หนิงเทียนเหลือบมองอวิ๋นอี้ จากนั้นก็กวาดสายตาไปยังโม่ซินเจวี๋ย “เขาสนิทกับท่านหรือ?”
“คนรู้จักทั่วไป” โม่ซินเจวี๋ยตอบ
อวิ๋นอี้ะโใส่หนิงเทียนอย่างไม่พอใจ “สนิทหรือไม่หาใช่กงการของเ้า! เ้าอยากตายหรือ?”
โต้วเทียนกล่าว “อย่าคิดรังแกศิษย์น้องของข้า! หนิงเทียน เ้ารีบบอกมาเร็วว่าจะขึ้นไปได้อย่างไร?”
“ตัดไม้ทำบันได”
โต้วเทียนและเจี่ยงหยวนต่างตกตะลึง วิธีนี้ฟังดูยอดเยี่ยมมาก แต่เมื่อมองต้นไม้ั์รอบตัวที่ล้วนมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสิบจั้งแล้ว พวกเขาก็เงียบลงอีกครา
อวิ๋นอี้พูดเคล้าเสียงหัวเราะ “ตัดไม้ทำบันได เหอะ! น่าเสียดายที่เ้าพูดได้ดีมาก แต่เ้าคิดว่าพวกเขาโง่หรือ?”
“แล้วสติปัญญาของเ้าแตกต่างจากพวกเขาหรือ?” หนิงเทียนอารมณ์เสียจนมีแสงเย็นวาบฉายขึ้นในดวงตา
“เ้าหนู เ้ากำลังรนหาที่ตาย!” อวิ๋นอี้โมโห พลันหญ้าเขียวทั้งเก้าข้างกายก็กระเพื่อมด้วยคลื่นพลังราวเงากระบี่รวมตัว จากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าหาหนิงเทียน
“ศิษย์พี่อวิ๋น!” โม่ซินเจวี๋ยเปิดปาก ใบไม้เขียวข้างกายนางล้วนสั่นไหวไปมาราวกับเงาหมึก
สีหน้าของอวิ๋นอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ศิษย์น้องโม่ปกป้องเขาหรือ?”
“ข้าแค่อยากเตือนสหายร่วมสำนัก ศิษย์พี่ ท่านไม่ควรหุนหันพลันแล่นก่อไฟโดยไร้เหตุ”
“แล้วถ้าข้าไม่เห็นด้วยเล่า?”
“นั่นก็เป็เื่ของท่านแล้ว”
อวิ๋นอี้หัวเราะด้วยความโกรธ “ศิษย์น้อง การยืนหยัดเพื่อมดนั้นคุ้มหรือ?”
โม่ซินเจวี๋ยถามกลับ “นอกเหนือจากเขาแล้ว ท่านเห็นผู้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกคนอื่นๆ ข้ามแม่น้ำมาอีกหรือไม่?”
อวิ๋นอี้พูดอย่างเหยียดหยาม “ไม่สำคัญว่าเขาจะข้ามแม่น้ำมาได้หรือไม่! เขาก็แค่โชคดีเท่านั้น อย่างไรมดก็คือมด ไม่ว่าผู้ใด ณ ที่แห่งนี้ ก็ย่อมสามารถสังหารเขาได้ด้วยนิ้วเดียว!”
อวี๋เฟยเยี่ยนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ศิษย์สำนักเชียนเฉ่าเก่งเื่คุยโวั้แ่เมื่อใดกัน?”
อวิ๋นอี้กล่าวอย่างไม่พอใจ “อวี๋เฟยเยี่ยน เ้าหมายความว่าอย่างไร? เ้าดูถูกข้าหรือ?”
