เช้าตรู่ เซี่ยวอี๋ลุกออกจากที่นอนซึ่งปูด้วยผ้าไหมแท้ เธอสวมรองเท้าแตะ Adidas เดินเข้าไปในห้องน้ำ เธอใช้แปรงสีฟันไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของ Philips เซี่ยวอี๋ถอดเสื้อและกางเกงนอน ก่อนจะเอนตัวลงไปในอ่างจากุซซี่เพื่อแช่น้ำอุ่นให้สบายตัว
เธอไม่ใช่ลูกคุณหนูที่เกิดในตระกูลเศรษฐี และเธอก็ไม่ได้เป็ “ปีศาจกระดูกขาว” ที่หาเงินได้เดือนละหนึ่งหมื่นหยวนขึ้นไป เธอแค่เคยผลาญเงินเล่นไป 2 แสนกับเสิ่นิแค่เพียงครั้งเดียว
เมื่อใดก็ตามที่เธอคิดถึงมัน เธอก็จะพลอยนึกถึงเงิน 3 แสนที่ถูกเพื่อนงี่เง่าของเสิ่นิเชิดไปด้วย เดิมทีตอนที่เสิ่นิใช้บัตรของเซี่ยวอี๋รูด เขารับปากว่าจะคืนให้เธอเป็สองเท่า แต่ตอนนี้แม้แต่เงินต้นเธอก็ยังไม่ได้กลับมาเลยด้วยซ้ำ
เงินออมทั้งหมดของเธอเหลือแค่ 1,980 หยวน เซี่ยวอี๋กล้ากินเพียงบะหมี่สำเร็จรูปเท่านั้น ์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเมื่อไรเสิ่นิถึงจะได้ทำมาหากินอีกครั้ง เพื่อจะได้ไม่ต้องลงเอยด้วยการกินหญ้า เซี่ยวอี๋จึงกินอยู่อย่างประหยัด
ในขณะที่เซี่ยวอี๋สวมรองเท้าแตะเดินไปยังระเบียงพร้อมกับบะหมี่สำเร็จรูปในมือ เสิ่นิก็กำลังจัดแปลงผักของเขาอยู่ที่ด้านล่าง
“ไฮ!” เสิ่นิโบกมือให้ทั้งที่ยังหันหลัง
“นานแค่ไหนกว่าที่ผักของนายจะออกผล? ไม่ใช่ว่านายจะหิวตายก่อนที่มันจะงอกหรอกเหรอ?” เซี่ยวอี๋พิงระเบียงพลางสูดกินบะหมี่สำเร็จรูปรสผักกาดดอง
“วางใจเถอะ ผมใส่ปุ๋ยที่ผลิตโดยมนุษย์ รับรองว่าโตมาแข็งแกร่ง! มันอาจจะเป็เหมือนกับใน Resident Evil ก็ได้ พวกมันอาจจะช่วยให้เราต้านทัพซอมบี้ได้” เสิ่นิยิ้มร่า ท่อน้ำตรงหน้ากำลังรดลงบนแปลงผัก
“เช็ด! นายทำอะไรน่ะ?” บะหมี่ในปากของเซี่ยวอี๋พุ่งออกมา
“ใส่ปุ๋ยน่ะสิ? ใส่แบบเปียกก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยตามด้วยแบบแห้ง!” เสิ่นิถอดเข็มขัดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ไอ้โรคจิต! ถ้านายกล้าอึฉี่เรี่ยราดในสนาม! ฉันจะทุบนายให้ตาย!” เซี่ยวอี๋ไม่อยากจะนึกถึงตอนกลางคืนที่เธอออกไปเดินเล่น เกิดไปเหยียบก้อนอุนจิเข้าจะทำอย่างไร
ในขณะที่ทั้งสองหยอกล้อกันโดยมีระเบียงกั้นดังเช่น ‘Romeo and Juliet’ จู่ๆ ก็มีรถ Volkswagen สีดำคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้าน นั่นไม่ใช่รถหรู แต่ป้ายทะเบียนก็มีตัวหนังสือว่า “0001 ตำรวจ” เห็นได้ว่าชัดว่าเป็รถของผู้อำนวยการของหน่วยพิทักษ์สันติราษฎร์
