เรือนหน้าของสกุลเสิ่นนับว่าค่อนข้างเล็ก จึงเพียงพอแค่ให้สมาชิกทั้งหกอยู่อาศัย จู่ๆ ก็มีคังต้าลี่กับภรรยาและลูกเพิ่มมา แม้ว่าจะเป็การซื้อมา แต่เสิ่นม่านก็มิวายเอ่ยเตือนทั้งสองสามีภรรยาก่อน
“ข้าจะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ในเมื่อพวกเ้าตัดสัมพันธ์กับสกุลคังและขายตัวมายังสกุลเสิ่น อย่าได้คิดเื่กินบนเรือนขี้บนหลังคา หากต่อไปพวกเ้าทำสิ่งที่ผิดต่อสกุลเสิ่น ข้าจะส่งตัวพวกเ้าไปให้ทางการ เข้าใจหรือไม่?”
คังต้าลี่ตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “เ้านาย เื่เหล่านี้ข้ารู้ดี ต่อไปเราสองคนจะตั้งใจทำงานเพื่อสกุลเสิ่นอย่างแน่นอน!”
ชุ่ยฮัวเสริม “ใช่แล้วเ้านาย เราไม่มีทางหักหลังท่านแน่ ตอนนี้ข้าเพิ่งคลอดลูกก็จริง แต่ก็หาได้เหนื่อยอะไรไม่ สามารถช่วยทำงานบ้าน…”
“ไม่ต้อง เ้ายังอยู่ไฟ เดือนนี้ข้าจะไม่จ่ายค่าแรงของเ้า ให้ต้าลี่ทำงานเพียงผู้เดียวก็พอ”
เสิ่นม่านไม่ได้ให้ทั้งสองยืนตากลมนานนัก นางให้พวกเขายกสัมภาระของตนไปยังด้านหลัง
ข้างโรงทำเต้าหู้ด้านหลังมีห้องว่างสองห้อง เดิมทีเสิ่นม่านคิดจะเอาไว้ใช้เก็บตุนถั่วเหลือง ตอนนี้พอมีคังต้าลี่กับครอบครัว จึงสละหนึ่งห้องเพื่อให้พวกเขาพักอาศัยเป็การชั่วคราวก่อน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองเก็บกวาดได้พอสมควร เสิ่นม่านจึงนำสัญญาอีกหนึ่งฉบับไปหาพวกเขา
“ในนี้คือข้อตกลงแรงงานของพวกเ้า ขอเพียงพวกเ้าทั้งสองทำงานอย่างขยันขันแข็งกับข้าสิบปี หลังจากสิบปีแล้ว ข้าจะคืนทะเบียนราษฎร์ให้แก่พวกเ้าและปล่อยพวกเ้าเป็อิสระ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของคังต้าลี่ก็เป็ประกาย ถึงกับอ้าปากค้างและหุบลงไม่ได้ “คือว่า... เ้านาย พวกข้าสามารถทำสัญญานี้ได้จริงหรือ?”
ชุ่ยฮัวเองก็เบิกตาโตและมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่แล้ว หากว่าพวกข้า้าทำงานในโรงทำเต้าหู้ของสกุลเสิ่นไปชั่วชีวิต ท่านจะอนุญาตหรือไม่?”
เสิ่นม่านรู้สึกขบขันกับคำพูดของพวกเขา “จะไม่ตกลงได้อย่างไร? ขอเพียงพวกเ้ายินยอม อีกทั้งทำงานได้ดี รอพ้นสิบปีค่อยทำข้อตกลงใหม่ จะยากตรงไหนกันเล่า?”
