ปลายเดือนสี่ต้นเดือนห้า มีตำนานบอกเล่าไว้ว่าผู้คนที่พลัดพรากจากจวนไปนานกว่าสองเดือนจะกลับมาถึงในเร็วๆ นี้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะกลับมา พระราชโองการและรางวัลพระราชทานจากตี้จวินกลับเดินทางมาถึงก่อนแล้ว
ตี้จวินทรงยกย่องว่าการสนับสนุนของตระกูลเหยียนในเหตุการณ์โรคระบาดที่เมืองหนานฮั่นนั้นไม่อาจลืมได้ มูลค่าของรางวัลพระราชทานที่ได้รับทำให้ผู้คนรอบข้างล้วนอิจฉา แต่เนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของอ๋องฉางอัน แม้ว่าจวนตระกูลเหยียนจะได้รับรางวัลแต่ก็ต้องแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมาด้วย ตอบกลับผู้ส่งสารไปว่าขอให้ตี้จวินทรงรักษาพระวรกายและขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้
ตอนนี้ทุกคนได้รู้แล้วว่าตระกูลเหยียนได้ใจของตี้จวิน ผู้คนจึงไม่ลืมคว้าโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเหยียนชิงเอาไว้ ด้านเหยียนชิงเขากำลังกังวลว่าตี้จวินจะรู้ทุกอย่างเพียงแค่ไม่พูดออกมา
เหยียนชิงได้รับรู้มาจากผู้ส่งสารว่า ั้แ่เกิดเื่ของอ๋องฉางอันขึ้นมา ตี้จวินทรงอยู่ในความเ็ปจากการสูญเสียแขนขา[1] ทำให้ทรงประชวรอยู่บ่อยครั้ง เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ล้วนเป็กังวล โชคดีที่องค์ชายใหญ่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้าุโในราชวงศ์จึงสามารถช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของตี้จวินและจัดการกับเื่บ้านเมืองได้ ล่าสุดมีข่าวลือกันว่าตี้จวินมีพระประสงค์ให้องค์ชายใหญ่ขึ้นเป็ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ได้รับแต่งตั้งเป็เซ่อเจิ้งอ๋อง[2]
มีการถกเถียงกันมากมายระหว่างเหล่าขุนนาง ฝ่ายที่เห็นด้วยและต่อต้านได้ถูกแบ่งออกเป็สองฝ่าย ก่อนการนำเสนออย่างเป็ทางการ ทุกคนต่างก็คุยกันอย่างลับๆ
ก่อนหน้านี้เหยียนชิงได้ยินมาว่าพระวรกายของตี้จวินทรงประชวรครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่สามารถขึ้นว่าราชกิจได้ เขารู้สึกว่าเื่นี้มันมีบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกัน แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกนี้เกิดจากอะไร เมื่อได้ยินข้อมูลที่กล่าวอย่างอ้อมค้อมเช่นนี้ เขาก็รู้สึกตระหนักขึ้นมาได้ในทันที
เนื่องจากเฟิงฉางหลินในชาติก่อนก็ได้ขึ้นเป็เซ่อเจิ้งอ๋องและภายหลังทรงช่วยองค์รัชทายาทในการบริหารบ้านเมือง แต่ในชาติก่อนเฟิงฉางหลินเป็เซ่อเจิ้งอ๋องเมื่ออายุได้ยี่สิบปี ซึ่งหมายความว่าเฟิงฉางหลินอายุยี่สิบปีถึงได้มีคุณสมบัติให้ขึ้นเป็เซ่อเจิ้งอ๋องได้ และในตอนนี้เขาเพิ่งอายุสิบห้าปีเท่านั้น ได้รับมาเร็วไปถึงห้าปี
ในชาติก่อน เพราะตี้จวินต้องพบเจอกับเื่วุ่นวายมากมายอย่างเื่ระหว่างตระกูลเหยียนและตระกูลเว่ยที่แตกแยกกันในเวลาต่อมา และใน่ที่กำลังซึมเศร้าจึงให้องค์รัชทายาทเข้ามาดูแลบ้านเมือง และให้เซ่อเจิ้งอ๋องช่วยดูแลร่วมด้วย ตอนนี้ยังเร็วเกินไป... ตี้จวินกำลังคิดอะไรอยู่?
