วันที่ยี่สิบแปด เซวียเสี่ยวหรั่นตื่นแต่เช้าตรู่มาต้มกระดูกหมู หลังจากนั้นก็ล้างหน้าสีฟัน ตบๆ หน้ากระตุ้นตนเองให้ตื่นเต็มที่
การทำบะหมี่กับเส้นก๋วยเตี๋ยวสำคัญคือต้องปรุงรสน้ำแกงอย่างพิถีพิถัน รสชาติถึงจะออกมาดี เมื่อเหลียนเซวียนอยากกินบะหมี่ เธอก็ต้องทำบะหมี่แสนอร่อยออกมาให้ได้
บะหมี่ต้องคู่กับเนื้อตุ๋นถึงจะได้รสชาติดีที่สุด แต่เสียดายเนื้อวัวหาซื้อยาก" เซวียเสี่ยวหรั่นหั่นหมูเป็ชิ้นๆ พลางสนทนากับอูหลันฮวาที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟ
อูหลันฮวาเดาะลิ้น นางยังไม่เคยกินเนื้อวัวมาก่อนเลย "จะฆ่าวัวแบบสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้"
"อื้อ ดังนั้นถึงต้องใช้เนื้อหมูแทนไงล่ะ ที่จริงเนื้อหมูก็ไม่เลวนักหรอก เพียงแต่ถ้าเอามาทำหมูแดงจะอร่อยกว่า" เซวียเสี่ยวหรั่นย้ายหมูที่หั่นชิ้นแล้วมากองอีกด้าน จากนั้นก็เริ่มสับให้ละเอียด
อูหลันฮวากลืนน้ำลาย ต้าเหนียงจื่อมักเล่าถึงอาหารที่นางไม่เคยกินมาก่อน อาหารเหล่านี้แค่ฟังเฉยๆ ก็น้ำลายสอแล้ว
สองวันมานี้ ต้าเหนียงจื่อมักพลิกแพลงการทำของอร่อยหลายอย่าง นางดูอยู่ด้านหลัง ค่อยซึมซับเรียนรู้ไปเรื่อยๆ นางชอบมองเวลาที่ต้าเหนียงจื่อทำอาหารเป็ที่สุด
สับหมูเรียบร้อยก็ย้ายไปพักในจาน หั่นเห็ดหอมเป็ลูกเต๋าแล้วโรยใส่หมูสับคลุกเคล้าให้เข้ากัน หลังจากนั้นก็เอาไปนึ่งในกระทะ
หมูสับนึ่งเห็ดหอมเป็อาหารที่เซวียเสี่ยวหรั่นกินบ่อยเมื่อครั้งยังเด็ก
ที่บ้านเกิดของเธอมักพูดกันว่า เด็กขาดสารอาหาร สีหน้าจะหมองคล้ำ ต้องกินอาหารจำพวกนี้บำรุงมากๆ
แม้จะเป็คำอธิบายเลื่อนลอย แต่เมื่อคนเฒ่าคนเแก่สอนมาแบบนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นจึงคิดว่ามันน่าจะมีเหตุผลของมันอยู่ คุณย่าก็บำรุงเธอมาแบบนี้จนอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี
ดังนั้นสองวันมานี้ เธอจึงทำหมูสับนึ่งเห็ดหอมวันละจานทุกวัน
อย่างไรเสีย ในบ้านก็มีสมาชิกสองคนที่สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร จำเป็ต้องบำรุงร่างกายให้เต็มที่
เซวียเสี่ยวหรั่นยกก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่พิเศษกลิ่นหอมเข้มข้น ซึ่งมีเส้นบะหมี่พูนชามเข้าไปในห้องของเหลียนเซวียน
"บะหมี่ทำเสร็จเรียบร้อย รีบมากินเร็วเข้า"
เธอวางชามขนาดใหญ่พิเศษบนโต๊ะ
พอได้กลิ่นบะหมี่หอมฟุ้ง ดวงตาของเหลียนเซวียนที่จดจ้องเซวียเสี่ยวหรั่นก็ทอประกายน้อยๆ หากไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็น
"ลองชิมดูว่ารสชาติดีหรือไม่ กินคู่กับหมูสับนึ่งเห็ดหอม มื้อเที่ยงพวกเราค่อยกินเส้นเล็กเนื้อสดกัน"
เซวียเสี่ยวหรั่นวางตะเกียบใส่มือเขา แล้วเร่งให้กินบะหมี่
