“ฝ่าาโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” บัดนี้เพิ่งจะปลายเดือนเจ็ด กว่าจะถึงปลายเดือนสิบเอ็ดยังมีเวลาอีกครึ่งปี
“หลี่เนี่ยนจู่ผู้นี้เป็คนเช่นไรกัน” สิ่งที่จ้าวหนิงฮ่องเต้้าทราบนั้นไม่ใช่สถานการณ์ของขุนนางต่างๆ แต่้าทราบสถานการณ์ของหลี่เนี่ยนจู่
เสนาบดีกรมขุนนางมีความลังเลใจเล็กน้อย เขาไม่รู้จุดประสงค์ที่จ้าวหนิงฮ่องเต้ถามถึงเื่นี้ขึ้นมา เื่ราวที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงเมื่อประชุมในยามเช้านั้นยังคงติดตราตรึงอยู่ในสายตา หรือว่าฝ่าาจะทรงรังเกียจหลี่เนี่ยนจู่เข้าเสียแล้ว? เสนาบดีกรมขุนนางครุ่นคิดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยคาดเดาเจตนาของจ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ถูก เขาจึงได้แต่ตอบไปตามความจริงว่า “หลี่เนี่ยนจู่ค่อนข้างเหมาะสมที่จะรั้งตำแหน่งกวงลู่ซื่อชิงพ่ะย่ะค่ะ ถือได้ว่าขยันขันแข็ง สมุดบัญชีของทุกปีก็ทำได้อย่างชัดเจน ตำแหน่งของเขานับว่าครบวาระแล้ว หาก...หากหลังจากครบวาระนี้แล้วยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งก็คง...” ขุนนางในรัชสมัยนี้เกษียณอายุราชการเมื่ออายุหกสิบห้าปี หลี่เหล่าไท่เหฺยปีนี้อายุหกสิบเอ็ดปีแล้ว
“อืม เ้าออกไปเถิด”
ณ จวนจงหย่งโหว
เวลาทำงานและพักผ่อนในสมัยโบราณนั้นหลี่ลั่วไม่สามารถปรับตัวให้คุ้นชินได้เลยจริงๆ ด้วยเหตุที่เขาปรับตัวไม่ได้ ดังนั้นเวลาทำงานและพักผ่อนของคนทั้งหมดในเรือนโฉวงจี๋จึงจำต้องปรับไปตามเวลาของหลี่ลั่วด้วย
อาหารเช้าของหลี่ลั่วคือเวลาแปดโมงครึ่ง ตอนเช้าเขาจะออกกำลังกายเป็เวลาหนึ่งชั่วโมงโดยการนั่งท่านั่งม้าและฝึกยุทธ์ ดังนั้นเวลาตื่นนอนของเขาคือเวลาเจ็ดโมง เจ็ดโมงครึ่งเริ่มฝึกยุทธ์จนถึงเวลาแปดโมงครึ่ง จากนั้นจึงกินอาหาร
เวลาอาหารกลางวันของเขาคือเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง กลางวันพักผ่อนครึ่งชั่วโมง จากนั้นนอนกลางวันครู่หนึ่ง
อาหารเย็นของเขาคือเวลาห้าโมงครึ่ง หลังอาหารค่ำแล้วจะอ่านหนังสือครู่หนึ่ง
ข้ารับใช้ในเรือนโฉวงจี๋ต่างรู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีเหลือเกินที่ถูกจัดมาทำงานรับใช้ในเรือนโฉวงจี๋ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ชอบตื่นเช้า
“พี่ใหญ่ โหวเหฺยของพวกเรานั้นดีจริงๆ ไม่บังคับให้พวกเราตื่นแต่เช้าด้วย” สำหรับเด็กหนุ่มเช่นหลี่ฉางสือแล้วนั้น การไม่ต้องตื่นเช้าถือเป็ลาภอันประเสริฐ
หลี่ฉางเฉิงเคยชินเสียแล้วที่จะตื่นเช้า ดังนั้นในขณะที่คนทั้งเรือนโฉวงจี๋ยังไม่ตื่นกันนั้น เขาก็ลุกขึ้นมาฝึกยุทธ์แล้ว “ต่อให้โหวเหฺยจะใจกว้างกับพวกเรา แต่พวกเราก็ไม่ควรเกียจคร้าน แล้วอย่าคิดว่าโหวเหฺยอายุยังน้อยแล้วจะไปรังแกได้เล่า” น้องชายคนนี้ของเขาซนอย่างกับลิงเลยทีเดียว
หลี่ฉางสือเบ้ปาก “พี่ใหญ่ ข้ายังจะไม่รู้จักประมาณตนอยู่อีกหรือ ข้าไม่กล้าดูถูกโหวเหฺยหรอก” ได้ดูชมความเก่งกาจของโหวเหฺยในระยะนี้แล้ว หลี่ฉางสือเป็คนเขลาหรือไร?