เหยียนชิงไม่เชื่อว่าตี้จวินที่ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ในเวลานี้จะไม่้าเข้าปกครองบ้านเมืองเพียงเพราะเหตุดังกล่าว ความเป็พี่เป็น้องในราชวงศ์เป็อย่างไรไม่มีใครรู้? ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างตี้จวินกับอ๋องฉางอันจะดีสักเพียงใดมันก็ยังไม่เพียงพอ เกรงว่าจะมีสิ่งอื่นเข้ามาร่วมด้วย...
หลังจากที่ผู้ส่งสารจากไป เหยียนชิงกังวลว่าบางสิ่งจะเปลี่ยนไปอย่างลับ ๆ เขาจึงเขียนจดหมายถึงอิ้งหลีอีกครั้ง
เพียงแต่ในขณะนี้อิ้งหลีที่ไกลถึงเมืองหลวง ความในใจจึงไม่สามารถบอกไปได้หมด
ยามค่ำคืน ห้องทรงพระอักษรในพระราชวัง
อิ้งหลีและองค์ชายใหญ่เฟิงฉางหลินนั่งเคียงข้างกันอยู่หน้าโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่ที่ในวันปกติตี้จวินจะใช้สำหรับพิจารณาฎีกา ฝั่งตรงข้ามมีอัครมหาเสนาบดีผู้ดูแลด้านการเมืองการปกครองและราชครูเฒ่าซึ่งอยู่ในวัยใกล้เกษียณ พูดให้ชัดเจนก็คือเหล่าข้ารับใช้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตี้จวิน
เฟิงฉางหลินพิจารณาฎีกาทั้งหมดอย่างตั้งใจ เขาเพียงแค่ตรวจสอบด้วยตนเองอย่างง่ายๆ หากมีส่วนที่ไม่เข้าใจหรือไม่สามารถตัดสินใจเองได้ก็อ่านมันออกมา แล้วขอความเห็นจากอิ้งหลีเป็อันดับแรก หลังจากอิ้งหลีอธิบายจบก็รับฟังความคิดเห็นของผู้าุโท่านอื่นอีกครั้ง แล้วจึงตรวจสอบครั้งสุดท้าย หากยังตัดสินใจไม่ได้ ก็วางมันไว้ก่อน รอเวลานำไปห้องบรรทมเพื่อรับคำชี้แนะจากตี้จวินในภายหลัง
นี่ก็คือวิธีการพิจารณาฎีกาในยามนี้
ในขณะที่เฟิงฉางหลินยังไม่จำเป็ต้องถามสิ่งใด อิ้งหลีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองไปยังฝั่งตรงข้ามที่เหล่าขุนนางาุโผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายกำลังนั่งจิบชาพูดคุยกันอย่างแ่เบา เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการที่ตี้จวินทรงจัดตำแหน่งเช่นนี้มันเพื่ออะไรกันแน่?
คำแนะนำของเขาที่อยู่ในตำแหน่งตรงกลางมันจะมีความสำคัญได้อย่างไร? เป็การเสียเวลาไปเปล่า ๆ
เนื่องจากเมื่อไม่กี่วันก่อน ตี้จวินทรงมีรับสั่งให้เขาเข้าร่วมการพิจารณาฎีกากับเฟิงฉางหลิน และต้องพูดแสดงความคิดเห็นของตนเองต่อหน้าผู้าุโทุกท่านอย่างระมัดระวัง พูดได้ถูกต้องผู้าุโก็เพียงแค่พยักหน้า หากพูดไม่ถูกต้องก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้าุโอย่างรอบคอบและต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ เพื่อที่จะไม่ทำผิดซ้ำอีก
จากในตอนแรกที่ไม่คุ้นเคยและไม่อาจปล่อยวางได้ หลังจากผ่านการอบรมสั่งสอนจากเหล่าผู้าุโแล้ว ได้ผ่านการเรียนรู้ไปอีกสองสามวัน ตอนนี้เหล่าผู้าุโที่เคยอบรมสั่งสอนอิ้งหลีล้วนกำลังพยักหน้า เวลาผ่านไปครึ่งวัน เหล่าผู้าุโแทบไม่พูดสิ่งใดออกมา ชาก็ดื่มเข้าไปไม่น้อยแล้ว
