“ทำไมคุณถึงลงมือโเี้ขนาดนี้ ถ้าตีจนแข้งขาหักไปจะทำยังไง! แกเป็ลูกสาวแท้ๆ ของคุณนะ! ฉันเหนื่อยเก็บอึเก็บฉี่แกมาจนโต
ถึงคุณจะไม่รัก แต่ฉันรัก! หากแกเป็อะไรขึ้นมา
ฉันจะไม่ขออยู่แล้ว!”
“ฉันจะตีแกอยู่ดี! แกสมควรโดน! เธอยังมีหน้ามาพูดอีก ดูสิ
เธอคลอดตัวอะไรออกมา ชอบเอาชนะั้แ่เล็กยันโต วันๆ เอาแต่ชักสีหน้า
เหมือนทุกคนทำผิดต่อแก มาคราวนี้ยังเนรคุณมารดา! เด็กสกุลเฝิงคนนั้นไม่ดีตรงไหน
รอแกแต่งงานด้วยมาจนอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว! แถมยังเป็ทหารอีก ฉันว่านะถ้าไม่ใช่เพราะมีสัญญาหมั้นหมายในอดีต
ยัยนั่นไม่คู่ควรกับคนแบบเขาหรอก! แกกล้ารังเกียจไม่พอ
แล้วยังกล้าแอบไปมีคนอื่นในอำเภออีก? นังลูกไม่รักดี! ถ้าแกไม่เลิกกับไอ้เด็กเวรแซ่หลินนั่น ฉันจะตีแกจนตาย!”
เจิ้งหยวนยังไม่ได้สติเต็มที่ เธอได้ยินเสียงชายหญิงคู่หนึ่งมีปากเสียงกัน หญิงสาวร่ำไห้สะอึกสะอื้น ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนกลับด่าทอ แม้ว่าเริ่มแรกจะฟังไม่ชัดเท่าไรนัก แต่เมื่อเสียงนั้นค่อยๆ ดังขึ้น ส่งผลให้คนฟังคิดเข้าข้างว่าตัวเองว่าเป็เสียงของบิดามารดา หลายปีแล้วที่เธอไม่ได้ยินเสียงของผู้เป็พ่อแม่ นับั้แ่ที่เธอหนีออกจากบ้านไปแต่งงานกับหลินเสี่ยวหยาง เธอก็ไม่เคยพบพ่อกับแม่อีกเลย คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้เธอจะได้ยินเสียงพ่อแม่ในความฝัน ช่างดีเหลือเกิน เธอคิดในใจ
ขนตาหล่อนสั่นไหว หยาดน้ำตากลิ้งกลอกลงมาจากปลายหางตา
“เธอห้ามส่งข้าวให้แก ได้ยินไหม? ปล่อยให้แกหิวไป
ฉันอยากเห็นนักหนาว่าจะทนหิวได้สักกี่วัน! ถ้าแกสำนึกผิด ว่าง่ายยอมแต่งงานค่อยปล่อยแกออกมาแล้วกัน”
“คุณคะ ขังก็ส่วนขังสิ จะปล่อยแกหิวได้อย่างไร? ถ้าหิวจนทนไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังไง?คุณก็รู้ว่าลูกคนนี้อารมณ์ร้ายหัวแข็งมาั้แ่เด็ก
แล้วคุณยังตีแกยกใหญ่ขนาดนี้ แกจะยอมรับผิดเหรอ?” น้ำเสียงของเฉินชุ่ยอวิ๋นเต็มไปด้วยความจนปัญญา เธอถอนหายใจ “ฉันว่านะ
เื่แต่งงานกับสกุลเฝิงก็ช่างมันเถอะ มีคำกล่าวว่า
แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน ลูกชอบคนแซ่หลินก็ปล่อยให้แกแต่งไปเถอะ อย่างน้อยๆ
คนในอำเภอคนนั้นก็ไม่ได้แย่นักหรอก…”
“ไม่ได้!” ยังไม่ทันที่เฉินชุ่ยอวิ๋นจะพูดจบก็ถูกเจิ้งเฉวียนกังขัดเสียก่อน
เขาประกาศก้อง “บ้านเราไม่ใช่พวกลืมบุญคุณคน! ปีนั้นข้าวยากหมากแพง หากไม่ได้คนสกุลเฝิงให้เสบียงอาหาร
วันนี้ลูกยังจะมีลมหายใจมาทะเลาะกับฉันเหรอ? คนเขารอลูกมาหลายปีจนถึงวัยที่เหมาะสม
แต่เธอกลับบอกว่าจะไม่แต่ง? นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน
ไม่ว่าจะยังไงการแต่งงานคราวนี้ก็ต้องเกิดขึ้น!”