“พี่ฉางเฉิง พี่ฉางสือ พวกท่านตื่นแล้ว” ซินเป่าถืออ่างน้ำร้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาที่ฉายออกมาอย่างชัดเจน
“เ้าดีใจอะไรเล่า? เมื่อวานเก็บทองแท่งได้หรือไร?” หลี่ฉางสือถามพร้อมกับหัวเราะฮิๆ ความสัมพันธ์ของเขากับซินเป่านั้นถือว่าดี อายุไล่เลี่ยกัน พวกเขาต่างมาจากครอบครัวที่ยากจนเหมือนกัน ต่างก็ทำงานอยู่กับหลี่ลั่วที่นี่ และซินเป่าก็เป็คนที่คล่องแคล่วฉลาดเฉลียว ทำให้ผู้อื่นมีความสุข
“อีกสักครู่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าจะมาถึง ข้าไม่ได้พบหน้าพวกเขามาเป็เวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว” ซินเป่าตอบ “ข้ายังมีน้องสาวอยู่อีกคนหนึ่ง นางเป็น้องสาวที่น่ารักและงดงามมากๆ” ซินเป่าเป็พี่ชายที่รักน้องสาวมาก
“น้องสาวมีอะไรดีเล่า? อ่อนแอบอบบาง ยุ่งยากจะตายไป” เขาไม่มีน้องสาวแท้ๆ แต่เขามีญาติผู้น้องที่เป็ผู้หญิง ทุกปีครอบครัวนั้นจะมาพักที่บ้านพวกเขาระยะหนึ่ง ยุ่งยากวุ่นวายจะตายไป
“เช่นซินเป่านั้นเรียกได้ว่ามีน้องสาวหมื่นเื่พึงใจ” หลี่ลั่วผลักประตูออกมา
ซินเป่ารีบยกอ่างน้ำร้อนเข้าไปปรนนิบัติหลี่ลั่วล้างหน้าพร้อมกับถามว่า “โหวเหฺย มีน้องสาวหมื่นเื่พึงใจ ถือเป็สุภาษิตด้วยหรือไม่ขอรับ”
“...เป็ลั่วอวี่” หลี่ลั่วกล่าว
“ลั่วอวี่หรือ?” ผิงอันมาแล้ว “ไฉนบ่าวจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเ้าคะ?”
“ฮ่าๆๆ...” หลี่ลั่วหัวเราะจนปวดท้อง “โหวเหฺยของพวกเ้าคิดออกมาน่ะสิ ไม่ใช่ลั่วอวี่หรอกหรือไร? ลั่วอวี่[1]ของหลี่ลั่ว”
ผิงอันหน้าแดง นางถูกเสี่ยวโหวเหฺยหยอกเล่นอีกแล้ว
หลังจากหลี่ลั่วล้างหน้าบ้วนปากแล้วจึงไปนั่งท่านั่งม้าและออกหมัด ขณะที่นั่งท่านั่งม้านั้นหลี่ลั่วปฏิบัติอย่างตั้งอกตั้งใจและถูกต้อง หลังของเขายืดตรง เหงื่อบนใบหน้าไหลเป็สายน้ำไม่มีบ่นสักคำว่าเหนื่อย เวลาออกหมัดแม้ว่าเขาจะตัวเล็ก แต่หมัดที่เขาปล่อยออกมานั้นมีพละกำลังยิ่งนัก
ซินเป่าบ่นพึมพำตลอดเวลาว่าเหนื่อยยากลำบากแต่ก็ยังติดตามฝึกยุทธ์กับหลี่ลั่ว
จนกระทั่งเกือบจะเก้าโมง ลูกชายและลูกสะใภ้ของซินหมัวมัวก็มาถึง
“เสี่ยวโหวเหฺย ครอบครัวของลูกชายและสะใภ้ของบ่าวมาถึงแล้วเ้าค่ะ” ซินหมัวหมัวเห็นลูกชายและสะใภ้กลับมาแล้วจึงยินดียิ่งนัก รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้า หลี่ลั่วเห็นแล้วก็ยิ้มตามไปด้วย “ซินเผิง สะใภ้ ซินเล่อ รีบมาคารวะเสี่ยวโหวเหฺยเร็วเข้า”
“คารวะเสี่ยวโหวเหฺยขอรับ” ซินเผิงมีรูปร่างไม่สูงนักและออกจะค่อนข้างผอม ภรรยาของซินเผิงกลับหน้าตาดีพอใช้ได้ ส่วนซินเล่ออายุยังน้อย ดูแล้วมีอายุมากกว่าหลี่ลั่วไม่มาก
“ลุกขึ้นเถอะ ผิงอัน ไปหยิบของเล่นมาให้ซินเล่อ” หลี่ลั่วสั่ง
“เ้าค่ะ”