“ผู้กองจ้าว?!” อย่างไรก็ตามแต่เซี่ยวอี๋ยังเป็ตำรวจ ถ้าเธอจำรถคันนี้ไม่ได้ เธอคงต้องไปแทงตาตัวเองให้บอดทั้งสองข้าง เธอวางบะหมี่ลงอย่างลนลานและรีบหมุนตัววิ่งออกไปต้อนรับเขา
“ธุรกิจมาแล้ว” เสิ่นิเดินไปที่รถเก๋งที่จอดอยู่ด้านนอก ก่อนจะดึงกางเกงขึ้น
ผู้กองจ้าวสวมชุดลำลองลงรถมา ที่ด้านข้างของเขาขนาบด้วยตำรวจนายหนึ่งซึ่งสวมหูฟังอยู่ ดูจากท่าทีก็รู้แล้วเขาว่าเป็ตำรวจพิเศษฝึกหัด ในรถยังมีตำรวจอีกสองนาย นายหนึ่งเป็คนขับ ส่วนที่เบาะหลังก็มีตำรวจหญิงอีกนายหนึ่ง ในขณะที่เปิดปิดรถนั้น เสิ่นิได้กลิ่นน้ำหอมฉุน มันต้องไม่ใช่ของผู้ชายตัวเหม็น 3 คนนี้แน่
อีกอย่าง เมื่อเสิ่นิและผู้กองจ้าวสบสายตากัน เสิ่นิก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะเขากลายเป็คนเก่าคนแก่ซึ่งคุ้นเคยกันดี ที่แท้ผู้กองจ้าวคนนี้ ก็คือผู้กองจ้าวที่เคยออกมาเจรจากับเสิ่นิที่ชานชาลาของโรงงานเมื่อ 10 ปีก่อน
พริบตาเดียวไม่เจอกันนานนับสิบปี จากผมของรองผู้อำนวยการซึ่งหงอกเล็กน้อย ตอนนี้กลายเป็ขาวโพลนทั้งศีรษะ เขาดูมีอายุขึ้น
“เจอกันอีกแล้ว” ผู้กองจ้าวเห็นว่าเสิ่นิดูสูงและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกผสมปนเปกันอยู่ภายในใจ
ย้อนคิดถึงสมัยนั้น เขาซึ่งยังผอมกะหร่องและพกปืนยาวบุกเข้าไปในรังโจร สังหารอันธพาลเป็ร้อยด้วยตัวลำพังเพียงคนเดียว ระหว่างเผชิญหน้ากับเ้าหน้าที่ตำรวจ เขาได้รับาเ็และหมดสติไป
เดิมทีผู้กองจ้าวคิดว่าเขาตายไปแล้ว เบื้องบนก็บอกมาเช่นนั้น กรณีพิเศษ จัดการแบบพิเศษ ตัดสินเร็วปะาเร็ว แต่เมื่อได้รับไฟล์คำสั่งลับ เขาถึงกับผงะไป
เดิมทีเสิ่นิเป็เด็กผู้น่าสงสาร เขาควรจะมีอนาคตที่มีความสุข แต่ทั้งหมดนั่นก็พังทลายลงในเพียงคืนเดียว
ในทางทฤษฎีแล้ว เสิ่นิซึ่งได้รับโทษฐานฆาตกรรม สมควรที่จะคัดเลือกตำรวจพิเศษที่ฝีมือแกร่งที่สุดมาคอยติดตามถึงจะถูก แต่ผู้กองจ้าวเชื่อว่าเสิ่นิเป็คนดี จากประสบการณ์การเป็ตำรวจอาชญากรรมนานหลายปีของเขาทำให้เขามั่นใจในข้อนี้ ดังนั้นเมื่อเซี่ยวอี๋อาสาขอรับทำภารกิจนี้ เขาจึงรับปากโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก
“เป็รองผู้อำนวยการเขตเมืองชั้นสาม ไต่เต้ามาจนเป็ผู้อำนวยการเขตมหานครได้ ดูเหมือนว่าเส้นทางในอาชีพการงานของคุณจะก้าวหน้าไม่เบาเลยนะ” เสิ่นิไม่ได้ะเื เื่ที่เกิดก่อนนิรวานไม่อาจรบกวนจิตใจของเขาได้ ใช่ว่าเืเย็น แต่เพื่อความอยู่รอด