“ข้าเพียงแต่เพิ่งค้นพบว่าผู้โอ้อวดเสียงดังที่สุดในบรรดาสี่สำนักได้ถูกสำนักเชียนเฉ่าชิงไปแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้มันคือความรุ่งโรจน์ของพวกเ้าหรือ? เ้าไม่มีความสุขหรือที่ศักดิ์ศรีถูกพรากไป?” โม่ซินเจวี๋ยกล่าวเย้ยหยันขึ้นมา
อวี๋เฟยเยี่ยนโต้กลับ “สำนักทะยานเวหาเป็เลิศด้านการคุยโวั้แ่เมื่อใดกัน?”
ทางด้านโต้วเทียนและเจี่ยงหยวนที่อยู่ถัดไปไม่ไกลต่างก็มีสีหน้าย่ำแย่ นี่คือการชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว[1]ไม่ใช่หรือ?
หนิงเทียนเงยหน้ามองขวดศิลา ภายในบรรจุโลหิตบริสุทธิ์ของอสูรร้ายโบราณชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็ประโยชน์ในการฝึกฝนกายาสุวรรณะนิรันดร์ เนื่องจากสามารถเติมพลังในเืลม ทั้งยังเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ให้อีกด้วย
สนามแรงโน้มถ่วงสูงนี้ มีเพียงผู้ฝึกกายาสุวรรณะนิรันดร์และมีร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงพอเท่านั้นจึงจะผ่านไปได้
อวิ๋นอี้มองหนิงเทียนด้วยสายตาที่ไร้ความเมตตา เหตุใดโม่ซินเจวี๋ยและอวี๋เฟยเยี่ยนจึงปกป้องถึงเพียงนั้น เ้าเด็กนี่มีดีอะไรกัน?
“หาว่าข้าคุยโว ข้าจะทำให้พวกเ้าตาสว่างเอง เ้าเด็กหน้าเหม็นมานี่! ผู้าุโผู้นี้จะทุบตีเ้าให้คุกเข่าขอความเมตตาด้วยนิ้วเดียว!”
โต้วเทียนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เขาเหลือบมองหนิงเทียนแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ส่วนเจี่ยงหยวนก็รอชมเื่สนุกจากขอบสนาม ขณะที่โม่ซินเจวี๋ยและอวี๋เฟยเยี่ยนต่างมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างล่วงรู้ชะตากรรม
หนิงเทียนถอนสายตาจากขวดศิลาพร้อมหันมองอวิ๋นอี้อย่างเ็า สุดท้ายคนโง่ผู้นี้ก็รั้งไว้ไม่อยู่แล้ว
โม่ซินเจวี๋ยและอวี๋เฟยเยี่ยนหนึ่งร้องหนึ่งรับ[2] อาจดูเหมือนทั้งคู่พยายามปกป้องหนิงเทียน ทว่าความจริงแล้วพวกนางเพียงอยากยืมมือหนิงเทียนกำจัดศัตรูเท่านั้น
ในฐานะยอดฝีมือจิติญญาพิษและยอดฝีมือด้านการพัฒนาจิติญญา ขอบเขตของทั้งสองคนถือว่าไม่สูงมากนัก พวกนางจึงไม่กล้าต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับผู้บำเพ็ญขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเก้า และทำทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้าโอกาสในแดนลับ
“กลัวหรือ? หากเ้ายอมคุกเข่า ข้าจะเบามือลงหน่อย” อวิ๋นอี้มองหนิงเทียนอย่างดูแคลนด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง ราวกับไม่เห็นอีกฝ่ายในสายตาแม้แต่น้อย
หนิงเทียนเหลือบมองโต้วเทียน ทว่าเขากลับหลบตาไปด้านข้างแสร้งทำเป็ไม่เห็น ชัดเจนว่าไม่คิดจะยืนหยัดเพื่อหนิงเทียนเลยสักนิด
อวิ๋นอี้เห็นเช่นนี้ก็เยาะเย้ย “เ้าคิดว่าสหายร่วมสำนักจะคอยคุ้มกันเ้าหรือ? อย่าไร้เดียงสาเลย ความแข็งแกร่งของเ้าอยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรก สำหรับเขาแล้วเ้าก็ไม่ต่างจากมด ตายไปต่อหน้าเขาก็ไม่สนด้วยซ้ำ! ไม่ต้องพูดถึงศัตรูผู้แข็งแกร่งอย่างข้าที่มองเ้าเป็เพียงกุ้งตัวน้อย!”
