ความสัมพันธ์ยิ่งสนิทกันมากยิ่งน่าเศร้าเมื่อถูกทำลาย
เพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ไม่เคยคิดฝันว่าจะตายด้วยน้ำมือของคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดด้วยวิธีที่เด็ดขาดเช่นนี้
อวิ๋นอี้นึกไม่ออกเลยว่า ตอนที่พวกเขาอยู่ในหลุมดิน มองดูดินเปียกทับถมตนเองลงมาทีละชั้นจะมีความรู้สึกอย่างไร
โทษตัวเองที่ตาบอดไป?
หรือโทษโชคชะตาที่เล่นกับใจคน?
นางถอนหายใจด้วยความเศร้า พิงหน้าเล็กๆ ของนางไปกับหน้าอกของหรงซิว พึมพำว่า "ภายหลังคำสาปนั่นกลายเป็จริงหรือเพคะ?"
“อื้ม” หรงซิวความรู้สึกไว เมื่อััได้ถึงความซึมเศร้าที่กะทันหันของนาง เขาจึงได้โอบแขนรอบเอวของนางเงียบๆ กอดนางแน่นขึ้นเล็กน้อย “แน่นอนว่าจักรพรรดิมิได้สนใจ ในความคิดของเขา เขาเป็ัแท้จริงที่์ส่งมา คนที่ตายไปเป็เพียงผู้ที่พ่ายแพ้ พวกเขาสู้เขามิได้ตอนที่มีชีวิตอยู่ คำพูดที่พูดทิ้งไว้ก่อนตายไม่กี่คำ จะทำกระไรเขาได้อย่างไร?"
“ดูเหมือนจะเป็เช่นนั้นจริงๆ” อวิ๋นอี้พูดคล้อยตาม ฟังเื่เล่าจนถลำลึกลงไป อดมิได้ที่จะถามอีกว่า “แต่ข้าเดาว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ผู้คนลืมคำสาปนั่นไม่ลง”
นางพูดถูก
หรงซิวชำเลืองมองอย่างชื่นชม หากคำสาปไม่เป็ผลจะกลายเป็เื่ตลก มีเพียงแค่สัมฤทธิผลแล้วเท่านั้นถึงทำให้ผู้คนกลัวได้
“จักรพรรดิเดิมมีพระธิดาสามคนและโอรสสองคน หนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์นั้น พระธิดาทั้งสามกลับสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับไปทีละคน สาเหตุการตายค่อนข้างแปลกและยังเป็ปริศนาที่ยังคลี่คลายมิได้ พระจักรพรรดิรู้สึกกลัวขึ้นมา เขาจึงเชิญคนมาทำพิธีใหญ่โต พยายามมีลูกอย่างมากทว่ากลับได้โอรสมาห้าหกคนติดต่อกัน”
“ห๊ะ? ทำไมมีแต่โอรสเล่าเพคะ? จักรพรรดิมิได้มีความสุขมากหรือเพคะ? อย่างไรเสียก็ยังมีความปิตาเยอะ” อวิ๋นอี้พึมพำอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์
“โอรสนั่นแหละ จักรพรรดิมีความสุขมาก ทว่าเมื่อพวกเขาโตขึ้น โอรสทั้งแปดต่างแย่งชิงบัลลังก์จนทำได้ทุกอย่าง ทำให้วังหลังปั่นป่วน พระโอรสคบกันกับนางสนมของเขา และสุดท้ายเขาก็ถูกปลิดชีพ และจักรพรรดิองค์ต่อๆ มาก็มีแต่พระโอรสอย่างมิมีข้อยกเว้น ราวกับประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พี่น้องฆ่ากันเอง ราชวงศ์ระส่ำระสาย หนทางการขึ้นเป็จักรพรรดิล้วนเต็มไปด้วยคาวเืและความโเี้ แม้แต่องค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เป็เช่นนั้น”
ในที่สุดอวิ๋นอี้ก็เข้าใจ “มิน่าเล่า เมื่อมีพระธิดาเขาถึงได้รักเช่นนั้น ทำลายคำสาปได้ เขาคิดว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงภาพที่ลูกชายฆ่ากันเองได้สินะ”
“นั่นเป็เหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงเพียรพยายามตามหาองค์หญิงผู้นั้น” หรงซิวพูดเสริมความ
หลังจากฟังเื่ราวที่ยืดยาวและซับซ้อนแล้ว อวิ๋นอี้ก็มีความรู้สึกใจหายและแปรปรวนเล็กน้อย
นางบิดตัว เงยหน้าขึ้นถามหรงซิว “ราชวงศ์ล้วนโเี้กันเช่นนี้เลยหรือเพคะ?”
