ชิวลู่หลิวชะงักรอยยิ้มขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวว่า “ว่ากระไร? คนผู้นั้นคือนายน้อยตระกูลจาง? หากเป็เช่นนั้นย่อมยุ่งยากไม่น้อยแล้ว...”
“แต่พวกเราไม่ได้กระทำอันใดผิด ต่อให้จางเจิ้นซานประมุขตระกูลจางเสาะหาพวกเรา สำนักธารน้ำแข็งของมันมีอันใดวิเศษ? สำนักหลิวขจีเราไม่มีอันใดต้องเกรงกลัวพวกมัน!” ชิวลู่หลิวเพียงขมวดคิ้วคราเดียว หลังจากใคร่ครวญชั่วครู่จึงกล่าวอย่างไม่แยแส “มิหนำซ้ำจางหยางผู้นั้นกลับหมายข่มเหงศิษย์น้องข้า ยังดีที่นางไร้อันตราย ไม่เช่นนั้นต่อให้ท่านไม่ลงมือสังหารข้าก็ไม่ละเว้นมัน!”
“จริงสิ เมื่อกล่าวถึงเื่นี้ ข้ายังมิได้ขอบคุณท่านที่ช่วยศิษย์น้องเอาไว้ เพื่อหาเบาะแสข้าต้องเสียเวลามากมาย หากท่านไม่ปรากฏตัวคงมีแต่์ที่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นก่อนข้าไปถึง” ราวกับนางไม่เห็นตระกูลจางและสำนักธารน้ำแข็งเื้ัพวกมันอยู่ในสายตา นางกล่าวถึงเื่นี้เพียงไม่กี่ประโยคอย่างปลอดโปร่งก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็การขอบคุณไป๋หยุนเฟย
“เมื่อท่านมีหนทางจัดการเื่นี้ ข้าจะไม่กล่าวย้ำอีก และท่านไม่จำเป็ต้องขอบคุณข้า แม้เดิมทีข้าไปเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้องท่าน แต่เมื่อทราบว่าผู้มาคือจางหยางนี่กลับเป็การล้างแค้นส่วนตัว ข้าไม่อาจกล่าวอ้างบุญคุณนี้ได้” ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะกล่าวอย่างกระดาก
“นั่น... นั่นกลับไม่จริง หากท่านไม่ปรากฏกาย คนชั่วนั้นต้องขึ้นมาชั้นบนก่อนแล้ว ชั่วเวลาราวหนึ่งก้านธูปให้หลังศิษย์พี่ค่อยมาถึง หากไม่ใช่ท่าน ข้าคงถูก... ข้า ข้าสำนึกบุญคุณที่ท่านช่วยข้าเอาไว้อย่างยิ่ง...”
น้ำเสียงเขินอายจากด้านหลังชิวลู่หลิวกลับเป็หญิงสาวนามฉู่อวี้เหอกล่าววาจา นางรวบรวมความกล้าชะโงกหน้าออกมาคารวะไป๋หยุนเฟย ด้วยน้ำเสียงอันไพเราะของนาง
นางอายุราวสิบหกปี สูงราวห้าเชียะแต่งกายด้วยชุดสีเขียวสดใสทั้งร่าง ผมยาวสลวยปล่อยระแก้มทั้งสองข้างปิดบังใบหน้ารำไร ผิวกายนางเปล่งปลั่งด้วยเืฝาด นางใช้ดวงตากลมโตมองดูไป๋หยุนเฟยอย่างขวยเขิน ท่าทางนางน่ารักยิ่งนัก
“เอ่อ... แม่นาง ท่านไม่จำเป็ต้องขอบคุณ ข้าเพียงฆ่าจางหยางเพื่อแก้แค้น แม้จะช่วยท่านไว้ก็นับได้ว่าเป็เื่บังเอิญ... เอ่อ ข้าหมายถึง เป็เกียรติที่ได้ช่วยท่านไว้โดยบังเอิญ... อา ข้าจะกล่าวว่าท่านไม่ต้องจดจำใส่ใจ...” ไป๋หยุนเฟยกล่าวพลางโบกมือแ่เบา มันกลับรู้สึกกระสับกระส่ายยามถูกสายตาขวยเขินของนางจ้องมอง
