หยางมามาตกตะลึง พลันกุลีกุจอส่ายศีรษะพลางเอ่ย “บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้นเ้าค่ะ ไม่ได้คิดถึงเื่นั้นแม้แต่นิด” เมื่อเห็นใบหน้าสงสัยของเหล่าไท่ไท่ นางก็ยิ่งร้อนใจ แสร้งหัวเราะก่อนกล่าว “คุณหนู ท่านมึนงงเพราะเพิ่งตื่นใช่หรือไม่? ลืมไปแล้วหรือว่าท่านเพิ่งได้ฟังเื่ราวน่าสนใจ บ้านของซินแสหลี่เกิดเื่ใหญ่ เขาใมากที่รู้ว่าลูกชายอนุไม่ใช่ลูกแท้ ๆ เขากักขังอนุผู้นั้นเพื่อสอบถามว่าผู้ใดคือชู้ของนาง ทว่านางกลับหนีไปพร้อมเงินสองร้อยตำลึง โชคชะตาของตัวเองยังทำนายไม่ได้ แล้วจะทำนายชีวิตผู้อื่นได้อย่างไร? ไต้ซือฉีเสวียนอวี๋ทำนายโชคชะตาคุณหนูสามแล้วมิใช่หรือ บอกว่านางจะเป็ผู้เปี่ยมสุข”
สีหน้าเหล่าไท่ไท่เริ่มผ่อนคลายพลางกล่าวอย่างโล่งอก “เฮ้อ เพราะเื่นายน้อยจู สมาธิของข้าจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดฟุ้งซ่านไปชั่วขณะ” นางมองหยางมามาผู้ที่นางเชื่อใจที่สุด ก่อนเอ่ยถามความคิดเห็น “ตามความเห็นของเ้า การที่เสี่ยวอี้ฝันถึงการตายของนายน้อยจูล่วงหน้าเป็เื่มงคลหรืออัปมงคล? ข้าควรจัดการอย่างไรดี?”
หยางมามาตอบ “ตอนนั้นบ่าวแทบไม่เชื่อที่คุณหนูสามพูด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ถามรายละเอียด ทว่าเมื่อคิดดูอีกครา คุณหนูสามเคยได้รับการช่วยเหลือจากทวยเทพให้โชคดี คราวนี้อาจมีเทวดาปกปักรักษาตระกูลหลัวของพวกเราก็เป็ได้ ท่านอาจ้าช่วยลูกหลานตระกูลหลัวผ่านคุณหนูสาม”
“เป็เช่นนั้นจริง ๆ หรือ หงเจียง?” สายตาเหล่าไท่ไท่วูบไหว
หยางมามานึกถึงคำพูดของเหอตังกุยก่อนหน้านี้ แต่กลับนึกคำปลอบใจเหล่าไท่ไท่ไม่ออก ทำได้เพียงกล่าวตำหนิตัวเอง “เป็ความผิดของบ่าวที่ไม่ให้คุณหนูสามพูดให้จบ ไม่รู้ว่านายน้อยจูจะยื้อเวลาได้นานเพียงใด หากเทวดา้าช่วยเหลือพวกเราแต่กลับถูกบ่าวทำให้ล่าช้า เช่นนั้นบ่าวก็คือคนผิด ให้บ่าวเร่งเดินทางกลับวัดสุ่ยซังจะดีกว่า จะได้เอ่ยถามความฝันของคุณหนูสามให้ชัดเจน...”
“ก๊อก ๆ ๆ ” แม่นางจีเคาะประตูไม้หลีมู่ ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “เหล่าไท่ไท่ คนของครอบครัวสาขาแรกมาแจ้งข่าวการตายของนายน้อยจูแล้วเ้าค่ะ”
......
เหอตังกุย ฉานอีและไฮว่ฮวาหยุดพักที่เชิงเขาก่อนฟ้าสาง ทั้งสามนำเสบียงที่เตรียมไว้วางบนสัมภาระ เริ่มกินอย่างเรียบง่ายพลางพูดคุยเกี่ยวกับ ''แขกไม่ได้รับเชิญ'' ที่ตามพวกนางลงเขามาตลอดทาง
“งดงามมาก ดวงตาสีเขียวอ่อน ผิวและขนสีขาว ไม่มีสีอื่นแต่งแต้มบนตัวแม้แต่น้อย” ฉานอีกลืนขนมฝูหรง ก่อนเอ่ยถาม “พวกมันตามพวกเรามาตลอดทาง หรือมันอยากกินขนม?”