โต้วเทียนรู้สึกหงุดหงิดที่เ้าบ้าอวิ๋นอี้กล้าเสียดสีตนต่อหน้าต่อตา
“ศัตรูผู้แข็งแกร่ง? ที่แท้เขาก็คิดได้แค่นี้นี่เอง”
หนิงเทียนมองพวกเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ซึ่งทำให้อวิ๋นอี้และโต้วเทียนอารมณ์เสียอย่างมาก
เ้าบ้าในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกนี่กล้าดีอย่างไรมาดูถูกผู้าุโเช่นข้า? ช่างหาเื่ยิ่งนัก!
“โต้วเทียน เ้าเห็นหรือไม่ว่าปากเด็กน้อยผู้นี้ช่างต่ำช้า? เ้าอยากให้ข้าช่วยสั่งสอนเขาไหม?”
โต้วเทียนส่งเสียงคำรามอย่างเ็าโดยไม่สนใจคำถามของเขา
เจี่ยงหยวนเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อหน่าย “อย่ามัวอืดอาดยืดยาด ทำเช่นนี้มันเสียเวลา หากอยากลงมือก็รีบหน่อย”
อวี๋เฟยเยี่ยนพึมพำ “คุยโวเสียใหญ่โตถึงเพียงนั้น กลับลงมือชักช้าถึงเพียงนี้ ท่านชราจนสมองฝ่อแล้วหรืออย่างไร?”
“อวี๋เฟยเยี่ยน เ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ศิษย์พี่อวิ๋นดูไม่เหมือนคนสมองฝ่อเสียหน่อย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็อัมพาตครึ่งซีก”
ในคราแรกอวิ๋นอี้ได้ยินโม่ซินเจวี๋ยแก้ต่างให้ก็ค่อนข้างตื่นเต้น ทว่าหลังจากฟังจนจบ สีหน้าของเขาก็มืดมนเหมือนจางเฟย[3]
ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก นางต่ำช้าทั้งสองกล้าดีอย่างไรมาล้อเลียนเขา? และทั้งหมดนี้ก็เป็เพราะหนิงเทียน!
“เ้าหนู จงคุกเข่าลง!” อวิ๋นอี้คำรามแล้วตบหน้าหนิงเทียนด้วยเจตนาที่อยากแสดงความแข็งแกร่ง
“โง่เขลาเหลือเกิน!” หนิงเทียนปล่อยหมัดอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า กำปั้นของเขาเดือดดาลราวหินหนืดฉีกกระชากอากาศ เสียงกระทบแหลมคมจนสร้างความหวาดกลัว โต้วเทียนและเจี่ยงหยวนที่รอชมการต่อสู้ต่างก็ตื่นใ
อวิ๋นอี้ตระหนักว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีจึงร้องคำรามอย่างดุดัน พลังิญญาระหว่างฝ่ามือพุ่งสูงและรุนแรงขึ้นสามเท่า
ตูม!
เสียงกระหึ่มดังทั่วบริเวณ การแตกหักของกระดูกและเืสาดกระเซ็นมาพร้อมเสียงคำรามราวฟ้าถล่ม
“อ๊าก!” อวิ๋นอี้โอดครวญลั่น ฝ่ามือของเขาถูกทุบจนแหลกละเอียด เืกระจายไปทั่วร่าง ความรวดร้าวทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว และยามนี้เขาก็เจ็บจนแทบบ้าแล้ว
เื่นี้เป็ไปได้อย่างไร? เพราะเหตุใดกัน?
