“พี่รอง! พี่ได้ยินที่ฉันพูดไหมเนี่ย?” ซ่งเหม่ยอวิ๋นขึ้นเสียง
ซ่งหานเจียงถามน้องสาวกลับ “อะไรนะ? เธอพูดว่าอะไรนะ?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันบอกว่า ทั้งหมดเป็เพราะพี่สะใภ้รองนั่นแหละ มีอะไรก็เอาไปพูดข้างนอกเห็นอยู่ชัดๆ ว่าตัวเองเจอกับอันธพาล จนต้องหนีเอาตัวรอดแถมยังทิ้งพี่เสวี่ยหรูไว้โดยไม่สนใจไยดีเลย แล้วเธอยังจะสาดโคลนใส่พี่เสวี่ยหรูอีก!”
“เธอเจออันธพาลด้วยหรือ?” ซ่งหานเจียงจับจุดสำคัญได้อย่างแม่นยำ เขาหันหน้าไปมองซย่านีด้วยความกังวล
ซย่านีตอบอย่างใจเย็น “ไม่ใช่อันธพาลอะไรหรอก ก็แค่คนรักเก่าของหลี่เสวี่ยหรูน่ะ”
“ไม่ใช่นะ! พี่พูดจาไร้สาระอะไรกันฮะ!” ซ่งเหม่ยอวิ๋นพูดตัดบทซย่านีอย่างเดือดดาล
ซย่านีไม่สนใจเธอและยังคงกล่าวต่อไป “เมื่อคืนวันพฤหัสฯ หลี่เสวี่ยหรูชวนฉันไปดูหนัง เธอให้ฉันยืมเสื้อผ้าของเธอแถมเธอยังแต่งหน้าให้ฉันด้วยนะ พอตกกลางคืนไม่มีไฟถนนสักดวง คนรักเก่าของเธอก็เลยเข้าใจผิด คิดว่าฉันเป็หลี่เสวี่ยหรูน่ะสิ”
“พี่รอง อย่าไปฟังซย่านีพูดนะ มันไม่ใช่คนรักเก่าของพี่เสวี่ยหรู มันเป็อันธพาลต่างหาก!” ซ่งเหม่ยอวิ๋นชี้หน้าซย่านีพร้อมกล่าวว่า “ซย่านี เธอแพร่ข่าวลือของพี่เสวี่ยหรูแบบนี้จงใจจะทำอะไรกันแน่? เธอรู้ไหมว่าอะไรที่เรียกว่าสามคนกลายเป็เสือ[1] น่ะฮะ? เธอได้ทำลายชื่อเสียงของพี่เสวี่ยหรูแบบนี้ มันทำให้เธอมีความสุขมากใช่ไหม? ทำไมเธอถึงใจร้ายแบบนี้?”
ซ่งหานเจียงขมวดคิ้วเบาๆ ดูท่าทางไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้ซ่งเหม่ยอวิ๋นคิดว่าพี่รองของเธอคงจะตำหนิซย่านีอย่างแน่นอนแต่จู่ๆ ซ่งหานเจียงก็กล่าวขึ้นว่า “มารยาทไปไหนหมด? นี่คือพี่สะใภ้รองของเธอนะ”
“……”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นพลันหายใจไม่ออก เธออัดอั้นตันใจจนต้องกลอกตาไปหนึ่งที
ซย่านีทนไม่ไหวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
ซ่งหานเจียงหันไปถามเธอ “มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?”
ซย่านียักไหล่พลางกล่าวว่า “ผู้ชายคนนั้นก็คือคนที่หลี่เสวี่ยหรูรู้จักตอนอยู่ที่ชนบท เขาอ้างว่าตัวเองเป็คนรักเก่าของหลี่เสวี่ยหรูและมาที่นี่เพื่อตามหาหลี่เสวี่ยหรูน่ะสิแต่หลี่เสวี่ยหรูไม่ยอมรับ ทั้งยังบอกว่าไม่รู้จักคนคนนั้นอีก ใครจะรู้ว่าสองคนนั้นใครกันที่พูดความจริง ฉันรู้แค่ว่าทุกวันนี้มียุวปัญญาชนมากมายที่ทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลังแล้วกลับเมืองหลวงมาตัวคนเดียว”
ซ่งหานเจียงที่ขมวดคิ้วอยู่พลันผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกล่าวว่า “เธอไม่เป็ไรก็ดีแล้ว” เขาไม่ได้สนใจเื่คดีรักของหลี่เสวี่ยหรูเลยแม้แต่น้อย
แม้ซ่งเหม่ยอวิ๋นจะเป็น้องสาวแท้ๆ ของซ่งหานเจียงแต่ซย่านีกล้าพูดเลยว่าเธอต่างหากที่เป็คนที่เข้าใจซ่งหานเจียงมากที่สุด เธอรู้ดีว่าในโลกใบนี้ สำหรับซ่งหานเจียงแล้ว นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์ที่ชายหนุ่มรักก็มีเพียงไม่กี่คนที่เขาใส่ใจจริงๆ ซึ่งหลี่เสวี่ยหรูนั้นไม่ใช่หนึ่งในคนเหล่านี้
ซ่งเหม่ยอวิ๋นเองก็มองออกว่าซ่งหานเจียงไม่สนใจหลี่เสวี่ยหรูเลยสักนิด เธอโกรธมากแต่ก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้ พี่รองของเธอคนนี้น่ะดีไปหมดทุกอย่างเสียอย่างเดียวคือดวงตามืดบอดยิ่งนัก พี่เสวี่ยหรูหน้าตาสวยงามออกปานนั้น เขากลับไม่เหลียวแลเลย หากพี่รองของเธอมีความรู้สึกดีๆ หรือชื่นชมพี่เสวี่ยหรูบ้างสักนิด ป่านนี้เธอคงจับคู่ให้พวกเขาสองคนไปแล้ว ตอนนี้ไหนเลยจะยังมีซย่านีโผล่มาได้อีก!