“เคราะห์ดีที่นายกำจัดคนพาลอย่างปาเหลี่ยงจินไปได้ การรักษาความปลอดภัยในท้องถิ่น ณ ตอนนั้นจึงดีขึ้นพอๆ กับ่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ความปลอดภัยพื้นฐานกลับมาเฟื่องฟู ฉันก็เลยพลอยได้ย้ายไปประจำเมืองสำคัญ กระทั่งจับพลัดจับผลูมาจนถึงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานใหญ่แห่งเมืองหลินไห่ อีกสองปีก็จะเกษียณแล้ว เงินำาญก็น่าจะสูงขึ้นหน่อยล่ะมั้ง?” ผู้กองจ้าวกล่าวทักทายอย่างสนิทสนมดั่งเช่นชายชรา
“น่าเสียดาย ถ้าคุณได้อยู่ต่ออีกสักสองปี ก็น่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์กว่านี้ อย่างไรก็ตาม แก๊งอาชญากรั์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลินไห่ ณ ตอนนั้นก็ถูกถอนรากถอนโคนไปจนหมดแล้ว” เสิ่นิพูดราวกับว่าเขาไม่ได้มีส่วนอะไรเกี่ยวข้องกับเื่นี้
“เสิ่นิ ความจริงแล้วฉันมาขอความช่วยเหลือ” ผู้กองจ้าวไม่อ้อมค้อม
“ก็แน่สิ! ถ้าคุยเื่ธุรกิจก็นับว่าเป็เพื่อนกับผม มาๆๆ เข้ามานั่งก่อน!” เสิ่นิมิได้มีเจตนาดี เขาไม่คิดจะเปิดประตูให้เพื่อนเก่าคนนี้เข้ามาด้วยซ้ำ
เซี่ยวอี๋กุลีกุจอจัดแจงเปิดประตูให้ และพอเห็นผู้กองจ้าว เธอก็รีบโค้งคำนับ
“ดีที่ไม่ลืมสถานะของตัวเอง อีกสองปี คุณก็จะได้กลับไปแล้ว” ผู้กองจ้าวตบไหล่ของเซี่ยวอี๋อย่างเป็กันเอง หญิงสาวตื้นตันจนแทบอยากจะร้องไห้
“ค่ะ! ผอ.!” เซี่ยวอี๋ทำท่าวันทยหัตถ์แบบทหาร น้ำตาของเธอแทบร่วง มีเพียงผู้กองจ้าวเท่านั้นที่เดินเข้าไปในบ้าน เ้าหน้าที่หน่วยพิเศษประจำอยู่ที่นอกประตู เซี่ยวอี๋วิ่งแจ้นไปหากาแฟที่เธอซ่อนไว้ออกมาชงให้กับท่านผู้อำนวยการ ั้แ่ที่เสิ่นิเริ่มไม่มีของกิน เวลาที่เซี่ยวอี๋มีของกินอะไร เธอก็มักจะซ่อนมันเอาไว้ในห้อง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเ้าหมอนี่จะเอาไปกินเสียหมด
แต่พรหมลิขิตก็ยากที่จะฝืน เสิ่นิไวกว่าเธอหนึ่งก้าว เขาก้าวเดินไปที่ระเบียงและฮุบเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เซี่ยวอี๋เพิ่งจะทานไปได้ 2 คำไปซะแล้ว
และเมื่อเห็นว่าไอ้บ้านั่นถึงขนาดเลียช้อนพลาสติกที่เธอใช้ เซี่ยวอี๋ก็คิดได้ว่าครั้งหน้าเธอจะใส่ยาเบื่อหนูไว้ในบะหมี่ ฆ่าเสียให้ตายเลย
“มีเื่อะไรก็ว่ามา?” เสิ่นิสูดบะหมี่คำโต “ในฐานะคนรู้จัก จะลดให้ 98%”
“นายใจดีเกินไปแล้ว” ผู้กองจ้าวนึกไม่ถึงเลยว่าเด็กน้อยใสซื่อในวันนั้น จะมาเป็พ่อค้าหัวหมอในวันนี้ “เื่มันเป็อย่างนี้ เมื่อสี่วันก่อนมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นที่ห้องสูทของโรงแรมอ้าวกวนไห่ วัยรุ่ยญี่ปุ่นคนหนึ่งจัดปาร์ตี้ ‘เฮติ’ แบบส่วนตัว เขาจ้างสาวไซด์ไลน์มา 5 คน”