“ครอบครัวราชวงศ์ล้วนโเี้มาแต่โบราณ เ้ามิเคยได้ยินประโยคนี้เลยหรือ?” หรงซิวตีก้นนางด้วยรอยยิ้ม “เ้าเด็กโง่เขลา”
การหยอกล้อของเขามิใช่สิ่งที่อวิ๋นอี้สนใจมากที่สุดในเพลานี้ ทว่านางกลับคิดถึงสิ่งอื่นได้ จึงรวบรวมความกล้าถามเขา “แล้วต้าอวี่เล่า? ฝ่าากับองค์ฮ่องเต้...”
“เขาเป็เพื่อนของบิดา มิใช่พี่น้อง ทว่าถึงเป็พี่น้อง เ้าน่าจะลืมไปแล้วว่าข้ามิใช่ลูกชายของฮ่องเต้ ข้าได้รับการยกเว้นให้อยู่ในลำดับราชวงศ์ จึงเรียกเขาว่าท่านลุง เรียกไทเฮาว่าท่านย่า”
อวิ๋นอี้เบิกตากว้างด้วยความใ นางคิดไม่ถึงเลยว่าความสัมพันธ์ของเขาจะเป็เช่นนี้
“เช่นนี้นี่เอง!” ท่าทีที่ใของนาง ทำให้หรงซิวขบขัน “เช่นนั้นความสัมพันธ์ของฝ่าากับฮ่องเต้จึงกลมเกลียวมาก ข้าสบายใจได้แล้ว”
หรงซิวหรี่ตาลง ยิ้มเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ถามนาง "บิดาข้ากับท่านพ่อตาเป็เพื่อนกันนะ"
"ห๊ะ?” นางส่งเสียงใอยู่หลายครา “จริงหรือเพคะ?”
“จริงสิ เรานับว่ารู้จักกันมาหลายชั่วอายุ” หรงซิวยิ้มจางๆ จงใจสังเกตสีหน้าของนาง เมื่อเห็นว่ามิมีความผิดปกติจึงได้โล่งอก
ถึงเพลานี้ เขาถึงได้รู้สึกว่าการสูญเสียความทรงจำของนางช่างดีจริงๆ
อวิ๋นอี้ได้รู้เื่ราวเช่นนี้พลันอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา รบเร้าเขาให้บอกรายละเอียดกับนาง หรงซิวเกลี้ยกล่อมนาง พูดตอบบ้างไม่ตอบบ้างแล้วอวิ๋นอี้ก็ผล็อยหลับไปโดยมิรู้ตัว
เมื่อตื่นขึ้นอีกครา คนที่อยู่ข้างเตียงกลับเป็เซียงเหอ
นางกำลังสั่งให้คนเอาน้ำแข็งในห้องไปเปลี่ยน
“เซียงเหอ ฝ่าาเล่า?” อวิ๋นอี้ลุกขึ้นพิงเตียงแล้วถาม
“องค์ชายออกไปแล้วเพคะ บอกว่าจะพาเ้าชายทั้งสองออกไปเดินเที่ยว” เซียงเหอเข้ามาพยุงนาง เมื่อเห็นนางขมวดคิ้ว ก็ใช้นิ้วช่วยนวดขมับให้นาง
ความเ็ปลดลงเล็กน้อย
อวิ๋นอี้หลับตา ฮัมเสียงเบา จู่ๆ ก็นึกถึงเสี่ยวมู่อวี่ขึ้นมา ถามอีกว่า “ลูกชายราคาถูกของข้าอยู่ที่ใด?”