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ ซ่งหานเจียงก็พาเด็กทั้งสองกลับห้อง
ซ่งวั่งซูเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับพ่อของเธอว่า “พ่อคะ ถ้าพ่อได้ไปเรียนต่อต่างประเทศก็คงจะดีนะคะ”
ซ่งหานเจียงยิ้มเบาๆ พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ทำไมกันเล่า?”
ซ่งวั่งซูตอบผู้เป็บิดา “หากเป็เช่นนั้น บ้านเราก็จะได้มีโทรทัศน์สีเครื่องใหญ่ๆ กับตู้เย็นและก็เครื่องปรับอากาศไงคะ”
ซ่งหานเจียงรู้สึกขบขันกับคำพูดเด็กๆ ของซ่งวั่งซู “ถ้าพ่อไปเรียนต่อต่างประเทศก็คงซื้อโทรทัศน์สีกับตู้เย็นไม่ไหวอยู่ดี”
ซ่งวั่งซูถามต่อ “ไม่ใช่ว่าทำงานพิเศษแล้วจะได้เงินเยอะหรอกหรือคะ?” เด็กสาวเก็บทุกคำพูดของซ่งเหม่ยอวิ๋นมาใส่ใจ
ซ่งหานเจียงส่ายหน้า “จุดประสงค์ที่ประเทศของเราส่งคนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ก็เพื่อให้สหายเหล่านี้ได้เก็บเกี่ยวความรู้ทางวิทยศาสตร์ขั้นสูงจากอเมริกาเพื่อมาพัฒนาบ้านเกิดของตน อีกอย่างการศึกษาต่อต่างประเทศในครั้งที่ผ่านมาใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองปีเท่านั้น แค่เวลาเรียนยังไม่พอเลยจะเอาเวลาไหนไปทำงานได้เล่า?” เขายังคงสั่งสอนลูกสาวต่อไป “ลูกเองก็ต้องถนอมเวลาและตั้งใจเรียนให้มากๆ นะเข้าใจไหม?”
ซ่งวั่งซูตอบรับอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”
ซ่งหานเจียงหันไปหยิกแก้มลูกชาย “ลูกล่ะ ได้ยินสิ่งที่พ่อพูดหรือเปล่า?”
“อืม” ซ่งตงซวี่ตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก
“แล้วกระดาษของลูกที่ถูกฉีกไปน่ะอยู่ไหน?” ซ่งหานเจียงถาม
“อยู่กับแม่ฮะ” ซ่งตงซวี่หยิบกระดาษจากซย่านีส่งให้ซ่งหานเจียง ซ่งหานเจียงวางกระดาษลงบนโต๊ะแล้วต่อเข้าด้วยกัน “เดี๋ยวพ่อเอากระดาษอีกแผ่นมาให้ลูกนะ แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว อืม แล้วนี่อะไรน่ะ?”
“นี่คือสมุดการบ้านภาษาจีนของแม่ค่ะ!” ซ่งวั่งซูรีบตอบทันควัน
เพื่อช่วยเื่การเรียนของซย่านีอย่างจริงจัง ซ่งวั่งซูถึงขั้นเตรียมทุกอย่างไว้อย่างดี ไม่เพียงแต่หาหนังสือเรียนชั้นป.1 ของตนเองให้ผู้เป็แม่แล้วแต่ยังเตรียมสมุดแบบฝึกหัดไว้ให้อีกด้วย เธอเขียนชื่อของซย่านีลงบนสมุดแบบฝึกหัด และบอกซย่านีอย่างจริงจังว่า “ต่อไปนี้นี่คือสมุดแบบฝึกหัดของแม่นะคะ ทุกๆ วันหนูจะให้แม่ทำการบ้านและจะเป็คนตรวจการบ้านให้แม่ด้วย!”