“หมอนั่นอึดใช่ย่อย” เสิ่นิอุทาน
“นี่ค่ะ ผอ.” เซี่ยวอี๋เสิร์ฟกาแฟให้กับผู้อำนวยการ
“ผมก็เอาด้วยเหมือนกัน ขอบคุณ” เสิ่นิอมยิ้มพร้อมยกมือขึ้น
“นายดื่มนี่!” เซี่ยวอี๋คิดไว้อยู่แล้ว เธอจึงวางน้ำเปล่าลงตรงหน้าของเสิ่นิ พอเห็นฟองก็รู้แล้วว่านี่เอามาจากก๊อกน้ำ
“ต่อมา ในขณะที่กำลังร่วมเพศกับหนึ่งในสาวไซด์ไลน์ เธอก็ถูกเ้าเด็กนั่นรัดคอตาย หญิงสาวที่เหลืออยู่อีก 4 คนจึงเป็พยานในที่เกิดเหตุ” ผู้กองจ้าวยกกาแฟขึ้นจิบ
“พยานชัดเจน เ้าหมอนี่ไม่รอดแล้ว” เซี่ยวอี๋นั่งลงข้างๆ
“เด็กนั่นเราเอาเข้าคุกเยาวชนแล้ว ที่จริงแล้วคดีนี้ควรปิดไปได้แล้ว แต่จู่ๆ ก็เกิดเื่ไม่คาดคิดขึ้น ระหว่างที่นำร่างผู้เสียชีวิตไปยังแผนกนิติเวชดันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตำรวจ 2 นายและศพถูกไฟคลอกจนเหลือแต่เถ้าถ่าน”
“ไม่มีศพ คดีก็ต้องอาศัยแค่คำให้การของพยานเท่านั้น” ในที่สุดเสิ่นิก็จริงจังขึ้นมา
“แต่วันรุ่งขึ้น พยานหมายเลขสี่ดันถูกไฟช็อกจนเสียชีวิตคาอ่างอาบน้ำ”
“กลิ่นตุๆ!” สีหน้าของเซี่ยวอี๋เคร่งขรึม
“มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เราก็เลยรีบให้ความคุ้มครองกับพยานที่เหลืออีก 3 ปาก เมื่อวานตอนเช้า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคนกลุ่มหนึ่งในลิฟต์ ซึ่งคนกลุ่มนั้นก็คือเ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายและพยานปากที่สามพวกเขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
พอตกบ่ายก็เกิดเหตุแก๊สะเิที่บ้านของพยานปากที่สอง เ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายก็ถูกไฟคลอกตายไปพร้อมกับพยานคนนั้นด้วย
ถึงวันนี้ มีเพียงพยานหมายเลขหนึ่งเท่านั้นที่ยังมีรอดชีวิตอยู่ หากว่าเธอประสบอุบัติเหตุเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ก็เป็ไปได้ว่าฆาตกรอาจจะอ้างว่าพยานหลักฐานไม่พอเพียง...” ผู้กองจ้าวมาที่นี่เพื่อขอให้เสิ่นิทำงานของเขาให้ ซึ่งนั่นเป็เื่น่าอึดอัดใจที่สุด “ฉันอยากให้นายรับผิดชอบคุ้มครองพยานหมายเลขหนึ่ง จนกระทั่งถึงวันขึ้นศาล นั่นคือในอีก 20 วันข้างหน้า
ฉันยื่นของบประมาณไปแล้ว ค่าธรรมเนียมในการคุ้มครองคือ 5 หมื่นหยวน ถึงจะไม่ได้จ่ายหนักเท่าตระกูลฟาง แต่ฉันก็พยายามจนสุดความสามารถแล้ว” ผู้กองจ้าวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“5 หมื่นน้อยไปหน่อย...” เสิ่นิลูบคาง “ไม่อย่างนั้น พอผมเสร็จงาน ทางตำรวจก็ให้รางวัลผมเป็ธงเกียรติยศ ‘ผู้พิทักษ์พลเมือง’ สิ จะได้ช่วยทำให้สำนักงานของผมดูดีมีสง่าราศีขึ้นมาอีกหน่อย”