“คิก...” ฉู่อวี้เหออดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมายามที่ได้ยินไป๋หยุนเฟยกล่าวตะกุกตะกักโบกมือขณะที่ใบหน้ายิ้มอย่างโง่งม จากนั้นนางรีบปิดปากและซ่อนร่างด้านหลังชิงลู่หลิวอีกครา ทั้งใบหน้านางเปลี่ยนเป็แดงก่ำด้วยความเขินอาย
ชิวลู่หลิวก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาเช่นกัน “ฮ่า ฮ่า... คุณชาย ไม่นึกว่าท่านก็สามารถแสดงท่าทีดั่งคนทั่วไปเช่นนี้ได้”
“เอ่อ...” ไป๋หยุนเฟยอับอายไม่น้อย อันที่จริงเมื่อฉู่อวี้เหอขอบคุณมัน ความคิดว่า‘พลีกายแทนคุณ’ก็ปรากฏวาบในจิตใจ แม้แต่มันก็ยังแตกตื่นต่อความคิดตนเอง มันไม่ทราบว่าไฉนจึงมีความคิด‘ผิดศีลธรรม’เช่นนี้ ด้วยความละอายต่อมโนธรรมจึงทำให้มันกล่าวตะกุกตะกัก
ไป๋หยุนเฟยกระแอมไอสองสามคราเพื่อคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน จากนั้นจึงกล่าววาจาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “แม่นาง ข้าอยากหารือบางอย่างกับพวกท่าน หวังว่าพวกท่านจะให้ความกระจ่างแก่ข้าได้”
“โอ? ท่าน้าทราบอันใด? บอกมาเถอะ ท่าน้าทราบว่าศิษย์น้องข้าอายุเท่าใด ออกเรือนแล้วหรือไม่กระมัง?” ชิวลู่หลิวยังคงหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ ท่าน...” ฉู่อวี้เหอที่ด้านหลังพลันกระตุกชายเสื้อประท้วงศิษย์พี่นางด้วยท่าทีอันน่ารัก
“เอ่อ... อืม แม่นางชิวลู่หลิว ข้าเพียงอยากทราบเื่ราวของสำนักช่างประดิษฐ์ ว่าเป็สำนักเช่นไร? และตั้งอยู่ที่ใด?”
“โอ? เช่นนั้นท่านก็ไม่ได้มาจากสำนักช่างประดิษฐ์? มิหนำซ้ำท่านยังไม่ทราบอันใดเกี่ยวกับสำนักนี้แม้แต่น้อย?” ชิวลู่หลิวถามอย่างสงสัยโดยไม่มีท่าทีล้อเล่นอีก
“ข้าไม่ได้เป็ศิษย์สำนักใด เพียงเคยพบพานและได้รับเคล็ดฝึกปรือิญญาจากผู้าุโสำนักชะตาลิขิต ทว่าข้ากลับไม่ได้เข้าเป็ศิษย์ของสำนัก” ไป๋หยุนเฟยกล่าวอธิบาย
“ว่ากระไร? สำนักชะตาลิขิต?!” ชิวลู่หลิวร่ำร้องเสียงค่อย สีหน้ากังขาของนางแปรเปลี่ยนเป็ประหลาดใจยิ่ง
“โอ มีอันใด? หรือว่าสำนักชะตาลิขิตโด่งดังอย่างยิ่ง?” ยามนี้กลับเป็ไป๋หยุนเฟยที่ถามอย่างลังเล
“โด่งดังอย่างยิ่ง? ไม่เพียงแค่คำว่า‘อย่างยิ่ง’ ข้าคิดว่าท่านคงเป็หนึ่งในผู้ฝึกปรือิญญาไม่กี่คนในแผ่นดินิญญา์ที่ไม่รู้จักสำนักชะตาลิขิต” เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของไป๋หยุนเฟย ชิวลู่หลิวจึงกล่าวต่อด้วยท่าทีท้อแท้อยู่บ้าง “สำนักชะตาลิขิตแม้ไม่ได้เป็หนึ่งในสิบสำนักใหญ่แต่ก็มีฐานะเทียบเทียมกัน สำนักชะตาลิขิตเชื่อถือในโชคชะตาและมุ่งความสนใจต่อมติแห่ง์ เคล็ดฝึกปรือิญญาของสำนักก็แปลกพิสดาร ตามตำนานเล่าขาน ผู้คนของสำนักจะใช้ิญญาของตนเพื่อหยั่งรู้มติแห่ง์และใช้‘ิญญาชะตา’นี้เพื่อค้นหาหนทางแห่งโชคชะตา ดังนั้นพวกมันจึงสามารถล่วงรู้อดีตหยั่งรู้อนาคตได้”