ซ่งหานเจียงที่แต่ไหนแต่ไรมีสมองชาญฉลาดมาโดยตลอด พลันรู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมา “สมุดการบ้าน...ภาษาจีน”
“ใช่แล้วค่ะ!” ซ่งวั่งซูวิ่งเข้ามาหาผู้เป็พ่อแล้วเปิดหน้าสมุดการบ้านให้เขาดู แล้วชี้ไปที่ตัวอักษรคำว่า ‘ซย่านี’ ซึ่งมันถูกคัดแบบยึกๆ ยือๆ อยู่เต็มหน้ากระดาษ พลางพูดว่า “นี่ก็คือชื่อของแม่ หนูเป็คนสอนแม่เขียนเองค่ะ แม่เรียนรู้เร็วมาก หนูสอนแค่รอบเดียวแม่ก็เขียนเป็แล้ว”
ซ่งหานเจียงอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ เขากวาดสายตามองไปทั่วหน้ากระดาษ คำว่า ‘ซย่านี’ สองอักษรนี้ถูกเขียนแบบยึกๆ ยือๆ ในตอนแรก แต่พอผ่านไปยิ่งเขียนก็ยิ่งดูเรียบร้อยมากขึ้นจนสุดท้ายก็ดูไม่ออกอีกว่านี่เป็ตัวอักษรของคนที่กำลังเริ่มเรียน
ซ่งหานเจียงจำได้ว่าตอนที่เขาเพิ่งจะแต่งงานกับซย่านี เมื่อเขารู้ว่าซย่านีไม่ได้รับการศึกษา เขาก็เคยพูดถึงเื่ที่จะสอนหนังสือให้ซย่านีแต่กลับถูกปฏิเสธ แรกเริ่มเดิมทีเธอยังมีข้อแก้ตัวว่า “ตอนกลางวัน ฉันทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้วตอนเย็นก็ขอให้ฉันได้พักผ่อนบ้างเถอะนะ” ต่อมาพอถึง่เวลาที่ว่างจากการทำไร่ทำนาเขาจึงเอ่ยเื่นี้ขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้เธออับอายจนกลายเป็ความโกรธขึ้นมาแทนและกล่าวกับเขาว่า “ซ่งหานเจียง นายรังเกียจที่ฉันไม่มีการศึกษาใช่ไหม? นายมันคนมีการศึกษานี่แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า หากนายมาทำงานในไร่ในนาแบบฉัน นายยังทำงานสู้ฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ นายไปเลี้ยงตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยมาพูดเื่นี้กับฉัน!”
ภาพเหตุการณ์ในความทรงจำของซ่งหานเจียงนั้น ภรรยาของเขาถือเป็ตัวอย่างของคนที่ดื้อดึงและปฏิเสธความก้าวหน้า
ทว่าวันนี้จู่ๆ ซย่านีก็เริ่มสนใจเรียนหนังสือแล้ว!
ซ่งหานเจียงตกตะลึงราวกับเห็นหินแตกออกเป็ดอกไม้ เขาใมากจนคุมสีหน้าไว้ไม่อยู่ เขาก้มหน้าลงเพื่อดูข้อความบนหน้ากระดาษจากนั้นจึงเบนสายตามองไปทางซย่านี
ซย่านีรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าควรเอามือและเท้าของตัวเองไปวางไว้ตรงไหนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่ตนเองเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ั้แ่เธอกลับมาเกิดใหม่นี่ถือว่าเป็เหตุการณ์แรกที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายขายขี้หน้ามากถึงมากที่สุด
สิ่งที่น่าอับอายยิ่งกว่าก็คือซ่งวั่งซูเอ่ยถามพ่อของตนด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “พ่อคะ แม่เก่งมากเลยใช่ไหม?”
ใบหน้าของซ่งหานเจียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขายิ้มจนตาหยีเลยทีเดียว “ใช่แล้ว แม่ของลูกเก่งมากเลย”
“ลายมือของแม่เอง ก็สวยมากเลยนะคะ”
“ใช่ ลายมือของแม่สวยมาก”
“พอได้แล้วๆ” ซย่านีวางซิงซิงลงบนเตียงแล้วแย่งสมุดการบ้านคืนมา เธอใบหน้าแดงก่ำ “เลิกแหย่ฉันได้แล้ว ความรู้ฉันอยู่ระดับไหนฉันรู้ตัวดี...คุณลืมไปแล้วล่ะสิ ตอนที่เพิ่งแต่งงานกันคุณก็เป็คนสอนฉันเขียนชื่อตัวเองนะ”
[1] สามคนกลายเป็เสือ 三人成虎 เป็สำนวนหมายถึง คนพูดมากๆ จากข่าวลือกลายเป็ข่าวจริง