อิ้งหลีไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตี้จวิน้าทำอะไร การกระทำเช่นนี้กำลังแพร่กระจายออกไปและมันเป็การกระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ เขาแค่อยากทำตามที่เหยียนชิงบอกไว้ เป็ราชครูผู้หนึ่งที่อยู่อย่างสงบสุขก็เพียงพอแล้ว การเข้ามาพัวพันกับเื่แบบนี้เป็สิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ที่ทำให้เขาหดหู่ยิ่งกว่าเดิมก็คือ ในทุกๆ วันนอกจากอยู่ในห้องทรงพระอักษรแล้ว เขายังต้องติดตามเฟิงฉางหลินไปที่ห้องบรรทมเพื่อนำฎีกาที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ไปมอบให้ตี้จวิน หลังจากตี้จวินพิจารณาฎีกาเสร็จสิ้นแล้ว เฟิงฉางหลินก็กลับไปแต่เขายังต้องอยู่ต่อและต้องดื่มกับตี้จวินอีกสองสามจอก
ใช่ ไม่ผิด มันคือการดื่มเหล้า
เขาคือราชครู ตอนนี้ในทุกๆ วันนอกจากสอนหนังสือให้กับเหล่าองค์ชายองค์หญิงใน่เช้าแล้ว ใน่บ่ายยังต้องไปพิจารณาฎีกาที่ห้องทรงพระอักษรของตี้จวิน ในยามดึกหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้วเขายังต้องดื่มกับตี้จวินเพื่อคลายความเบื่อหน่าย
ถึงแม้จะไม่ใช่งานหนัก และอาหารสามมื้อก็มีคนนำมาจัดส่งให้ถึงที่ แต่เขาไม่ชินกับมันจริงๆ อีกทั้ง เห็นได้ชัดว่าตี้จวินที่มีความฮึกเหิมประดุจัและเสือที่ผาดโผน[3] ้าให้เหล่าหมอหลวงพูดปดออกมาและทำให้ราชสำนักอยู่ในความสับสนอลหม่าน ท้ายที่สุดกำลังวางแผนอะไรอยู่?
มองอย่างไรก็ไม่สมควร หากราชสำนักไม่มั่นคงก็จะมีปัญหาตามมาได้อย่างง่ายดาย องค์รัชทายาทยังเล็ก ให้เฟิงฉางหลินได้ขึ้นเป็เซ่อเจิ้งอ๋องในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อผลักดันให้เฟิงฉางหลินขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของพายุ[4] หรอกหรือ? แม้กระทั่งผู้บริสุทธิ์เช่นเขาก็ถูกลากเข้ามาด้วยเช่นกัน คิดไม่ออกจริงๆ พรุ่งนี้คงต้องเขียนจดหมายบอกเล่าเื่นี้กับชิงเอ๋อร์
“เอาล่ะ ดึกมากแล้ว ผู้าุโทุกท่านก็คงเหนื่อยแล้วเช่นกัน วันพอเท่านี้ก่อน เชิญท่านผู้าุโทุกท่านกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ยัง้าคำแนะนำอีกมาก ส่วนฎีกาที่เหลือที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ข้าและท่านราชครูจะนำไปยังห้องบรรทมของเสด็จพ่อ”
หลังจากที่เฟิงฉางหลินอนุมัติฎีกาในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกขึ้นและโค้งคำนับผู้าุโทุกท่านอย่างนอบน้อมถ่อมตน ซึ่งถือเป็มารยาทง่าย ๆ ในการขอคำแนะนำ โดยไม่คำนึงถึงฐานะ ผู้าุโใน่วัยใกล้เกษียณเหล่านี้แม้แต่ตี้จวินและเซียนตี้ก็ยังต้องรักษามารยาทกับพวกเขา
“เช่นนั้น เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่คงต้องขอลาไปก่อน ที่เหลือต้องรบกวนองค์ชายใหญ่และท่านราชครูแล้ว”
เหล่าผู้าุโลุกขึ้นและจากไปพร้อมรอยยิ้ม อิ้งหลีเริ่มจัดระเบียบฎีกาลงไปในหีบที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อนำไปที่ห้องบรรทมของตี้จวินก่อนจะยกขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักตงหวาที่ห้องบรรทมของตี้จวิน
