ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซียิ่งเ็ปก็คือเยี่ยโยวเหยาเห็นว่านางถูกนักเลงอันธพาลรังควานอยู่ตรงนี้ แต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้จักกันมาก่อนทำเพียงเดินผ่านหน้าซูจิ่นซีและจิ่วหรงไป
เมื่อมองเงาร่างสีขาวดำของเขาซูจิ่นซีก็รู้สึกเ็ปใจจนแทบจะหายใจไม่ออก
“อ้า สาวน้อยใกล้จะร้องไห้แล้ว มา ให้พี่ชายปลอบเ้าเสียหน่อย! ”
นักเลงอันธพาลเริ่มลวนลามซูจิ่นซีอีกครั้ง ทว่าซูจิ่นซีกำลังมองไปยังแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาและไม่มีการหลบหนีแต่อย่างใดหลังจากวินาทีนั้นก็ได้ยินเสียงราวกับหมูถูกเฉือดดังขึ้นชั่วขณะ
มือของนักเลงอันธพาลถูกจิ่วหรงหักแตกในทันที
“โอ้ย บ้าจริง ปล่อยข้า! ”
เสียงของนักเลงอันธพาลร้องขอให้ปล่อย โจรไม่กี่คนที่อยู่ด้านหลังของเขาจึงพากันเข้ามาล้อมรอบจิ่วหรงไว้
ผลเป็อย่างที่ทราบ แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วหรง
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ นักเลงอันธพาลก็ล้วนถูกจิ่วหรงจัดการจนหนีไปซูจิ่นซียังคงยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม น้ำตาคลอดวงตาทั้งสองข้าง
“ไปเถิด! ” จิ่วหรงเอ่ยขึ้น
“วันนี้ไม่ไปแล้วได้หรือไม่เ้าคะ ข้าไม่อยากไปแล้วเ้าค่ะเปลี่ยนวันใหม่ได้หรือไม่? ” ซูจิ่นซีไม่อยากไปแล้วจริงๆ
“สิ่งที่มนุษย์ไม่ควรทำที่สุดคือไม่ควรเอาผู้อื่นมาทำให้ตนเองลำบาก มนุษย์ใช้ความงามของผู้อื่นเพื่อความสุขส่วนตนเพื่อเขาแล้ว กระทั่งข้าวปลาเ้าก็ไม่ทาน คุ้มค่าหรือ? ” มุมปากของจิ่วหรงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าจะไม่คุ้มค่าอยู่บ้างจริงๆ
ซูจิ่นซีกลั้นน้ำตาที่จวนจะไหลลงมาแล้วบังคับให้มันไหลย้อนกลับไป พลางสูดหายใจลึกๆแล้วกล่าวว่า “ไปเถิดเ้าค่ะ ข้าเพียงพบกับคนโง่เง่าผู้หนึ่งเท่านั้น”
ขณะที่พูดอยู่ ซูจิ่นซีก็ดึงมือของจิ่วหรงพาเดินไปทางถนนหรงหวาฟู่กุ้ยที่อยู่ด้านหน้าด้วยกัน
จิ่วหรงก้มลงมองมือที่ถูกซูจิ่นซีกระชับอยู่เล็กน้อยดวงตาอันบริสุทธิ์และล้ำค่าจึงหยุดมองบริเวณนั้นชั่วขณะ ความประหลาดใจแวบผ่านั์ตาทว่าจิ่วหรงไม่เพียงไม่หลบหลีกเท่านั้น ยังปล่อยให้ซูจิ่นซีลากไปตามทางอีกด้วย
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงที่ถนนหรงหวาฟู่กุ้ยอีกครั้ง
แม่เ้าโว้ยโลกแคบเสียจริงเชียว!
“ท่านทั้งสอง ้ารับประทานกระไรดีขอรับ? ” เสี่ยวเอ้อ [1] เอ่ยทักทายขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้น
ดวงตาทั้งสองข้างของซูจิ่นซีเผ่งมองไปยังเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงที่อยู่โต๊ะนั้นตลอด “พวกเขาเอากระไร พวกข้าก็เอาอย่างนั้น”
“ได้ขอรับห้องส่วนตัวชั้นบนเต็มแล้ว นายท่านทั้งสองจะนั่งห้องธรรมดาหรือว่าห้องโถงรวมดีขอรับ? ”
เยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงนั่งในห้องธรรมดาหากพวกตนนั่งที่ห้องโถงรวมก็จะเฝ้ามองได้อย่างสะดวก
“ห้องโถงรวม! ”
“ทั้งสองท่านเชิญนั่งทางนี้ขอรับ! ”
เสี่ยวเอ้อนำทางซูจิ่นซีและจิ่วหรงไปยังตำแหน่งที่ติดกับกำแพง บังเอิญที่ในขณะนั้นเสี่ยวเอ้ออีกคนกำลังยกอาหารมาตามทางและเดินผ่านด้านข้างของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีมองถาดในมือที่เสี่ยวเอ้อยกมาและกำลังเดินไปทางห้องส่วนตัวที่เยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงอยู่ซูจิ่นซีจึงรีบเข้าไปขวางทันทีแล้วถามว่า “สิ่งนี้เป็ของแขกห้องนั้นหรือ?”