เหอตังกุยส่ายศีรษะ “สุนัขกินบะหมี่ หมาป่าจะกินสิ่งนี้ได้อย่างไร คงอยากกินเนื้อมากกว่า”
ไฮว่ฮวามองก้อนกลมปุกปุยขนาดเท่าฝ่ามือ ความรักไม่มีที่สิ้นสุดของมารดาก็พรั่งพรูออกจากหัวใจ นางเอ่ยขอร้องเหอตังกุย “คุณหนู พวกเราเลี้ยงมันดีหรือไม่เ้าคะ? ตัวเล็กเพียงนี้อาจหากินเองไม่ได้ หากหิวจนตายคงน่าเวทนา เ้าดูสิ มันมองหน้าเ้าด้วย ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
เหอตังกุยรีบยัดขนมเข้าปาก ก่อนปัดผงแป้งในมือพลางกล่าว “ใช่ หากเ้าไม่เตือน ข้าคงลืมไปแล้ว” กล่าวจบก็หยิบกล่องเล็กสลักลายดอกไม้ออกจากเอว ก่อนมองรอบ ๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้ากลัวเหงื่อจะล้างมันออกเสียหมดจึงคิดจะทาที่ตีนเขา จำได้ว่าเชิงเขาทางเหนือมีลำธาร ข้าจะใช้มันเป็กระจกส่องสักหน่อย พวกเ้าค่อย ๆ กิน เดี๋ยวข้ากลับมา อีกอย่าง อย่าเข้าใกล้สัตว์ป่าตัวนั้น ระวังมันกัด” เมื่อกล่าวจบก็เดินไปอย่างรวดเร็ว
ไฮว่ฮวาเอ่ยถามฉานอีด้วยความแปลกใจ “คุณหนูไปทำอะไร? ส่องกระจกทาแป้งหอมหรือ?”
ฉานอีพยักหน้า “คงเป็เช่นนั้น นางกลับมาก็จะรู้เอง ไฮว่ฮวา ฉวยโอกาสตอนคุณหนูไม่อยู่ไปเล่นกับมันสักหน่อยดีหรือไม่ มันเป็เพียงลูกหมาป่าสีขาวราวกับหิมะ ดูสิ มันกระดิกหางให้พวกเราด้วย”
“ใช่ ข้าอยู่บ้านเกิดมาสิบกว่าปี ไม่เคยเห็นหมาป่าสีขาวเลย มันตามพวกเรามาตลอดทาง คงหาแม่ไม่พบแล้วมาขออาหารเพราะหิวกระมัง”
เด็กสาวทั้งสองเดินเข้าหาหมาป่าที่อยู่ไม่ไกลนักด้วยรอยยิ้มชวนฝันเปล่งประกายบนใบหน้า มือทั้งสองยื่นขนม โน้มตัวเดินเข้าไปทีละก้าว เมื่อลูกหมาป่าสีขาวเห็นพวกนางจึงรีบลุกพลางอ้าปากและเอียงศีรษะ สีหน้าราวกับกำลังยิ้ม
ขณะทั้งสองเข้าใกล้ เ้าก้อนแป้งตัวกลมขนปุยก็ะโพลันงับนิ้วมือของไฮว่ฮวาทันที
“โอ๊ย ๆ ๆ ” ไฮว่ฮวาสะบัดแขนพลางถอยกรูด “ช่วยด้วย คุณหนูช่วยด้วย” ฉานอีก็ใร้องะโไม่หยุด
ทันใดนั้นเงาสีเขียวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของหญ้าก็ปรากฏ นางเอื้อมมือจับลูกหมาป่าตัวเล็ก ขณะเดียวกันน้ำเสียงสตรีแสนไพเราะและอบอุ่นที่ทำให้คนฟังสบายใจก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ทว่าเสียงกลับมาถึงช้ากว่าเงา “พวกเ้าสองคนซนจริง ๆ ข้าบอกว่าอย่าหยอกมันไม่ใช่หรือ?” เหอตังกุยยกลูกหมาป่าที่ดิ้นเร่า ๆ มาตรงหน้า พลางกล่าวอย่างโล่งอก “โชคดีที่มันยังไม่มีฟัน มิเช่นนั้นเ้าต้องใช้เืของมันกำจัดพิษในตัว”
ไฮว่ฮวาหวาดกลัวน้ำตาไหลพรากเป็สาย หญิงสาวอายุสิบเจ็ดปียังคงเป็เด็กเมื่ออยู่ต่อหน้าเหอตังกุย นางกล่าวสะอึกสะอื้น “มันกัดข้า... ทั้งที่ไม่มีฟันแต่ก็ยังกัดข้า...”