"ขอบใจ" เสียงขอบคุณของเขาทุ้มต่ำแหบพร่าเล็กน้อย แม้จะไม่ใช่บะหมี่อายุยืน แต่ก็เพียงพอแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มกว้าง ไม่นำพาว่าเื้ัคำขอบคุณจะมีที่มาอย่างไร "ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้น รีบชิมเร็วว่าอร่อยหรือไม่"
เหลียนเซวียนคีบเส้นหมี่เบาๆ ก่อนจะกินเข้าไปภายใต้สายตากระตือรือร้นที่เฝ้ามองอยู่
"อร่อย เส้นเหนียวนุ่ม น้ำแกงหอมเข้มข้น"
คำรับรองหนักแน่นของเหลียนเซวียนทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มแก้มปริ "อื้อ อร่อยก็ดีแล้ว เช่นนั้นท่านกินไปก่อน เดี๋ยวข้าค่อยมาใหม่"
กล่าวจบก็ออกไปจากห้องอย่างอารมณ์ดี
เหลียนเซวียนมองตามแผ่นหลังของนางไปอย่างเหม่อลอย ครู่ใหญ่ถึงหันศีรษะกลับมา แล้วตั้งหน้าตั้งตากินบะหมี่ชามใหญ่ลงไป
พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า วันนี้ทุกคนต่างยุ่งเป็พิเศษ
อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยลอบเชื้อเชิญผู้าุโในตระกูลมา
"ท่านปู่เก้า นี่คือเงินสองตำลึง สุสานของบิดามารดาข้ากับผู้เฒ่าอูต้องฝากฝังพวกท่านแล้ว ได้โปรดช่วยทำความสะอาด และเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ทุกปีด้วยเ้าค่ะ"
คราก่อนตอนที่ถูกขาย อูหลันฮวาก็ฝากฝังมาหนหนึ่งแล้ว แต่ครานั้นนางไม่มีอะไรติดมือได้แต่พูดปากเปล่า แม้ผู้อื่นจะรับปาก แต่หลังจากมาใคร่ครวญดูภายหลัง หากให้ผู้อื่นช่วยเหลือเพียงปีสองปีก็พอได้ แต่ถ้าเป็ห้าปีสิบปี ผู้ใดจะมีน้ำใจขนาดนั้น
นางจึงไปขุดเหรียญทองแดงสามสิบสี่สิบเหรียญที่เคยลอบสะสมไว้ ไม่ว่าจะมีสักเท่าไรก็ต้องมอบให้ทั้งหมด
หลังจากที่เซวียเสี่ยวเหล่ยรู้ข่าว ก็ไม่รู้ว่าไปขุดเหรียญทองแดงมาจากไหนอีกยี่สิบกว่าเหรียญ
สองคนเอาเงินมารวมกัน ปรึกษากันว่าจะลอบนำไปมอบให้กับผู้าุโที่ใจดีมีเมตตาที่สุดในตระกูล
การตัดสินใจของพวกเขา เหลียนเซวียนฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปนาน จากนั้นก็ให้เซวียเสี่ยวหรั่นมอบเงินให้พวกเขาสองตำลึง
เมื่อพวกเขามีจิตใจเช่นนี้ ก็ควรช่วยสนองให้สมความปรารถนา จะได้ไปจากที่นี่อย่างหมดห่วง
ตอนแรกอูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยไม่กล้ารับ
เซวียเสี่ยวหรั่นบอกว่า อูหลันฮวาทำงานมีเงินเดือน ส่วนเซวียเสี่ยวเหล่ยก็มีเบี้ยเลี้ยงค่าขนมให้ทุกเดือนเช่นกัน ดังนั้นเงินสองตำลึงนี้ ถือว่าเป็การจ่ายเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยงล่วงหน้าของพวกเขา
อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยต่างมองหน้ากัน ก่อนรับเงินมา
พวกเขาสองคนมอบเงินจำนวนนี้ให้ผู้าุโทั้งหมด
"หลันฮวาเอ๋ย ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ บิดาเ้าแซ่อู คนในตระกูลจะปล่อยให้สุสานของพวกเขารกร้างได้อย่างไร สือโถว เ้าก็เหมือนกัน สุสานของผู้เฒ่าอูย่อมจะมีคนครอบครัวมาปัดกวาดกันเองนั่นแหละ"