เสี่ยวเอ้อพยักหน้า
ซูจิ่นซีคว้าขวดน้ำส้มสายชูบนโต๊ะขึ้นมาเทลงไปในอาหารทะเลทุกอย่าง
ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อเปลี่ยนไปในทันที “คุณลูกค้าไม่ได้นะขอรับ ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับอาหารเหล่านี้หัวหน้าพ่อครัวปรุงรสชาติเรียบร้อยแล้วไม่สามารถใส่น้ำส้มสายชูลงไปได้นะขอรับ”
ซูจิ่นซีแสดงออกอย่างจริงจัง “ยกไป บุรุษผู้นั้นเป็ชายของข้า เขาชอบทาน!”
หือ?
เสี่ยวเอ้อตะลึงงัน
สายตาเหลือบมองไปยังจิ่วหรงที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับซูจิ่นซีและหันไปมองในห้องส่วนตัวที่เยี่ยโยวเหยากับคุณหนูหนานกงนั่งอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
นี่เป็ความสัมพันธ์เช่นใดกัน?
โลกนี้ช่างโกลาหลเสียจริง
“ยังไม่ยกไปอีก? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมองเสี่ยวเอ้อ
“ส่งส่งส่ง! ไปส่งเดี๋ยวนี้ขอรับ! ”
เสี่ยวเอ้อรีบเร่งยกอาหารผ่านไป
ซูจิ่นซีลอบมองการเคลื่อนไหวทางฝั่งนั้นอยู่ตลอดเวลา เดิมทีนางคิดว่ารสชาติอาหารที่นำไปให้เยี่ยโยวเหยาจะต้องทำให้เสี่ยวเอ้อลำบากใจเป็แน่ทว่ามันกลับไม่เป็อย่างที่คิด คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะทานอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับไม่รู้ความแตกต่างของรสชาติอาหารแม้แต่น้อย
ทั้งยังคีบอาหารให้คุณหนูเสี่ยวกงผู้แสนจะรู้ใจอีกด้วย
โถ่โว้ย!
นางโกรธจะตายอยู่แล้ว!
บัดนี้ซูจิ่นซีเปลี่ยนจากความเศร้าโศกเป็ความโกรธแล้ว
ซูจิ่นซีตัดสินใจหันหลังกลับไปนั่งที่ไม่มองพวกเขาอีก
นางคีบอาหารจากชามของตนเองขึ้นมาแล้วโยนลงไปในชามของจิ่วหรง “ทานเ้าค่ะ! ”
หลังจากนั้นซูจิ่นซีก็ก้มศีรษะลงไปจ้วงข้าวเข้าปากตนเองอย่างบ้าคลั่ง
จิ่วหรงตกตะลึงเล็กน้อย เขามองอาหารในชามของตนเองครู่ใหญ่ ทว่าไม่ได้ลงมือทานไม่ใช่เพราะเขากำลังโกรธหรือรังเกียจแต่เป็เพราะว่าเขากำลังประหลาดใจ
ซูจิ่นซีดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ นางจึงเงยหน้ามองไปยังชามอาหารของจิ่วหรงถึงได้พบว่านั่นเป็อาหารที่ตนเองกินไปแล้ว
“ขอประทานอภัยเ้าค่ะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจนะเ้าคะ!”
ซูจิ่นซีพยายามจะคีบเอาอาหารชิ้นนั้นออกมา แต่กลับถูกจิ่วหรงขวางไว้ หลังจากนั้นจิ่วหรงก็คีบอาหารเข้าปากตนเองโดยไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อยเขาเคี้ยวอย่างละเอียด เหมือนกับว่ากำลังลิ้มรสอาหารอันโอชาของโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เป็ไร! เช่นนี้ดียิ่งนัก! ”
หลังจากนั้นจิ่วหรงก็คีบอาหารจากถาดอาหารส่งให้ในชามของซูจิ่นซี “ทาน! ”
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเสียจริงจิตใจสับสนวุ่นวาย ความคิดปั่นป่วนยิ่งนัก
ทว่าเพื่อไม่ให้จิ่วหรงเสียความรู้สึกซูจิ่นซีจึงบังคับตนเองให้ทานเข้าไปเล็กน้อย
เมื่อทั้งสองออกมาจากถนนหรงหวาฟู่กุ้ย ซูจิ่นซีก็เหลือบมองไปทางห้องส่วนตัวของเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงเล็กน้อยทว่านางกลับไม่พบใคร ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาจากไปเมื่อใดแล้ว
“จิ่วหรงเ้าคะ ท่านกลับเถิดเ้าค่ะ! วันนี้ข้าทำให้ท่านเสียอารมณ์แล้วครั้งหน้าข้าจะชดเชยให้ท่านอย่างดีแน่นอนเ้าค่ะ! ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น
“เ้าพูดแล้วนะ! อาจารย์จะรอดู! ” จิ่วหรงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ซูจิ่นซีพยักหน้า
นางมักจะรู้สึกว่า จิ่วหรงเมื่ออยู่ต่อหน้านาง มักจะขานชื่อตนเองว่า ‘อาจารย์’ ทว่าเขาปฏิบัติตนไม่เหมือนอาจารย์แม้แต่น้อยดูจะปฏิบัติต่อนางราวกับเป็เพื่อนเสียมากกว่า
จิ่วหรงกับเ้าของร่างเดิม แท้ที่จริงแล้วมีความสัมพันธ์อันใดกันแน่?