เสียงของเจิ้งเฉวียนกังดังลั่น ราวกับะโอยู่เหนือหัวเจิ้งหยวนจนหล่อนรู้สึกเหมือนแก้วหูะเืเสียงดังอื้ออึง แต่เธอได้ยินชัดทุกถ้อยทุกคำ เหตุใดฝันถึงเหมือนจริงขนาดนี้เล่า? หรือว่าเื่ที่โดนเจิ้นเฉวียนกังตีจะทิ้งาแฝังลึกในใจมากเกินไป เธอเลยจำสิ่งที่พ่อพูดได้หมดแม้กระทั่งในความฝัน?
เจิ้งหยวนขยับตัว ร่างกายคล้ายถูกตีมา รอยต่อกระดูกล้วนเจ็บแปลบ เธออ้าปากพะงาบร้องออกมาเบาๆ “ซี้ด...”
ไม่สิ นี่เหมือนไม่ใช่ความฝัน ทันทีที่เจิ้งหยวนลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือหลังคาดินสกปรก ด้วยความใ เธอจึงค่อยๆ เลื่อนสายตาลงทีละน้อย ตู้เสื้อผ้ามีขอบโลหะสูงพลันลอยเข้าตา โลหะขึ้นสนิมจนดำด่าง บนหลังตู้มีกล่องบางอย่างวางไว้ มันคือกล่องสินสมรสที่เฉินชุ่ยอวิ๋นผู้เป็แม่ของเธอนำติดตัวมาด้วยตอนแต่งเข้า ข้างตู้มีโต๊ะตัวหนึ่งที่กลายเป็สีดำไปแล้วบ่งบอกถึงความเก่าแก่ไม่ต่างกับเครื่องเรือนรอบข้าง ข้างบนโต๊ะตัวนั้นมีตะเกียงน้ำมันก๊าดดวงหนึ่ง กล่องแฮนด์ครีม ตลับหอย รวมทั้งกระจกบานเล็กวางไว้ กระจกบานนั้นเป็สินติดตัวเ้าสาวของพี่สะใภ้ที่เธอมักหยิบมาใช้ในห้องตนเอง ส่วนผนังข้างเตียงติดหนังสือพิมพ์เก่าๆ สองแผ่น บนนั้นเขียนว่า ‘ขับเคลื่อนในเชิงลึกและกว้างขวางเพื่อสนับสนุนรัฐบาล รักประชาชน เสริมสร้างความสามัคคีระหว่างทหารกับประชาชนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น’ เด่นหรา ส่วนอีกแผ่นมีเขียนว่า ‘เรียนรู้การเกษตรจากหมู่บ้านต้าจ้าย’ เหนือหนังสือพิมพ์มีภาพท่านประธานเหมาติดไว้
เจิ้งหยวนคุ้นเคยกับฉากนี้มากเสียจนกระบอกตาร้อนผ่าว สะอื้นไห้ในลำคอ จะไม่คุ้นได้อย่างไร? ในเมื่อเธออยู่ในห้องนี้มาตั้งสิบกว่าปี!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้