“สำนักทั้งหลายถือว่าเป็เกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการชี้นำจากสำนักชะตาลิขิต ทุกคราที่พวกมันเผชิญภัยพิบัติล้วนคาดหวังว่าสำนักชะตาลิขิตจะชี้นำหนทางให้ มิหนำซ้ำทุกสำนักที่ได้รับความช่วยเหลือจากสำนักชะตาลิขิตท้ายที่สุดล้วนสามารถกลับร้ายกลายเป็ดีได้”
ไป๋หยุนเฟยซึมซับข้อมูลที่เข้าหู มันไม่คาดคิดว่าสำนักชะตาลิขิตจะมีความสำคัญถึงเพียงนี้
“เมื่อท่านได้รับการชี้แนะจากผู้าุโสำนักชะตาลิขิต ท่านคงร่ำเรียนเคล็ดวิชาหยั่งรู้อนาคตมากระมัง?” ชิวลู่หลิวมองดูไป๋หยุนเฟยด้วยแววตาเป็ประกาย
“เอ่อ... ข้าต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว ผู้าุโท่านนั้นเพียงชี้แนะเคล็ดฝึกปรือิญญาขั้นพื้นฐานและมอบแหวนช่องมิติกับวัตถุิญญาไม่กี่ชิ้นแก่ข้าเท่านั้น หาได้มีเคล็ดวิชาลึกลับที่ท่านกล่าวถึงไม่”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว...” ชิวลู่หลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “นั่นก็ใช่แล้ว จะให้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเร้นลับของสำนักชะตาลิขิตแก่คนนอกได้อย่างไร? คาดว่าผู้าุโจากสำนักชะตาลิขิตที่ท่องไปทั่วแผ่นดินคงพบว่าตนเองและคุณชายมีวาสนาต่อกัน จึงมอบโอกาสเปลี่ยนชะตาชีวิตใหม่แก่ท่าน เหตุการณ์เช่นนี้กลับเกิดขึ้นในทวีปิญญา์หลายครั้งหลายคราแล้ว”
“เพราะมีวาสนาต่อกัน?...” ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดถึงคำพูดของชายชราจากสำนักชะตาลิขิตคืนนั้นก็ลอบฝืนยิ้มในใจ ยามนี้มันทราบแล้วว่าตนเองติดค้างหนี้บุญคุณต่อสำนักชะตาลิขิตมากมายนัก
“แล้วสำนักช่างประดิษฐ์เป็หนึ่งในสิบสำนักใหญ่ที่ท่านกล่าวถึงหรือไม่? อะไรคือสิบสำนักใหญ่? โปรดบอกเล่าเื่ราวของสำนักช่างประดิษฐ์แก่ข้าด้วยเถอะแม่นางชิว” ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดชั่วขณะจึงสอบถามต่อ
“ดูเหมือนท่านจะไม่ทราบอันใดจริงๆ?” ชิวลู่หลิวอดไม่ได้ต้องส่ายศีรษะและเริ่มอธิบายเื่ราวประหนึ่งสอนหนังสือทารก “สิบสำนักใหญ่ได้แก่ สำนักิญญา์ สำนักช่างประดิษฐ์ สำนักหลอมิญญา สำนักจ้าวอสูร สำนักวายุอัสนีและสำนักเบญจธาตุ”
“สำหรับสำนักเบญจธาตุนั้นไม่ใช่ชื่อของเพียงสำนักเดียว แต่กลับเป็ชื่อรวมของห้าสำนักอันประกอบด้วย ธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟและธาตุดิน เมื่อบรรลุถึงด่านภูติญญาท่านจะสามารถควบคุมพลังธาตุในธรรมชาติได้ ผู้ฝึกปรือิญญาทั้งหลายมักจะผูกพันธะกับหนึ่งในธาตุทั้งห้าจึงทำให้สำนักทั้งห้าธาตุมีศิษย์มากมายยิ่ง แต่ห้าสำนักที่เหลือก็มีศิษย์จำนวนไม่น้อยเช่นกัน