เหอตังกุยส่ายศีรษะพลางเอ่ยตำหนิ “เ้าจะคาดหวังอะไรกับหมาป่าตัวหนึ่ง? การดื่มเืและกินเนื้อดิบเป็ธรรมชาติของมัน” กล่าวจบก็โยนลูกหมาป่าออกไป พร้อมโยนไก่ป่าคอหักลงตรงหน้ามันแล้วะโ “รีบไปซะ ห้ามมาที่นี่อีก”
ต่อให้สัตว์ดุร้ายเพียงใดก็ยังหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง ในบรรดาสามคนนั้น ลูกหมาป่าััได้ถึงพลังที่น่าเกรงขามจากเหอตังกุย ดวงตาสีเขียวฉายแววหวาดกลัว มันเหยียดขาหน้าพลางก้มหัวราวกับคำนับเหอตังกุย ฉานอีมองด้วยความเหลือเชื่อ ไม่นานลูกหมาป่าก็คาบไก่ป่าตัวใหญ่วิ่งหนีไป
เหอตังกุยมองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “ข้าบังเอิญเห็นไก่ป่าหลากสีในพุ่มไม้ จึงอยากทดสอบความสามารถในการล่าสัตว์ เอ่อ ถือว่ามันโชคไม่ดี ข้าเก็บหญ้าแล้วบังเอิญจับมันได้ ก็เลย…”
“เ้า หน้าของเ้า” ไฮว่ฮวามองใบหน้าเหอตังกุยด้วยความตะลึง นางลืมร้องไห้โดยปริยายก่อนอุทานอย่างใ “เหตุใดจึงกลายเป็เช่นนี้”
ฉานอีตบบ่าให้นางใจเย็นพร้อมกล่าว “ไม่ต้องกังวล คุณหนูเพียงทาแป้งยาที่ทำให้ใบหน้างดงาม เป็แป้งประเภทเดียวกับที่พวกสนมฮ่องเต้นิยมใช้ในรัชศกปีหงอู่”
แป้งความงาม? ไฮว่ฮวามองใบหน้ากลมเล็กหมองคล้ำด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้ใบหน้าของนางบอบบางและขาวซีดเล็กน้อย ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็สีเหลืองดุจเปลือกข้าวสาลี ไม่รู้ว่าตนเข้าใจผิดหรือไม่ แววตาอีกฝ่ายเล็กลงเล็กน้อย ทว่าจมูกและปากกลับใหญ่ขึ้น บนจมูกยังมีกระเล็ก ๆ อีกสองสามจุด... พูดได้คำเดียวว่าคุณหนูอัปลักษณ์มาก
......
“หัวหน้า ข้าขอโทษ ข้า... ข้าไม่รู้ว่าหมัดข้าจะหนักเพียงนั้น” เลี่ยวจือหย่วนพุ่งไปพยุงลู่เจียงเป่ยอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด อยากบั่นคอเพื่อขอโทษเสียตรงนั้น
ลู่เจียงเป่ยโบกมือแต่ไม่พูดสิ่งใด เขานั่งลงข้างโต๊ะด้วยการพยุงของเลี่ยวจือหย่วน นั่งสมาธิปรับลมหายใจพักหนึ่ง สีหน้าค่อย ๆ กลับมามีเืฝาด ทว่ายังแฝงความเหนื่อยล้าและอ่อนแอ ลู่เจียงเป่ยหันกลับไปพูดกับหลิวซุ่ย “แม่นาง ข้าอยากกินแกงเม็ดบัว รบกวนเ้าไปที่ห้องครัวแล้วทำให้ข้ากินสักถ้วยได้หรือไม่” หลิวซุ่ยรับคำแล้วจากไป
เมื่อหลิวซุ่ยเดินจากไป ลู่เจียงเป่ยจึงเอ่ยจริงจัง “แมวป่า ข้ามีเื่จะบอก เมื่อเ้าพบเกาเจวี๋ยและเสี่ยวต้วนค่อยนำคำเหล่านี้ไปบอกพวกเขา” เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเลี่ยวจือหย่วน ลู่เจียงเป่ยก็พึงพอใจ ก่อนเอ่ยเสริม “เื่แรกที่ข้าอยากบอกเป็ความลับสุดยอด ก่อนหน้านี้เกาเจวี๋ยเคยถามข้าแต่ข้าก็ไม่เคยอธิบาย ตอนนี้ข้ากลายเป็เช่นนี้... เฮ้อ คนที่น่าเชื่อใจที่สุดคือเ้า เ้าตั้งใจฟังให้ดีแล้วนำไปบอกพวกเขา แต่อย่าได้บอกคนอื่นที่ไม่ใช่องครักษ์จิ่นอีเว่ย เข้าใจหรือไม่?”