อวิ๋นอี้กรีดร้องพร้อมถอยหลังกลับ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังราวกับสัตว์ร้าย
“เ้าเด็กหน้าเหม็น! เ้ากล้าวางอุบายต่อต้านข้า เ้าสมควรตาย!”
แม้อวิ๋นอี้จะโกรธเพียงใด เขาก็ยังพยายามรักษาหน้าของตนไว้จนถึงที่สุด โดยกล่าวว่าทั้งหมดนี้คือกลอุบายของหนิงเทียน
อวี๋เฟยเยี่ยนไม่แปลกใจ ขณะที่โม่ซินเจวี๋ยก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม
เจี่ยงหยวนเบิกตากว้าง เขาคิดว่าตนเองตาฝาด ส่วนโต้วเทียนก็ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ เพราะคิดว่าตนเห็นผีแล้ว
นี่คือขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกจริงหรือไม่?
ทว่าหนิงเทียนหาได้แยแสไม่ กระดูกทั่วร่างปะทุอย่างรุนแรง พร้อมง้างหมัดสีทองซึ่งเต็มไปด้วยพลังโลหิตมหาศาลพุ่งไปยังอวิ๋นอี้
เขาไม่คิดจะเสียเวลากับเื่ไร้สาระและคนเขลาเช่นนี้ ซึ่งไม่มีข้อโต้แย้งใดเทียบได้กับการใช้กำปั้นอย่างตรงไปตรงมา
ในโลกนี้ความแข็งแกร่งคือาา ดังนั้น หมัดจึงมีประโยชน์กว่าลิ้น
อวิ๋นอี้คำรามลั่น เ้าเด็กนี่ดูแคลนตนถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน!
“หนักแน่นตามวาโย!” อวิ๋นอี้เริ่มใช้ทักษะต่อสู้ ทันทีที่เขาบิดและงอแขนซ้าย ความแข็งแกร่งของการแกว่งฝ่ามือก็เพิ่มขึ้นยี่สิบส่วน ต้นหญ้าเก้าต้นรอบกายหมุนด้วยความเร็วสูง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็กระแสน้ำวนสีฟ้าเก้าแห่งซึ่งกลืนพลังิญญาจากทุกทิศทาง ทำให้กระแสลมในบริเวณใกล้เคียงหลั่งไหลเข้ามา
กระดูกทั่วทั้งกายของอวิ๋นอี้เริ่มปะทุ เส้นลมปราณในร่างสั่นะเืราวน้ำท่วมฉับพลัน เขาใช้ความแข็งแกร่งของขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเก้าจนถึงขีดจำกัด
ใต้ก้อนหิน วาโยโหมกระหน่ำอย่าบ้าคลั่ง คลื่นใต้น้ำไหลเชี่ยว
ผมยาวสลวยของอวิ๋นอี้ปลิวไสว ใบหน้าดุร้ายของเขาเผยให้เห็นความโเี้
โต้วเทียนตาเป็ประกายพร้อมโพล่งขึ้นว่า “แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
เจี่ยงหยวนเองก็กล่าวว่า “เด็กคนนั้นไม่สามารถต้านสิ่งนี้ได้”
ตูม!
เสียงดังแผ่กระจายราวคลื่นน้ำ พลังอันมหาศาลเข้ากระแทกหนิงเทียนจนร่างสั่นสะท้าน และทำให้แขนเสื้อของเขาขาดออกจากกัน
ทันใดนั้นนิ้วเท้าของอวิ๋นอี้ก็เคลื่อนไหว เขาหันกลับและล่าถอย หยาดโลหิตหยดจากฝ่ามือซ้าย พร้อมอ้าปากจนขากรรไกรค้าง
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หากบอกว่าเขาประมาทในการเคลื่อนไหวแรก เขาก็ยอมรับคำกล่าวหาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ทว่าคราวนี้เขาใช้ทักษะต่อสู้และพยายามโจมตีอย่างเต็มที่ แล้วเหตุใดถึงยังทำให้มือของหนิงเทียนาเ็ไม่ได้อีก?