“สองสามวันมานี่งานหนักแล้ว”
เฟิงฉางหลินพูดไปเรื่อยเปื่อยในระหว่างทาง คนที่ธรรมดาจะไม่พูดมาก ไป ๆ มา ๆ ก็มีคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค
อิ้งหลียังคงยิ้มตอบ “ไม่เป็ไร จะบอกว่าเป็งานหนักก็ยังยากอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงฉางหลินส่ายหัว “สามารถช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของเสด็จพ่อได้จึงไม่รู้สึกว่าเป็งานหนักเลย”
อิ้งหลียิ้มและพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร นี่คือบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้แต่ถ้อยคำและน้ำเสียงก็ยังใกล้เคียงกัน
เฟิงฉางหลินเติบโตเหมือนต้นหยกที่หันหน้าเข้าหาลม[5] คิ้วดาบและดวงตาเป็ประกาย[6]เต็มไปด้วยจิติญญาที่กล้าหาญ อายุสิบห้าปีก็ร่างสูงแล้ว ด้วยท่าทางที่สงบเกินกว่าวัย และความประพฤติที่สง่างาม ทุกการเคลื่อนไหวมีความน่าเกรงขามที่คนรุ่นเดียวกันไม่มี แม้แต่องค์ชายสามเฟิงอี้ที่ซุกซนที่สุดก็ยังไม่กล้าสร้างปัญหาต่อหน้าเขา
ยามอิ้งหลีเฝ้ามองเขาพิจารณาฎีกามักจะคิดเสมอว่า เื่ราวในวันหน้าไม่กล้าพูดถึง แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ เฟิงฉางหลินเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการคัดเลือกฉูจวิน[7]
แน่นอนว่าเื่นี้มันเป็ไปไม่ได้ เพราะตี้จวินมีองค์ชายเพียงองค์เดียวที่สืบเชื้อสายโดยตรง หากตี้จวินไม่ได้สั่งให้มีการสถาปนารัชทายาทพระองค์อื่น องค์ชายห้าเฟิงอวิ๋นเยี่ยนก็จะได้เป็ฉูจวินแห่งตำหนักบูรพา[8]
เชิงอรรถ
[1] การสูญเสียแขนขา (失去手足) หมายถึงการสูญเสียพี่น้องหรือเพื่อนสนิทที่เข้าใจว่าคุณเติบโตขึ้นมาอย่างไร
[2] เซ่อเจิ้งอ๋อง คือ ตำแหน่งขององค์ชายที่ได้ขึ้นเป็ผู้สำเร็จราชการช่วยบริหารบ้านเมืองแทนฮ่องเต้โดยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
[3] มีความฮึกเหิมประดุจัและเสือที่ผาดโผน (生龙活虎) อุปมาถึงความมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยพลังเหมือนกับัที่มีชีวิตชีวา และเสือที่กระฉับกระเฉงแข็งแรง
[4] จุดสูงสุดของพายุ (风口浪尖) เป็คำอุปมาถึงการอยู่ในด่านหน้าของการต่อสู้ทางสังคมที่ดุเดือด และเฉียบแหลมมีความรุนแรงเป็อย่างมาก
[5] ต้นหยกที่หันหน้าเข้าหาลม (玉树临风) คือการพรรณนาถึงคนที่หล่อเหลา สวยงาม และสง่าผ่าเผย (ส่วนมากจะบรรยายถึงผู้ชาย)
[6] คิ้วดาบและดวงตาเป็ประกาย (剑眉星目) หมายความว่ามีคิ้วโค้งเรียวเหมือนดาบ และมีดวงตาเป็ประกายดุจดวงดา โดยทั่วไปใช้เพื่ออธิบายถึงรูปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความซื่อตรง และความกล้าหาญ
[7] ฉูจวิน (储君) คือว่าที่คำเรียกฮ่องเต้หรือมกุฎราชกุมาร
[8] ตำหนักบูรพา (东宫) คือตำหนักที่ตั้งอยู่ทางทิศบูรพา หรือทิศตะวันออก เป็ที่พำนักของไท่จื่อหรือรัชทายาท