“ขอบคุณเ้านาย!” คังต้าลี่กับชุ่ยฮัวตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทั้งสองลงนามในสัญญาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็เก็บไว้ในอ้อมอกและลูบคลำ ความดีใจปลื้มปริ่มถึงกับล้นปรี่ออกมา
เสิ่นม่านเห็นว่าพวกเขาทั้งคู่กำลังดีใจ จึงไม่อยากรบกวนเวลาของพวกเขาและแอบออกไปเงียบๆ
ขณะที่เดินผ่านประตูเล็กมาก็จะถึงเรือนหน้า ภายใต้แสงจันทร์ เสิ่นม่านเห็นเยี่ยนชีกำลังฝึกกระบี่อยู่ตรงลานบ้าน ส่วนหนิงโม่เอามือกอดอกพิงประตู เขาเหม่อมองแสงจันทร์ราวกับกำลังครุ่นคิดเื่อะไรอยู่
เสิ่นม่านเดินผ่านเขา จู่ๆ หนิงโม่ก็พูดขึ้น “เ้าจ่ายเงินซื้อพวกเขาแล้ว เหตุใดจึงต้องทำข้อตกลงอันใหม่ด้วย? ต่อไปหากพวกเขาทรยศเ้า เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
เสิ่นม่านหยุดและสูดจมูกเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บนตัวของเ้าหมอนี่ถึงได้มีกลิ่นหอมจางๆ ตลอดเวลา เหมือนเป็กลิ่นหญ้า แต่ก็คล้ายดอกเหมย ทั้งสดชื่นและบริสุทธิ์
“เ้าไม่เข้าใจ ความรักและจริงใจมีค่าก็จริง แต่อิสรภาพนั้นมีค่าสูงกว่า! เดิมทีพวกเขาทั้งสองก็มีชีวิตที่ลำบากมามาก การมีพ่อกับพี่ชายเช่นนั้นนับว่าดวงอาภัพมากพอแล้ว หากข้ากดขี่พวกเขาตลอดชีวิต เช่นนั้นข้ายังจะนับเป็คนได้หรือ?”
หนิงโม่ “...”
ความนิ่งเงียบดำเนินอยู่นาน จนกระทั่งเขาขำเบาๆ “เ้าชอบนึกถึงผู้อื่นเสมอ เหตุใดจึงไม่คิดเพื่อตนเองเสียบ้าง?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยนชีที่กำลังฝึกกระบี่ถึงกับช้าไปครึ่งจังหวะ เพราะกำลังเงี่ยหูแอบฟังอย่างตั้งใจ
“คิดอะไร? ข้ามีอะไรต้องคิดเพื่อตนเองหรือ? ทั้งมีงานให้ทำ เด็กๆ อยู่ข้างกาย ทุกคนกินอิ่มนอนอุ่น ไม่ดีหรือ?”
หนิงโม่ฟังน้ำเสียงผ่อนคลายของนางและกระแอมเบาๆ
“แล้วพ่อของต้าเป่าเล่า? เ้าไม่คะนึงหาเขาหรือ?”
พ่อของต้าเป่า? เสิ่นม่านเอียงศีรษะ เหมือนตกสู่ภวังค์แห่งความคิด อันที่จริงนางเคยให้ระบบค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลนี้อย่างบ้าคลั่ง
ผลปรากฏว่าไม่เจออะไรเลย
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนผู้นั้นคือใครและมีที่มาอย่างไร หรือว่าร่างเดิมจะลืมความทรงจำ่นั้นไป? หากไม่ใช่เพราะต้าเป่าเกิดมาจากร่างกายนี้จริง นางคงสงสัยว่าเด็กถูกเก็บมาเลี้ยงหรือไม่!
ดวงตาเหม่อลอยไปหลายวินาที จากนั้นเสิ่นม่านก็สะบัดศีรษะและหาข้ออ้างมั่วซั่วมากลบเกลื่อน
“เฮ้อ คนตายไปไม่รู้กี่ปีแล้ว อย่าเอ่ยถึงอีกเลย เอ่ยไปก็ทำให้ต้าเป่าเศร้าใจเปล่าๆ”
สมัยก่อนนางเคยหลอกต้าเป่าเช่นนี้ เด็กน้อยเชื่อฟัง นางพูดอะไรก็เชื่อตามนั้นและไม่เคยสงสัย
แต่หนิงโม่ขมวดคิ้ว ดวงตาคู่สวยแน่นิ่ง ั์ตาล้ำลึกดุจห้วงนที เผยให้เห็นเพียงคลื่นเล็กน้อย “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเอ่ยถึงเขาขึ้นมา”
เสิ่นม่านยักไหล่อย่างไม่แยแส จากนั้นหันกลับเข้าเรือนหลักไป
“ไม่เป็ไร ข้าให้อภัยเ้า”
หนิงโม่ “...”