“ข้าส่งเ้ากลับ! แถวนี้ห่างจากจวนโยวอ๋องค่อนข้างไกลหากระหว่างทางเ้าพบเจอกับเื่อันใดที่ยุ่งยาก เ้าคงรับมือไม่ไหว”
บัดนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว เมื่อจิ่วหรงพูดเช่นนี้ซูจิ่นซีก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อยจึงไม่คิดปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่คิดว่าโลกมันจะแคบถึงเพียงนี้ ในหนึ่งวันคนเราสามารถพบเจอเื่ที่น่าผิดหวังได้ถึงสามครั้งพวกเขาพบเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงเข้าอีกจนได้
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังเดินผ่านร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่ง
ดูเหมือนว่าเยี่ยโยวเหยาจะอยู่เป็เพื่อนคุณหนูหนานกงเลือกซื้อเครื่องประดับและทั้งสองกำลังเดินออกจากร้านเครื่องประดับอย่างพอดิบพอดี
หัวใจของซูจิ่นซีใกล้จะะเิออกมาแล้ว
ในตอนที่เยี่ยโยวเหยามองมาที่นาง ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกัน ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ลากมือของจิ่วหรงหันหลังเข้าไปในซ่องโสเภณีชายแห่งหนึ่ง “ไปเ้าค่ะ ข้าจะพาท่านไปเที่ยวโสเภณี! ”
ยิ่งไปกว่านั้นเสียงของนางก็ดังมากแน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยาจะต้องได้ยิน
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าการแสดงออกของเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านหลังเป็อย่างไรทว่าในตอนที่นางเรียกแม่เล้าให้หาโสเภณีชายมาสิบคน ร่างกายของจิ่วหรงที่ถูกนางลากตามมาก็สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด
“ได้เลยเ้าค่ะ ท่านทั้งสองเชิญทางนี้! ”
แท้จริงแล้วแม่เล้าแปลกใจเป็อย่างยิ่ง ั้แ่เปิดกิจการมานาน นี่เป็ครั้งแรกที่พบเห็นสตรีพาบุรุษมาเที่ยวโสเภณี
ซูจิ่นซีและจิ่วหรงถูกแม่เล้าดึงเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีมายังสถานที่เช่นนี้ ห้องหับไม่สมราคาเท่าใดนักอีกทั้งยังมีสีสันอ่อนหวานไปเสียหน่อย เครื่องใช้ต่างๆ วางอยู่บนโต๊ะข้างกำแพงบนโต๊ะจุดธูปหอมไว้ ซูจิ่นซีสูดดมเข้าไปจึงรู้ว่าเป็สิ่งของที่เอาไว้ปลุกกำหนัด
“เอาของนี่ออกไป! ” ซูจิ่นซีเอ่ยขึ้น
แม่เล้ารีบนำธูปปลุกกำหนัดออกไปทันที
“คนที่ข้า้ามาแล้วหรือ? ” ซูจิ่นซีถาม
“มาแล้วเ้าคะ มาแล้ว! ข้าจะไปเร่งให้เ้าคะ!”
แม่เล้ารีบออกไปตาม
จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางคว้าแขนของซูจิ่นซีและพูดอย่างแ่เบาว่า “อย่าก่อเื่! ”
“ข้าไม่ได้ก่อเื่นะเ้าคะ! ”
“เช่นนั้นเ้าจริงจังหรือ? อยาก... จริง ”
สิ่งที่จิ่วหรงไม่ได้พูดออกมาหลังจากนั้นชัดเจนยิ่งนักทว่าซูจิ่นซีไม่ได้เอ่ยปากออกไป
มุมปากของจิ่วหรงยกยิ้มอย่างน่าดูชมยิ่งและกล่าวว่า “ในเมื่อเ้าอยาก ข้าผู้เดียวไม่พอหรือ? หาคนมากมายถึงเพียงนั้นเ้าปรนนิบัติไหวหรือ?”
ขณะที่พูดอยู่ จิ่วหรงก็ก้มศีรษะลงและจูบลงไปที่มุมปากของซูจิ่นซีอย่างแ่เบา
......
เชิงอรรถ
[1] เสี่ยวเอ้อ คือลูกน้องที่รองลงมาจากเถ้าแก่เ้าของร้านทั่วไปในยุคโบราณหรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็บริกรในร้านอาหาร