ากำลังดูแลเขาอยู่” ผิงซุ่นที่เริ่มเข้าสู่วัยที่เสียงเปลี่ยน เสียงจึงแหบแห้งเล็กน้อย
จ้าวไป่ิมา? เจินจูเลิกคิ้ว ชำเลืองมองภายในห้องโถงแวบหนึ่ง
นางหันไปยิ้มทางผิงซุ่น และอุ้มซิ่วจูออกมาจากอ้อมอกเขา “ไป ไปทักทายท่านย่ากันก่อน”
กล่าวจบก็วางนางลงและเดินไปทางห้องโถงด้วยกิริยาท่าทางสง่างาม
“ท่านย่า”
ซิ่วจูก้าวขาเล็กป้อมวิ่งเข้าไป
ในห้องโถงแว่วเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจของหวังซื่อออกมา
ขณะที่เจินจูเดินเข้าไปใกล้ ซิ่วจูก็กำลังกอดคอออดอ้อนหวังซื่อ ใบหน้าหวังซื่อยิ้มแย้มดั่งดอกไม้ผลิบาน
อีกด้านหนึ่งของโต๊ะน้ำชาไม้ซวนจือ จ้าวไป่ิสวมชุดเสื้อคลุมชายยาวสีฟ้าอมเขียว นั่งด้วยอากัปกิริยาร่างกายตรงแน่ว บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจ
“พี่ไป่ิ” เจินจูทักทายขึ้นอย่างสง่างาม
“น้องเจินจู ไม่ได้เจอกันนานเลย” จ้าวไป่ิรีบยิ้มแล้วขานรับ สายตาตกอยู่บนกายของนาง แววตาของเขาสลับซับซ้อนอธิบายไม่ถูก
เื่การแต่งงานของชุ่ยจูกับเขา ท่านปู่เคยหารือกับเขาเป็การส่วนตัวแล้ว
เดิมทีผู้ที่ท่านปู่ถูกใจคือแม่นางคนโตของบ้านรองสกุลหู นั่นก็คือหูเจินจูที่งดงามสดใสตรงหน้า
ทว่าในขณะนั้นท่านปู่ทอดถอนหายใจอย่างยิ่ง เขาเคยลองถามหยั่งเชิงหูฉางกุ้ย หูฉางกุ้ยเพียงยิ้มซื่อๆ กล่าวว่าเื่ในบ้านส่วนใหญ่เป็บุตรสาวรับผิดชอบตัดสินใจ เื่การแต่งงานของนางย่อมต้องดูความชอบของนางเอง
จ้าวเหวินเฉียงรู้ เื่ของครอบครัวรองของสกุลหู ส่วนมากล้วนเป็ความคิดเห็นที่ออกมาจากบุตรสาวคนโตจริงๆ หูเจินจูเฉลียวฉลาดมีความสามารถและมีความคิดั้แ่เด็ก ครอบครัวรองของบ้านสกุลหูความเป็อยู่ผ่านมาได้มั่งคั่งเพียงนี้ จะขาดความดีงามของนางไปไม่ได้เลย
เขาก็เห็นการเติบโตของเด็กสาวผู้นี้เช่นกัน มากน้อยอย่างไรก็พอเข้าใจนางอยู่บ้าง เห็นใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มเสมอ ท่าทางเหมือนใกล้ชิดได้ง่ายดาย แต่บนความเป็จริงในดวงตาสีดำสุกสกาวคู่นั้น กลับเยือกเย็นและมีสติปัญญา ไม่ใช่คนที่ดูเหมือนจะใกล้ชิดได้โดยง่ายเพียงนั้นเลย
หากว่าการแต่งงานของนางต้องได้รับการยินยอมด้วยตัวของนางเอง เช่นนั้นแผนการเอาชนะใจของจ้าวไป่ิก็มีไม่มากแล้ว ดูจากการติดต่อกันของพวกเขาไม่กี่ครั้ง ขณะที่หูเจินจูมองมาที่จ้าวไป่ิ ดวงตาข้างในไม่เคยปรากฏความชอบพอหรือชื่นชมออกมาเลย นางเพียงพูดจาเกรงอกเกรงใจอย่างสุภาพ แม้กระทั่งบางครั้งจ้าวเหวินเฉียงก็รู้สึกได้ว่าในดวงตาของนางแฝงไว้ด้วยความรังเกียจเล็กน้อยด้วย
จ้าวเหวินเฉียงไม่ยอมแพ้ เขาให้หวงซื่อแวะไปคุยเล่นที่บ้านเก่าสกุลหู แสร้งคุยกับหวังซื่อเล่นไปเรื่อยเื่การแต่งงานของเจินจู ไม่รู้ว่าหวังซื่อเจตนาหรือไม่ ข้ออ้างที่ได้มากลับคล้ายคลึงกันกับหูฉางกุ้ยอย่างไม่คาดคิด ล้วนกล่าวว่าต้องดูความคิดเห็นของเจินจูเอง
จ้าวเหวินเฉียงจนปัญญา ท่าทีที่เด็กและคนชราของสกุลหูมีต่อหูเจินจู ช่างพะเน้าพะนอเกินไปแล้ว เื่การแต่งงานของคนรุ่นหลังยังต้องผ่านการเห็นชอบจากนางเองอีก และดูเหมือนเด็กสาวผู้นั้นจะไม่ได้ชอบหลานชายอันแสนยอดเยี่ยมของเขาเลย
เขาคิดไปใคร่มา รู้สึกว่าการถอดใจเื่เกี่ยวดองเป็ญาติผ่านการแต่งงานกับลูกหลานสกุลหูไปช่างน่าเสียดายนัก จึงเปลี่ยนเป้าหมาย เริ่มหันมาใส่ใจกับบุตรสาวคนรองของครอบครัวใหญ่สกุลหูขึ้น หลังสังเกตอย่างละเอียดอยู่ระยะหนึ่ง พบว่าหูชุ่ยจูไม่ว่าจะเป็ลักษณะหน้าตา ความรู้ความสามารถหรือความประพฤติก็ตามแต่ ล้วนอยู่ในขั้นดีมากทีเดียว แค่เก็บตัวไม่ชอบออกจากบ้านไปหน่อยเท่านั้นเอง