“ซินเล่อ รีบขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺยเสียสิ”
“บ่าวซินเล่อขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺยเ้าค่ะ” สายตาของซินเล่อเป็ประกายวาววับ ยามคารวะเสี่ยวโหวเหฺยยังแอบๆ เงยหน้าขึ้นมามองหลี่ลั่ว เมื่อเห็นว่าหลี่ลั่วมองตนอยู่เช่นกันก็รีบก้มหน้าลงโดยพลันพร้อมกับยิ้มบางๆ
เป็แม่นางน้อยที่น่ารักคนหนึ่ง
ผิงอันหยิบถุงเงินเล็กๆ ใบหนึ่งมามอบให้ซินเล่อ ในถุงเงินนั้นมีเงินเล็กน้อยสำหรับนำมาเป็ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่เป็ของขวัญพบหน้าที่หลี่ลั่วได้มาเมื่อไปพบกับผู้ใหญ่ เขาจึงให้ผิงอันเก็บเอาไว้ ทั้งยังสามารถนำมาเป็สิ่งของมอบให้ผู้อื่นได้อีกด้วย
“ซินเป่า เ้าพาน้องสาวของเ้าออกไปเล่นเถิด” หลี่ลั่วสั่งความ
“ขอรับ” ซินเป่าอุ้มซินเล่อขึ้นมา ก่อนออกไปนั้นดวงตาของซินเล่อยังจับจ้องอยู่ที่หลี่ลั่วอยู่เลย นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้พบกับคุณชายที่มีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ และเขายังให้ถุงเงินสวยงามแก่นางอีกด้วย
ในห้องจึงเหลือเพียงซินหมัวมัว ซินเผิง และภรรยาซินเผิง
“มาตรฐานการใช้คนของข้า คือขอเพียงแค่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี” หลี่ลั่วกล่าว “ข้าอนุญาตให้พวกเ้ามีความคิดเป็ของตนเองได้ อย่างเช่น มีความโลภได้บ้างเล็กน้อย มีความเห็นแก่ตัวได้บ้างนิดหน่อย แต่ทั้งความโลภและความเห็นแก่ตัวเหล่านี้จะต้องไม่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของข้า แน่นอนว่าความซื่อสัตย์จงรักภักดีของพวกเ้าข้าย่อมมีสิ่งตอบแทนให้...นั่นคือข้าจะอบรมสั่งสอนซินเป่า”
สำหรับผู้ที่เป็พ่อแม่แล้วนั้น การอบรมสั่งสอนบุตรชาย จึงจะเป็เื่สำคัญที่สุด
“บ่าวไม่กล้าขอร้องให้โหวเหฺยอบรมสั่งสอนซินเป่าหรอกขอรับ” ซินเผิงพูดขึ้น เขาเป็ผู้นำครอบครัวเพียงคนเดียว “แต่บ่าวจะยกชีวิตให้กับโหวเหฺยขอรับ”
“ไม่ ข้าไม่้าชีวิตของพวกเ้า” หลี่ลั่วยิ้มบางๆ “ข้าก็ไม่ใช่คนประเภทฆ่าคนวางเพลิง ฉวยโอกาสยามผู้อื่นเดือดร้อน ข้าจะเอาชีวิตของพวกเ้ามาทำอันใดกัน”
“ล้วนแต่ฟังโหวเหฺยสั่งความทั้งสิ้นเ้าค่ะ” ภรรยาซินเผิงตอบคำ
“เช่นนั้นเริ่มจากเ้าก็แล้วกัน” หลี่ลั่วพูดกับภรรยาซินเผิง “พี่หญิงใหญ่หลี่หลินของข้า ก่อนหน้านี้พวกเ้าก็อยู่ในหมู่บ้าน แต่อยู่ในฐานะของครอบครัวที่ติดตามมารดาใหญ่เมื่อครั้งออกเรือนมา เื่บางเื่ของจวนโหวพวกเ้าก็ค่อนข้างกระจ่างแจ้ง แม่นมของพี่หญิงใหญ่ล้มป่วยลง ยามนี้ในเรือนของนางขาดหมัวมัวผู้ดูแลเรือน ข้าจะให้เ้าไปอยู่ที่นั่นก่อน งานของเ้าเพียงอย่างเดียวก็คือจงรักภักดีต่อนาง รอจนกระทั่งแม่นมของนางกลับมา หรือมารดาใหญ่จัดหาหมัวมัวผู้ดูแลเรือนคนใหม่มาให้นาง”
“ถ้าเช่นนั้น...”