เลี่ยวจือหย่วนกอดลู่เจียงเป่ยด้วยความลนลาน พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “หัวหน้า ข้าตีเ้าครั้งเดียว แม้จะแรงไปสักหน่อย แต่เ้าไม่จำเป็ต้องเอ่ยสั่งเสียกับข้า ไป รีบนอนลงบนเตียง เดี๋ยวข้าจะรักษาอาการาเ็ให้เ้าเอง”
ลู่เจียงเป่ยสลัดชายร่างใหญ่ตรงหน้าทันที ก่อนเอ่ยตำหนิอย่างอ่อนแรง “เ้าแมวโง่สมควรตาย เ้าแช่งข้าหรือ? ข้าเพียงจะไปรักษาตัวในถ้ำน้ำแข็งที่ซานจวง จึงอยากมอบงานที่ยังไม่สำเร็จให้แก่เ้า เ้ากล้าบอกว่านี่เป็คำสั่งเสียเชียวหรือ เ้าแมวป่า เ้ากล้าดีอย่างไร รอให้ข้ากลับจากรักษาตัวก่อนเถอะ ข้าต้องคิดบัญ... แค่ก ๆ บัญชีกับเ้าแน่นอน” ขณะไอก็กระอักเืสดเปื้อนริมฝีปาก
“เ้าอย่าเพิ่งพูด ข้าจะใช้กำลังภายในรักษาเ้าเอง” เลี่ยวจือหย่วนเห็นดังนั้นก็ร้อนใจยิ่งนัก พลันเข้าใกล้เพื่ออุ้มเขาไปรักษาบนเตียง
ลู่เจียงเป่ยยังคงปฏิเสธ “ไม่จำเป็ ขอบใจมาก กำลังภายในของเ้าช่วยข้าไม่ได้เท่าไรนัก แม้ข้าจะใช้เวลาครึ่งเดือนในการฟื้นตัว แต่ก็ต้องรอถึงสิ้นเดือนหน้าจึงจะหายดี ข้าจึงอยากวานให้เ้าทำงานแทนข้า”
เลี่ยวจือหย่วนเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำตา “ข้ารักษาให้ไม่คิดเงิน เ้าจะเกรงใจข้าไปไย ข้าตีเ้าาเ็ก็ย่อมต้องรักษาเ้าให้หายดีได้เช่นกัน”
“อาการาเ็ของข้าไม่เกี่ยวกับเ้า หมัดของเ้านุ่มเสียยิ่งกว่าปุยฝ้ายจะทำให้ข้าาเ็ได้อย่างไร ความจริงเมื่อวานข้าถูกทำร้าย เมื่อครู่บังเอิญซ้ำาแจนกำเริบ หมัดของเ้าไม่ผิดอะไร” ลู่เจียงเป่ยเอ่ยอธิบายอ่อนแรง “เมื่อวานยามชูเกิ้ง[1] บนถนนหลวงมุ่งหน้าเมืองอิ้งเทียน ข้าพบคนสวมหน้ากากที่นักฆ่าแห่งหออู่อิ่งเรียกว่า ''เก๋อจู่'' ข้าจึงตามเขาไป แต่อีกฝ่ายระมัดระวังมาก ไม่นานก็พบข้าแอบซ่อนในพุ่มหญ้า ทะเลาะกันไม่กี่ประโยคก็เกิดการต่อสู้ กำลังภายในของเขาแข็งแกร่งกว่าข้ามาก ข้าหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่เขากลับมียอดฝีมือข้างกายถึงแปดคน สถานการณ์เลวร้ายยิ่งนัก ข้าใช้พลังสังหารที่มีทั้งหมดโดยไม่รู้ตัวเอาชนะเขาได้ชั่วคราว แต่การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ภายในของข้าาเ็สาหัสนัก ท้ายที่สุดข้าก็ต้องหนีด้วยการใช้ควันพิษปกคลุม”
เลี่ยวจือหย่วนได้ยินดังนั้นก็ตกสู่ภวังค์ เอ่ยถามอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “เ้ารู้หรือไม่ว่าประมุขหออู่อิงคือใคร?”
ลู่เจียงเป่ยพยักหน้ากล่าว “ในใจของข้ามีตัวเลือกสี่คน วันหน้ายังต้องดูต่อไป แต่คนที่เป็ไปได้ที่สุดคือหนิงอ๋องจูฉวน”
---------------------------------------------------------------
[1] ยามชูเกิ้ง หมายถึง่เวลาประมาณ 19.00 - 21.00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้