แต่เปรียบเทียบกันกับหูเจินจูที่เป็ตัวของตัวเอง เฉลียวฉลาดและมีความคิด นางยิ่งเหมาะสมกับการเป็ภรรยาตรงตามมาตรฐานในใจของทุกคนมากกว่า เข้าครัวได้ ออกมาต้อนรับแขกได้ รูปโฉมงดงามมีสง่า รู้จักตัวอักษรมีความรู้ มีคุณธรรมและประพฤติตัวอยู่ในกรอบการเป็สตรี อยู่ภายในบ้านอย่างสงบเสงี่ยมดี
ความเป็อยู่ของครอบครัวใหญ่สกุลหู แม้ไม่ได้มั่งคั่งเท่าครอบครัวรอง แต่ สามีภรรยาชราแห่งสกุลหูยังแข็งแรงมีความเป็อยู่ดี หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยสองพี่น้องมีไมตรีจิตต่อกันอย่างลึกซึ้งมั่นคง สองครอบครัวไม่ว่าผู้ใดจะเจริญรุ่งเรือง ล้วนไม่มีทางลืมประคับประคองพี่น้องไปอย่างแน่นอน
ฉะนั้นหูชุ่ยจูจึงเป็คนที่เหมาะสมที่สุดนอกเหนือจากหูเจินจู
ด้วยเหตุนี้จึงมีการปรึกษาหารือกับสองครอบครัวขึ้น
จ้าวไป่ิมองเจินจูที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอด อดนึกถึงคำพูดของท่านปู่ขึ้นมาไม่ได้ว่า แม้เด็กสาวผู้นั้นจะมีรอยยิ้มนุ่มนวลประดับอยู่บนใบหน้า แต่ดวงตาด้านในกลับมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของสุนัขจิ้งจอกน้อย ที่คอยสังเกตสถานการณ์โดยรอบด้วยความสงบเยือกเย็น
สายตาการมองโลกมาครึ่งชีวิตของท่านปู่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนมาเสียเปล่าดังคาด จ้าวไป่ิก็มองความเ้าเล่ห์ที่เด็กสาวใช้รอยยิ้มปิดบังไว้ออกได้เช่นกัน
เจินจูไม่รู้เลยว่าหัวหน้าหมู่บ้านมีความขุ่นเคืองใจต่อนางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งยังเปิดโปงความจอมปลอมของรอยยิ้มภายใต้ใบหน้าของนางต่อหน้าผู้เป็หลานชายอีกด้วย
“พี่ไป่ิ โรงเรียนประจำอำเภอปิดเทอมแล้วหรือ?” เจินจูหาหัวข้อขึ้นมาพูดคุยด้วยคำพูดเกรงอกเกรงใจ
“ใช่ สถานการณ์ภายนอกไม่สงบสุข ย่วนจ่างพิจารณาถึงปัญหาความปลอดภัย เลยให้พวกข้ากลับบ้านมาเรียนด้วยตนเอง รอผ่านปีไปแล้วค่อยไปรายงานที่โรงเรียนประจำอำเภออีกครั้ง” จ้าวไป่ิตอบไปตามมารยาท
“เรียนด้วยตัวเองอยู่ที่บ้านก็ดี เข้าหน้าหนาวแล้วไม่รู้ว่าวันไหนหิมะจะตก อยู่บ้านจะได้อบอุ่นหน่อย ฮ่าๆ” เจินจูกล่าวตอบ
“ฮ่าๆ” จ้าวไป่ิหัวเราะแห้งตามสองที รีบชี้ไปที่ตะกร้าบนโต๊ะน้ำชา “ท่านย่าของข้าทำกุ้ยฮวาเกา เขาให้ข้าเอามามอบให้ครอบครัวพวกท่านชิมเล็กน้อย สดใหม่เป็อย่างมาก เพิ่งออกจากหม้อเลยขอรับ” เขาหันไปกล่าวกับหวังซื่อ
เจินจูชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง จุดประสงค์ของการหยิบยืมข้ออ้างมาส่งกุ้ยฮวาเกาให้คือ?
“ไป่ิเอ๋ย กลับไปขอบคุณท่านย่าเ้าแทนข้าด้วย” หวังซื่อส่งซิ่วจูให้กับเจินจู หลังจากนั้นหยิบตะกร้าของจ้าวไป่ิขึ้น “เจินจู ข้าจะไปครัวหยิบหงโต้วปิ่ง [2] มาเป็ของตอบแทน เ้ากับซิ่วจูดูแลไป่ิแทนย่าทีนะ”
ขณะกล่าวนางก็หันไปส่งแววตาทางเจินจู แล้วหิ้วตะกร้าออกจากห้องโถงไป
เหลือทิ้งไว้เพียงเจินจูที่อุ้มซิ่วจูอยู่ ต่างก็จ้องกันไปมากับจ้าวไป่ิ
เชิงอรรถ
[1] พ่างซาเยี่ยน คือ ว่าวทรงนกนางแอ่นทะเลทรายตัวอ้วน
[2] หงโต้วปิ่ง คือ คุกกี้ถั่วแดง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้