เยี่ยนชีวางกระบี่ลงและยื่นศีรษะมา “เ้านาย ข้ารู้สึกว่าแม่นางเสิ่นช่างน่าสงสารเหลือเกิน อายุยังน้อยแต่คนรักกลับตายจาก เหลือไว้เพียงนางที่ต้องเลี้ยงดูเด็กสามคน ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ”
หนิงโม่พยักหน้า “ใช่แล้ว ไม่ง่ายดายจริงๆ ต่อไปข้าจะเอาเงินเบี้ยหวัดของเ้ามาช่วยสนับสนุนครอบครัวนางเอง”
เยี่ยนชี “...”
ความเห็นอกเห็นใจที่เพิ่งก่อเกิดเมื่อครู่ จู่ๆ ก็อันตรธานไปในอากาศ
อีกด้านหนึ่ง เสิ่นม่านเรียกหนิงโม่จากเรือนหลัก เขาตอบรับและตามไป
เสิ่นม่านเรียกเขาเข้ามาและวางกล่องที่ถูกห่ออย่างประณีตสวยงามไว้บนโต๊ะ นางถูฝ่ามือด้วยความตื่นเต้น
“วันนี้ข้าเห็นชุดหนึ่งที่ตำบล มันงดงามมาก ข้าคิดว่าน่าจะเหมาะกับเ้า เ้าลองสวมดูดีหรือไม่?”
ชุด? หนิงโม่หรี่ตาลง นี่ไม่ใช่หนแรกที่ผู้หญิงคนนี้ซื้อชุดให้เขา
เขาเปิดกล่องที่ประณีตอย่างไม่ได้คาดหวัง ภายใต้แสงเทียน หนิงโม่เห็นสีแดงเข้มสุกสว่างที่สะท้อนสู่สายตาแล้ว ั์ตาแน่นิ่งไปชั่วขณะ
“แต่ก่อนล้วนเป็สีดำไม่ใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้จึงเป็… สีสดใสเช่นนี้?”
เสิ่นม่านขยับเก้าอี้มานั่งลงด้วยท่าทางดีอกดีใจ
“เ้าเพิ่งจะอายุแค่นี้ วันๆ เอาแต่สวมใส่สีเคร่งขรึมทำให้เ้าดูไม่มีชีวิตชีวา คนหนุ่มก็ต้องลองใส่สีสันอย่างกล้าหาญ เ้ามีรูปโฉมงดงาม หากสวมชุดนี้ต้องตระการตาเป็แน่!”
หลังจากนั้นนางก็ยกนิ้วโป้งให้อย่างจริงจัง
หนิงโม่มองดูนาง คิ้วเข้มกระตุกเล็กน้อย แต่มุมปากกลับยกขึ้น
“เื่ที่ข้าหน้าตาดี ยังต้องให้เ้าบอกหรือ?” หลังจากนั้นเขาก็เหลือบมองชุดสีสดใสและเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เสื้อผ้าน่าเกลียดเกินไป ข้าไม่มีทางใส่มัน”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเสิ่นม่านบึ้งตึงทันที
ไม่ใส่ก็ไม่ต้องใส่!
นางกําลังจะเอาเสื้อผ้ากลับและตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะเอาไปคืนที่ร้าน แต่หนิงโม่กลับคว้ากล่องและจากไป
“ของขวัญที่มอบให้กันแล้ว จะมาเอาคืนได้อย่างไรกัน?”
เสิ่นม่านไม่พอใจ “เ้าไม่ใส่แล้วยังไม่ให้คืนของอีกหรือ?!”
นั่นคือเงินสิบตำลึงเชียวนะ สิบตำลึง!
หนิงโม่เม้มริมฝีปากบาง แววตาเผยท่าทีไม่แน่ชัด “ข้าจะแขวนไว้ในห้องเพื่อกันยุง เ้ายุ่งอะไรด้วย?”
หลังพูดจบ เขาก็สาวเท้าจากไป
เสิ่นม่านจ้องมองชายหนุ่ม ผ่านไปนานค่อนวันก่อนจะพึมพำ
“ชายคนนี้...” อยากได้ก็บอกมาตามตรง เ้าไม่พูดแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเ้าอยากได้?
ฮึ่ม! ไยจึงต้องทำตัวปากไม่ตรงกับใจด้วยเล่า?
-----