แม้าุโผู้นี้จะนึกประหลาดใจ แต่กลับไม่ใช่คนเห็นเงินแล้วตาโต
อูหลันฮวาเชื่อมั่นาุโที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ ถึงมอบเงินกับมือเขาอย่างไม่นึกเสียดาย
"ท่านปู่เก้า ท่านก็รับไปเถอะ พรุ่งนี้ข้ากับสือโถวจะไปจากขู่หลิ่งถุนแล้ว ต่อไปไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาหรือเปล่า แม้ในตระกูลจะมีคนช่วยทำความสะอาดสุสาน แต่หากต้องเพิ่มกระดาษเงินกระดาษทองเข้าไปด้วย ก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้พวกท่านต้องมาจ่ายเงิน"
อูหลันฮวากล่าวด้วยน้ำใจสัตย์ซื่อ พวกเขาไปครานี้อาจไม่มีโอกาสกลับมาบ้านเกิดอีกแล้ว เงินสองตำลึงแม้ไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะซื้อกระดาษเงินกระดาษทองไปได้หลายสิบปี
ผู้าุโได้ฟังก็ลังเลอยู่บ้าง "หลันฮวา เ้ากับสือโถวจะเดินทางไปกับเหลียนต้าเหนียงจื่อจริงหรือ ได้ยินว่าเ้าแค่ไปช่วยงานชั่วคราวไม่กี่วันมิใช่หรือไร"
เื่ที่เซวียเสี่ยวหรั่นรับสือโถวเป็น้องชาย ในหมู่บ้านมีแต่ครอบครัวของซีต้าเฉียงเท่านั้นที่รู้ ไม่ได้บอกผู้อื่นในขู่หลิ่งถุน
เพราะเซวียเสี่ยวหรั่นคิดว่าหากมีคนจงใจปล่อยข่าวลือให้คนข้างเคียงเข้าใจว่าเซวียเสี่ยวเหล่ยมีดวงพิฆาตบุพการี หากเขาถูกรับเลี้ยงดู ก็ต้องมีคนใช้ลูกไม้เดิมซ้ำอีกหนเป็แน่
เมื่อพวกเขาจะไปจากขู่หลิ่งถุนแล้ว ลดปัญหาลงไปหนึ่งเื่ย่อมจะดีกว่าสร้างปัญหาเพิ่ม เซวียเสี่ยวหรั่นเองก็ไม่อยากป่าวประกาศให้ใครรู้
คนในหมู่บ้านต่างเข้าใจว่าที่พวกเขาดีต่อสือโถวเพราะเด็กคนนี้ช่วยมาแจ้งข่าว
"ท่านปู่เก้า ไม่ขอปิดบังท่าน ต้าเหนียงจื่อซื้อตัวข้าไว้แล้ว ต่อไปนางไปที่ใดข้าก็ไปที่นั่น"
พรุ่งนี้คือวันที่ไปจากขู่หลิ่งถุน อูหลันฮวาไม่กลัวคนรู้ว่าตนเองจะไปพร้อมกับเซวียเสี่ยวหรั่น
ผู้าุโพยักหน้า "เช่นนี้ก็ประเสริฐ ติดตามผู้สูงศักดิ์ มีกินมีใช้ ดีกว่าอยู่กับครอบครัวนั้นเป็ไหนๆ หลันฮวาเอ๋ย ใช้ชีวิตให้ดี เ้าวางใจได้เลย ถึงภายหน้าปู่เก้าจะไม่อยู่แล้ว ก็จะมอบหมายให้พวกอูจวินช่วยดูแลสุสานของพวกเขาต่อไป"
อูจวินคือหลานชายคนโตของเขา อายุสิบเจ็บสิบแปดปีแล้ว แข็งแรงดุจโคถึก เป็เด็กหนุ่มจิตใจสัตย์ซื่อ เฉลียวฉลาดและมีคุณธรรม
อูหลันฮวากับสือโถวต่างรู้จักเขาดี ครอบครัวของาุโผู้นี้ล้วนนิสัยใจคอไม่เลว ดังนั้นอูหลันฮวาถึงเลือกที่จะฝากฝังกับพวกเขา
"ท่านปู่เก้า สุขภาพของท่านแข็งแรง ต้องอายุยืนร้อยปีแน่นอนเ้าค่ะ" อูหลันฮวายัดถุงเงินใส่ของเขา
หลังจากมองดูแล้ว ในที่สุดเขาก็ยอมรับเงินไว้ พร้อมให้คำมั่นสัญญาหนักแน่นกับพวกเขาสองคน
หลังส่งาุโกลับแล้ว อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
ได้คำมั่นสัญญาจากผู้าุโ พวกเขาสองคนก็นับว่าหมดห่วงได้เสียที