เ้าเด็กนั่นอยู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกจริงหรือ?
มีผู้บำเพ็ญจิตหยั่งลึกขั้นแรกที่ทรงพลังเช่นนี้ในใต้หล้าด้วยหรือ?
ดวงตาของอวี๋เฟยเยี่ยนเป็ประกาย ใบหน้าของโม่ซินเจวี๋ยก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจและเสียงหัวเราะ
โต้วเทียนแสดงสีหน้าตกตะลึงพร้อมเปิดปากกว้าง ในใจเต็มไปด้วยความสับสน ส่วนเจี่ยงหยวนก็เอาแต่ขยี้ตา นี่เป็เื่จริงหรือ? เขารู้สึกโง่เขลาอย่างสิ้นเชิง
หนิงเทียนยังคงแสดงท่าทีเฉยเมย ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเก้านั้นทรงพลังกว่าขั้นแปด แต่สำหรับเขาแล้วนี่ยังไม่เพียงพอ
เขายกหมัดขึ้นอีกครั้ง พลังล้นหลามราวกับกลืนกินห้วงนภา เส้นสีทองอร่ามปรากฏบนิั ร่างของเขาเปล่งปลั่งดุจดวงอาทิตย์เจิดจ้า
จิติญญาการต่อสู้ของหนิงเทียนมุ่งไปข้างหน้า เขาไร้ซึ่งความคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง และหมัดของเขาก็แสดงถึงความตั้งใจอันแรงกล้า หากคิดสู้ก็ต้องสู้จนกระดูกแหลก
อวิ๋นอี้หน้าซีดเผือดราวซากศพ ใบหน้าดุร้ายเผยความบ้าคลั่ง ก่อนจะขู่คำรามว่า “เ้าหนู เ้าอย่ารังแกผู้อื่นจนเกินไป!”
หนิงเทียนเยาะเย้ย “เ้าไม่ได้อยากทุบตีข้าจนคุกเข่าขอความเมตตาด้วยนิ้วเดียวหรอกหรือ? มาสิ ข้าจะให้โอกาสเ้าทดสอบฝีมือ”
หมัดทองคำดุเดือดราวเปลวเพลิงลุกไหม้ พลังิญญานับอนันต์พันรอบหมัดพร้อมด้วยการทำลายล้างและเผาผลาญ ทั้งยังปลดปล่อยพละกำลังอันยิ่งใหญ่และสง่างามออกมา
เป็ความจริงที่ว่าจุดแข็งของหนิงเทียนคือกายาสุวรรณะนิรันดร์ ซึ่งทำให้เขามีร่างกายเป็ะและมีพลังอยู่ยงคงกระพัน
นี่คือสาเหตุที่เขากล้าท้าทายและก้าวข้ามขีดจำกัดอยู่เสมอ มิฉะนั้นเขาคงสูญสิ้นทุกสิ่งอย่างไปแล้ว หากสู้กับจิตหยั่งลึกขั้นเก้าด้วยยุทธศาสตร์ครอง์เพียงอย่างเดียว
อวิ๋นอี้ทั้งหวาดกลัวและใจเสีย เขาคิดจะขอความเมตตาแต่หนิงเทียนกลับไม่ให้โอกาสนั้น ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงแผดเสียงแห่งความเศร้าและความโกรธแล้วยกเท้าขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมใช้ทักษะหญ้าบินต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ต้นหญ้าทั้งเก้าก่อตัวเป็วงแหวนรอบร่าง แล้วปรากฏสลับกับนิ้วเท้าของเขา
หมัดของหนิงเทียนเดือดดาลจนเงาหญ้าพังทลาย พลังอันน่าสะพรึงกลัวะเิขาและเส้นลมปราณของอีกฝ่ายแตกสลาย ทั้งยังถอนรากิญญาของเขาออกมา ก่อนจะปล่อยให้ร่างของเขากระแทกกับหิน
อวิ๋นอี้โหยหวนอย่างสิ้นหวังและหวาดกลัว เขารู้สึกว่าหัวใจกำลังจะะเิราวกับกำลังตกสู่นรกภูมิ
ยามนี้เขามองเห็นความตายได้อย่างชัดเจน เขาเสียใจ เสียใจยิ่งนัก น่าเสียดายเหลือเกินที่ตอนนี้ทุกอย่างสายเกินแก้
เจี่ยงหยวนและโต้วเทียนต่างก็หนาวสั่นไปทั้งร่าง เ้ามดน้อยที่พวกเขาดูถูก แท้ที่จริงกลับมีพลังอันโเี้ราวปีศาจร้าย ช่างน่าหวั่นเกรงเกินไปแล้ว!