“อยู่ในห้องเพคะ ให้คนไปส่งอาหารให้เขาทานแล้ว ทว่านายน้อยทานเนื้อเกลี้ยงเลย เหลือเพียงผักไว้”
อวิ๋นอี้หมดคำพูด “เ้าจัดการแทนข้าหน่อยนะ ข้าจะไปหาเขา”
เรือนของเสี่ยวมู่อวี่อยู่ไม่ไกลจากนางนัก ปกตินางมักจะหาเวลาว่างไปคุยกับเขาทุกวัน แม้จะบอกว่าเป็ลูกชายที่นางเก็บได้ระหว่างทาง ทว่านางก็ดูแลเขาด้วยหัวใจ
เว้นแต่สามสี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่นางและหรงซิวเผยความรู้สึกต่อกัน นางโดนทำจนมิมีเวลาไปหาเขา
อวิ๋นอี้มุมปากกระตุก คิดในใจว่าปล่อยตัวปล่อยใจเกินไป นางรู้สึกว่าจำเป็ต้องคุยกับหรงซิวเกี่ยวกับเื่ที่ต้องควบคุมบ้างเสียแล้ว
“พระชายาเพคะ มาแล้วเพคะ” เซียงเหอพูดเตือน ให้นางกลับมามีสติอีกครา
ลูกชายราคาถูกหูดี หลังจากที่เขาได้ยิน ก็รีบสับขาสั้นของเขามาที่หน้าเรือน
หนุ่มน้อยกำลังโต ทั้งๆ ที่มิได้เจอเขาเพียงไม่กี่วัน ทว่าเขากลับสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นอี้ประหลาดใจ เอื้อมมือไปลูบหัวของเขา ทำให้เสี่ยวมู่อวี่ร้องไห้ออกมา ย่นหน้าราวกับลูกมะระน้อยๆ
“ท่านแม่ราคาถูก!” เขาเรียกอย่างขุ่นเคือง
“อยู่นี่จ้า!" อวิ๋นอี้ยิ้มแล้วเดินไปอุ้มเสี่ยวมู่อวี่ขึ้นมา เด็กน้อยอายุห้าขวบหนักเล็กน้อย ตอนแรกนางยังรับได้ ทว่าหลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางพลันกัดฟันถามว่า "เสี่ยวมู่อวี่ เ้าบอกข้ามาตามตรง เ้าอ้วนขึ้นอีกแล้วหรือ?"
"......" เสี่ยวมู่อวี่ถูกว่า พยายามจะดิ้นออกจากกอดของนาง ส่ายหัวพูดว่า “อ้วนขึ้นนิดเดียวพ่ะย่ะค่ะ แค่นิดเดียว!"
เป็ผีถึงจะเชื่อคำพูดไร้สาระของเขา
อวิ๋นอี้เดินเข้าไปในห้อง ก้มลงบีบใบหน้าเล็กๆ ของเขาเพื่อสำรวจ จากนั้นพูด “แก้มใหญ่ขึ้นเท่าหนึ่งแล้ว เ้ายังบอกว่าอ้วนนิดหน่อยอีกหรือ?”
“......” เสี่ยวมู่อวี่กระแอมเล็กน้อย "อาจจะมากกว่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่าๆๆ
อวิ๋นอี้นั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงเก้าอี้ สั่งอย่างช้าๆ ว่า “ั้แ่วันนี้ไป ห้ามทานเนื้อ”
“ท่านแม่!” สีหน้าของเสี่ยวมู่อวี่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น รู้สึกราวสายฟ้าฟาดลงกลางหัว ตกตะลึงมาก “มิได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
น้ำเสียงของเขาออดอ้อน ใบหน้าเล็กๆ ของเขาดูจริงจัง เป็ความน่ารักที่ต่างกันนัก
อวิ๋นอี้หัวเราะ "เพราะเหตุใด?"
“ไม่ทานเนื้อมิได้พ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวมู่อวี่กำลังโตนะพ่ะย่ะค่ะ" เขาพูดพลางผายอก "มิให้ข้าทานเนื้อ ข้าจะไม่สูงนะพ่ะย่ะค่ะ"
"หากจะทานเนื้อ ต้องทานผักด้วย" อวิ๋นอี้เสนอข้อต่อรองนิ่งๆ "หากเ้าทานผัก จะมีเนื้อทาน หากไม่ทานผัก จะมิมีเนื้อ"
เป็ข้อเสนอที่เชือดเฉือน ทว่าจะไม่ตกลงก็มิได้ เสี่ยวมู่อวี่พยักหน้าทั้งน้ำตา ตกลงอย่างไม่เต็มใจต่อคำขอของนาง
อวิ๋นอี้ยิ้มอย่างพอใจ ยื่นมือออกไปลูบหัวของเขาอย่างสง่างาม “ดีมาก คืนนี้เ้ามาทานข้าวที่เรือนนะ เ้าชายเป่ยิมาอาศัยอยู่ที่จวนเรา เ้าไม่โผล่หน้ามาเลยมันไม่สุภาพ”
"ข้าไม่ไป!" เสี่ยวมู่อวี่ตอบโต้อย่างรุนแรง เขาพูดอย่างเกินจริงและร้องไห้ออกมา "ท่านแม่ ข้าไม่ไป...ข้าไม่ไป ..."
รอยยิ้มของอวิ๋นอี้ค่อยๆ หายไป นางจ้องเขาด้วยดวงตาที่ลึกล้ำ จากนั้นครู่หนึ่งก็พูดอย่างแ่เบาว่า "เ้ากลัวกระไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้