อันที่จริงหากนับเพียงเฉพาะสำนักแต่ละธาตุกลับด้อยกว่าห้าสำนักใหญ่อื่นๆไม่น้อย สถานะพวกมันเพียงเหนือกว่าสำนักที่ระดับรองจากสิบสำนักใหญ่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“ทั้งห้าสำนักจึงรวมตัวกันประหนึ่งนกที่ขนเหมือนกันย่อมอยู่รวมกัน สำนักเหล่านี้ร่วมมือกระทำการร่วมกันั้แ่เริ่มก่อตั้ง จึงเป็ที่เหตุให้พวกมันถูกนับรวมในสิบสำนักใหญ่ร่วมกัน แน่นอนว่าท่านสามารถนับทั้งห้าเป็หนึ่งสำนักได้ แต่ท่านต้องเรียก‘หกสำนักใหญ่’แทนที่จะเป็‘สิบสำนักใหญ่’”
“สำนักวายุอัสนีมีเคล็ดวิชาที่อาศัยพลังจากลมและสายฟ้าในการฝึกปรือ พวกมันมักขัดแย้งกับสำนักเบญจธาตุ เพราะคราหนึ่งเกิดการต่อสู้กับสำนักธาตุน้ำและเอาชนะได้ อีกสี่สำนักธาตุที่เหลือจึงยกกำลังมาโจมตี สร้างความเสียหายแก่สำนักวายุอัสนีอย่างใหญ่หลวง ทั้งสองฝ่ายจึงอาฆาตแค้นกันและกันั้แ่นั้น เมื่อใดที่ศิษย์พวกมันเผชิญหน้ากันต้องต่อยตีกันแทบทุกครา”
“สำนักเ้าสัตว์อสูรเป็สำนักที่แปลกพิสดาร ผู้คนในสำนักแทบไม่เคยต่อสู้ด้วยตนเองแต่ควบคุมอสูริญญาใช้ต่อสู้แทน ผู้ฝึกปรือิญญาทั่วไปที่สามารถสร้างพันธะิญญากับอสูริญญาได้เพียงหนึ่งตัว แต่พวกมันกลับมีเคล็ดวิชาเร้นลับที่ช่วยให้สามารถควบคุมอสูริญญาโดยตรงพร้อมกันหลายตัวในคราเดียวประหนึ่งเชิดหุ่น นับว่าสำนักพวกมันเป็ศัตรูตัวฉกาจของเหล่าอสูริญญาก็ว่าได้ ตามคำร่ำลือกล่าวว่าอสูริญญาระดับแปดตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปในป่าอสูริญญาเคยนำกองทัพอสูริญญาเข้าโจมตีสำนักใหญ่ของสำนักจ้าวอสูรเพื่อปลดปล่อยอสูริญญาจากการถูกกดขี่ ทว่าพวกมันกลับต้องเผชิญกับอสูริญญาด้วยกันที่ถูกควบคุมให้ต่อสู้ ตามคำเล่าขานบอกว่าสำนักจ้าวอสูรถึงกับต้องพึ่งพาอสูริญญาระดับแปดของสำนักเข้าต่อสู้ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต้องประสบความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ข้าเองก็ไม่ทราบสถานการณ์อย่างกระจ่างนัก”
“สำนักหลอมิญญานั้น กลับไม่ได้หลอมิญญาของตนแต่เป็ิญญาของผู้อื่น! หากสำนักเ้าอสูรเป็ศัตรูตัวฉกาจของอสูริญญา สำนักหลอมิญญานี้ก็เป็ศัตรูตัวฉกาจของผู้ฝึกปรือิญญาทั้งหลาย! พวกมันทั้งสำนักล้วนเลวทรามต่ำช้า เคล็ดฝึกปรือิญญาของสำนักนับว่าประหลาดพิกลอย่างยิ่ง พวกมันดูดกลืนิญญาผู้อื่นเพื่อเสริมพลังของตน ผู้มีฝีมือร้ายกาจที่สุดในพวกมันยังสามารถหลอมิญญาผู้คนเพื่อดูดกลืนพลังจากแก่นิญญา! แม้ว่าโลกของผู้ฝึกปรือิญญาจะถือผู้เข้มแข็งเป็ฝ่ายถูกต้องและพูดคุยด้วยพลัง แต่สำนักหลอมิญญากลับถือเป็ฝ่ายอธรรมอันชั่วร้ายไม่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์ลงทัณฑ์!”