“เื่ของนางไม่ต้องมารายงานต่อข้า ข้าและนางไม่มีผลประโยชน์อันใดระหว่างกัน” ไม่ต้องให้ภรรยาซินเผิงเอ่ยปาก หลี่ลั่วก็รู้ว่านาง้าถามอันใด
“บ่าวทราบแล้วเ้าค่ะ โหวเหฺยโปรดวางใจ” นางตระหนักในใจ มารดาสามีพูดถูกต้อง เสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้แม้จะอายุยังน้อย แต่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย
“ยังมีอีกเื่หนึ่งก็คือพี่หญิงใหญ่ของข้ามีนิสัยค่อนข้างเงียบขรึม พูดให้ไม่น่าฟังอีกสักหน่อยก็คือค่อนข้างอ่อนแอเปราะบาง บ่าวรับใช้ในเรือนของนางก็มีนิสัยคล้ายคลึงกับนาง ทว่าข้าไม่ชอบให้ท่านแข็งกร้าวจนไปอยู่บนหัวนาง” หลี่ลั่วกล่าว
ภรรยาซินเผิงคุกเข่าลง “บ่าวไม่กล้าเ้าค่ะ”
“ลุกขึ้น” หลี่ลั่วยกมือขึ้น “เ้าสามารถแข็งแกร่งได้เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา หากการกระทำของนางนั้นไม่ถูกต้อง เ้าสามารถค่อยๆ วิเคราะห์ให้นางฟัง หากนางยังคงยืนยันที่จะทำเช่นนั้น เช่นนั้นก็ให้ตามใจนางเถิด เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
“บ่าวเข้าใจแล้วเ้าค่ะ”
หลี่ลั่วพยักหน้า แล้วหันไปทางซินเผิง “ข้ามีหมู่บ้านส่วนตัวอยู่แห่งหนึ่ง อยู่ชานเมืองทางเหนือ ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับจวนโหว หมู่บ้านนี้ข้าเพิ่งซื้อมาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ยังไม่มีผู้ดูแล ข้าอยากจะให้คนที่ข้าสามารถไว้ใจได้ไปดูแลที่นั่น”
เมื่อตอนที่อยู่หมู่บ้านเดิมนั้น แม้ว่าซินเผิงจะเป็ผู้ดูแลเช่นกัน แต่ก็เป็ผู้ดูแลหมู่บ้านของหลี่หยางซื่อ เทียบกับการเป็ผู้ดูแลของโหวเหฺยแล้ว เส้นทางในอนาคตย่อมไม่เหมือนกัน
“ล้วนฟังโหวเหฺยสั่งความขอรับ”
“ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับประเภทของหมู่บ้านก่อน ข้าซื้อที่นาร้อยห้าสิบหมู่เพื่อนำมาปลูกพืชผลทางการเกษตร ในหมู่บ้านก็ได้แบ่งที่ดินบางส่วนมาปลูกผัก ยามนี้ได้ลงนามหนังสือสัญญาขายตัวซือหนงผู้หนึ่งมาดูแลงานในส่วนนี้ให้ข้าแล้ว ซือหนงดูแลจัดการเื่เ่าั้ ดังนั้นเื่อื่นในหมู่บ้านเ้าต้องเป็ผู้ดูแลจัดการ อย่างเช่น ที่นาหรือทางหมู่บ้าน้าคนงาน เวลานี้ที่นั่นมีสาวใช้รุ่นใหญ่ของข้าคนหนึ่งชื่อว่าหยวนโม่ หลังจากที่เ้าไปถึงแล้วได้ส่งมอบหน้าที่กันนางก็จะกลับมา ก่อนหน้านี้ข้าได้ทิ้งสาวใช้แรงงานไว้ที่นั่นสี่คน และบ่าวรับใช้ชายอีกสี่คน หนึ่งในบ่าวรับใช้ชายที่ชื่อว่าฟู่เฉียงนั้น เ้าคัดเลือกเขามาเป็ผู้ช่วยของเ้าได้ เขาเป็คนจากหมู่บ้านใกล้เคียง มีความเข้าใจในเื่ราวละแวกนั้นทั้งในเื่สภาพที่ดินและชาวบ้านเป็อย่างดี ซือหนงท่านนั้นก็เป็คนหมู่บ้านเดียวกันกับฟู่เฉียง” หลี่ลั่วอธิบาย
การคัดเลือกคนในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงมาเป็ผู้ช่วยย่อมมีประโยชน์และช่วยซินเผิงได้อย่างมหาศาล อย่างเช่น หากอยู่ในฤดูที่งานในไร่นามีล้นมือ้าคนงานมาเพิ่ม ฟู่เฉียงย่อมหาคนมาให้ได้อย่างสะดวก
“ขอบคุณนายท่านที่จัดการให้ขอรับ บ่าวจะไม่ทำให้ผิดหวัง” ซินเป่าคุกเข่าลง การเรียกขานโหวเหฺยกับเรียกขานนายท่านนั้นเป็ความภักดีสองประเภท โหวเหฺยนั้นเป็ของจวนโหว ส่วนนายท่านคือตัวของหลี่ลั่วเอง ความหมายของซินเผิงวันนี้ก็คือ เขาจะซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อหลี่ลั่วเพียงผู้เดียว
เป็คนที่เฉลียวฉลาด มุมปากของหลี่ลั่วมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา มิน่าเล่าถึงมีลูกชายที่คล่องแคล่วอย่างซินเป่า
แน่นอนว่าในเมื่อเป็หมัวมัวที่ถูกเลือกให้ย้ายมาพร้อมกับการออกเรือนของหลี่หยางซื่อ จะไม่มีสติปัญญาได้เช่นใดกัน? โดยเฉพาะสถานการณ์ในครอบครัวสกุลหลี่ หยางเหล่าฮูหยินจะวางใจให้บุตรสาวแต่งออกมาได้อย่างไรกันเล่า?
หลังอาหารเที่ยง ซินเป่าก็นำทางซินเผิงออกเดินทางไปยังหมู่บ้าน ส่วนภรรยาซินเผิงถูกหลี่ลั่วจัดให้ไปอยู่ในเรือนของหลี่หลิน สำหรับการจัดการของน้องชาย หลี่หลินไม่มีความเห็นอันใด
เมื่อวานหลี่ลั่วได้บอกกับหลี่เหล่าไท่เหฺยและหลี่เหล่าไท่ไท่ว่าจะไปรับหลี่หยางซื่อ ทว่ามิได้รีบเร่งอันใด เมื่อถึงยามบ่ายเขาก็เรียกพ่อบ้านจี้ให้มาพบ “ครอบครัวสกุลหยวนย้ายออกไปแล้วหรือไม่?”
“ยังคงกำลังจัดกระเป๋าสัมภาระอยู่ขอรับ” พ่อบ้านจี้รายงาน “เหล่าไท่เหฺยหลังประชุมเสร็จได้กลับมาครั้งหนึ่ง ยามที่กลับมานั้นสีหน้าไม่ดีเป็อย่างยิ่ง จากนั้นครอบครัวสกุลหยวนก็เริ่มเก็บสัมภาระขอรับ”
“อ้อ?” หลี่ลั่วหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง ประชุมเสร็จกลับมาด้วยสีหน้าไม่ดี เช่นนั้นก็แสดงว่าการประชุมเช้าในวันนี้คงเกิดเื่บางอย่างขึ้น “ไม่ต้องไปสนใจเขา เปลี่ยนยามรักษาการณ์หน้าประตู หรืออาจจะบอกพวกเขาว่า นี่เป็ประตูใหญ่ของจวนโหว ้ายามรักษาการณ์ที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดี”
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ”
หลี่หงกลับมาถึงจวนโหวในยามบ่าย เขายังไม่รู้เื่ราวที่เกิดขึ้นในจวนโหว ทันทีที่เขากลับมาถึงจวน เสี่ยวหยวนที่ปรนนิบัติในเรือนของเขาก็รายงานเื่ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง เสี่ยวหยวนกับเสี่ยวฟางเป็พี่น้องกัน คนหนึ่งชื่อ หยวน (กลม) คนหนึ่งชื่อ ฟาง (สี่เหลี่ยม)