“นายบ้าไปแล้วหรือไง? ให้ตำรวจมอบธงเกียรติยศให้? คนอื่นเขาต้องยื่นเื่ขอหน่วยงานพิเศษเป็รายบุคคลนะ?” เซี่ยวอี๋มุมคิ้วกระตุก
“ไม่มีปัญหา ฉันจัดการให้ได้ แต่ว่ามีอยู่เื่หนึ่ง เนื่องจากพยานคนอื่นๆ เสียชีวิตในบ้านของตนเอง พยานหมายเลขหนึ่งจึงปฏิเสธที่จะรับการคุ้มครองที่บ้านของตน จะว่าไปแล้วที่นี่ก็เป็ที่พักอาศัย ก็เพิ่มชามและตะเกียบเข้ามาอีกสักชุดก็แล้วกัน” ผู้กองจ้าวกล่าวพร้อมกับอมยิ้ม
“ที่แท้ก็คิดจะมาอยู่บ้านผม? ถ้าอย่างนั้นต้องคิดค่าที่พัก ค่าอาหารต่างหากนะ” เสิ่นิหัวหมอ
“ได้” ผู้กองจ้าวถอนหายใจพลางหยิบซองจดหมายออกมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่ 4,000 หยวน เป็เงินส่วนตัวของฉันที่จ่ายให้สำหรับค่าอาหารและที่พัก พยานหมายเลขหนึ่งค่อนข้างจะ ‘กระตือรือร้น’ พวกคุณคงต้องปรับตัวกันหน่อยล่ะ”
“แน่นอน!” แค่เห็นเงิน เสิ่นิก็น้ำลายไหลแล้ว แต่ในขณะที่กำลังจะยื่นมือออกไปรับ กลับถูกเซี่ยวอี๋ฉกเอาไปก่อน
“ลืมไปแล้วเหรอว่านายติดหนี้ฉันอยู่เท่าไร?” เซี่ยวอี๋พูดด้วยสายตาที่ดูิ่
“ไม่เอาน่า คุณน้า เหลือให้ผมบ้างได้ไหม” เสิ่นิแทบจะร้องไห้ “ทางที่ดีก็คือเริ่มทำงาน คุณจะให้ผมกินหญ้าต่อไปเรื่อยๆ จนไร้เรี่ยวแรงอย่างนั้นเหรอ แล้วผมจะไปปกป้องผู้อ่อนแอเพื่อผดุงความยุติธรรมได้อย่างไร?”
เซี่ยวอี๋คิดแล้วก็เห็นจริง เธอจึงยื่นธนบัตรใบละหนึ่งร้อยหยวนให้กับเสิ่นิ “ถือว่านายขอยืมจากฉัน ทำงานใช้คืนด้วยล่ะ”
“100 หยวนใช้ 20 วัน? คุณคิดว่าที่ให้ผมนั่นคือเงินดอลลาร์สหรัฐหรือยังไง!” เสิ่นิประท้วง
“ไม่เอาก็คืนมา 100 หยวนกินซาลาเปาได้ทุกวัน คงไม่ทำให้นายตายหรอกมั้ง?” เมื่อเซี่ยวอี๋ทำท่าจะคว้าปืน เสิ่นิก็ยัดธนบัตรเข้ากระเป๋ากางเกงไปแล้ว
“นิสัยไม่ดี รอเฮียรวยก่อนเถอะ จะกินกุ้งัต่อหน้าเธอทุกวันให้ดู เฮียโมโหมาก!” เสิ่นิระบายความหงุดหงิด
“ไว้รู้จักไม่ไปอึฉี่เรี่ยราดที่สนามก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน นายมันไอ้บอดี้การ์ดบ๊อง” เซี่ยวอี๋กล่าวอย่างเหยียดหยาม
“ดูเหมือนว่าพวกคุณจะเข้ากันได้ดีนะ แบบนี้ก็ดี ดีแล้วล่ะ” ทั้งสองหยอกกันจนลืมไปแล้วว่าผู้กองจ้าวยังอยู่ตรงนี้ด้วย “เสิ่นิ รักษามนุษยธรรมของนายต่อไป เช่นเดียวกันกับที่นายทำที่โรงงานผลิตสารเคมี บางครั้งการไม่ฆ่าก็ยากกว่าการฆ่านัก”
“ไม่จำเป็ต้องบอก ผมรู้ การรอดชีวิตบางทีก็ทรมานกว่าการตาย” เสิ่นิว่าพลางอมยิ้ม