“สำนักิญญา์(เทียนหุน)มีนามเดียวกับแผ่นดินแห่งนี้ ด้วยเหตุผลเดียว --- สำนักิญญา์เป็สำนักของราชวงศ์แห่งอาณาจักรเทียนหุน! เมื่อก่อตั้งด้วยการสนับสนุนจากอาณาจักรย่อมคู่ควรที่จะเป็สำนักที่เข้มแข็งที่สุดในแผ่นดิน ในสำนักมากด้วยผู้มีความสามารถอีกทั้งผู้เปี่ยมพร์ที่สำเร็จวิชาจากสำนักก็มีมากมายต่อเนื่อง นับเป็สำนักในอุดมคติในสายตาของผู้ฝึกปรือิญญาทั่วไป เ้าสำนักของสำนักิญญา์คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน องค์จักรพรรดิอู่หง อีกทั้งกว่าครึ่งของข้าหลวงที่ปกครองทั้งสิบหกมณฑลของอาณาจักรก็มาจากสำนักแห่งนี้ กล่าวได้ว่าสำนักิญญา์เป็ผู้พิทักษ์ของอาณาจักรแห่งนี้ แม้จะไม่เคยเข้าร่วมแก่งแย่งชิงดีแต่ก็คอยตรวจสอบและถ่วงดุลย์อำนาจในแผ่นดินตลอดมา อีกทั้งด้วยกุศโลบายอันชาญฉลาดและอำนาจจัดการที่ถ่ายทอดผ่านองค์จักรพรรดิแต่ละรุ่น ความรุ่งเรืองกว่าสองพันปีของอาณาจักรต้องนับว่าสำนักิญญา์นี้มีส่วนสำคัญยิ่ง
“ความรุ่งเรือง กุศโลบายอันชาญฉลาด และอำนาจจัดการ?...” ไป๋หยุนเฟยเม้มปากด้วยท่าทีที่ไม่อาจสังเกตความในใจออกขณะครุ่นคิดถึงสิ่งที่รบกวนจิตใจตนเองนี้ “นี่กลับเป็เพียงความคิดฝ่ายเดียวของผู้มั่งมีและสุขสบาย นั่นเป็เพียงการคาดฝันของท่าน มีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ถึงความมืดมิดของสังคมและการดิ้นรนอันเ็ปของผู้ที่‘ต่ำต้อย’เ่าั้...”
ด้วยท่าทีของอาจารย์ผู้สอนสั่ง ชิวลู่หลิวราวกับน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นทุกทีที่กล่าววาจา อาจเพราะนางพบว่าท่าทีที่ไป๋หยุนเฟยรับฟังอย่างตั้งใจราวทารกในโอวาทช่างน่าขบขัน นางยกมุมปากหัวเราะเบาๆจากนั้นจึงกล่าวต่อ “ต่อไปข้าจะอธิบายถึงเื่ราวของสำนักช่างประดิษฐ์ที่ท่าน้าทราบที่สุด...”