แม้แต่อวี๋เฟยเยี่ยนกับโม่ซินเจวี๋ยก็ยังตกตะลึงกับความแข็งแกร่งนี้
สุดท้ายอวิ๋นอี้ก็จบชีวิตลงและแหวนมิติก็ตกอยู่ในมือของหนิงเทียน เขาจ้องมองมันอย่างเ็า จนโต้วเทียนและเจี่ยงหยวนต่างเกร็งไปทั้งร่าง ก่อนจะรีบหนีไปด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า
“วิ่งเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก ข้าน่ากลัวเพียงนั้นเลยหรือ?” หนิงเทียนเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์
“เ้าน่ารักยิ่งกว่ากระต่าย” หญิงสาวสองคนพูดพร้อมกันด้วยรอยยิ้มสดใส ทว่าแววตาของทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“ยังดีที่ศิษย์พี่ทั้งสองมีวิสัยทัศน์และรู้ว่าข้าน่ารัก” เขาน้อมรับคำชมโดยไม่สนใจสีหน้าดูิ่ของพวกนาง สายตาของเขาจับจ้องเพียงขวดศิลาเท่านั้น
เมื่อกายาสุวรรณะนิรันดร์ลุกเป็ไฟ ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งทองคำ เขาพุ่งไปข้างหน้าพร้อมเสียงจากแรงกดดันอันหนักหน่วงที่ดังขึ้นตลอดทาง
ความกดดันในที่แห่งนี้แข็งแกร่งมาก แม้กายาสุวรรณะนิรันดร์ของหนิงเทียนจะอยู่ในระดับสองแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกราวกับร่างกายกำลังจะะเิ และกำปั้นก็เริ่มส่งเสียงแตกร้าว
“เปิดทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!” หนิงเทียนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เืลมสูบฉีดอย่างรุนแรง ผลึกในเส้นลมปราณปะทุขึ้น และแกนก้อนผลึกก็เรืองแสงพร้อมปล่อยพลังไร้เทียมทานออกมา ช่วยให้เขาบุกทะลวงไปหาขวดศิลาได้อย่างต่อเนื่อง
---------------------------------------
[1] ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว (指桑骂槐) หมายถึง ทำทีเป็ต่อว่าคนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกำลังต่อว่าอีกคน คล้ายสำนวน “ตีวัวกระทบคราด” ในภาษาไทย
[2] หนึ่งร้องหนึ่งรับ (一唱一和) หมายถึง การกระทำสอดรับกันหรือเข้ากันได้เป็อย่างดี คล้ายสำนวน “เข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย” ในภาษาไทย
[3] จางเฟย (张飞) หรือที่รู้จักในนาม “เตียวหุย” จากเื่สามก๊ก เป็ชายผู้สูงประมาณ 5 ศอก ผิวดำคล้ำ ศีรษะเหมือนเสือ และดวงตากลมใหญ่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้