ณ เรือนโฉวงจี๋
ขอเพียงหลี่หลินคิดตก ความหนักใจของหลี่ลั่วก็ถือว่าวางลงได้แล้ว แล้วดูเถิด วันนี้เกิดเื่วุ่นวายขึ้นทำให้เขาต้องเสียเวลาในการนอนกลางวัน่บ่ายไป ในที่สุดยามนี้ก็สงบลงแล้ว เขาอยากจะนอนชดเชยสักครู่ ทว่ายามรักษาการณ์หน้าประตูกลับวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อนและตื่นเต้นพร้อมกับรายงานว่า “ไม่ดีแล้วขอรับเสี่ยวโหวเหฺย” เมื่อหาพ่อบ้านจี้ไม่พบ จึงได้แต่มาเรือนโฉวงจี๋หาเสี่ยวโหวเหฺยแล้ว
“เื่อันใดไม่ดีแล้วเล่า?”
“คุณชายหยวนข่ายคุกเข่าอยู่หน้าประตูขอรับ และยังกำลังะโเสียงดังว่า...” ยามรักษาการณ์พูดออกมาไม่ได้จริงๆ
“มารดามันเถอะ” หลี่ลั่วด่าออกมาคำหนึ่ง แล้วจึงรีบเอ่ยว่า “ไปที่ประตู” แขนขาของเขานั้นเล็กนักจึงเดินได้ช้า หลี่ฉางเฉิงจึงแบกเขาวิ่งออกไป
ประตูใหญ่ของจวนจงหย่งโหวมีคนล้อมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว หยวนข่ายสวมอาภรณ์ขาดวิ่นคุกเข่าอยู่หน้าประตู “หลินเจี่ยเอ๋อร์ ข้าผิดไปแล้ว ข้ารักเ้าจริงๆ เ้าโปรดอภัยให้ข้าเถิด ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรบังคับเ้า จูบเ้า กอดเ้า แต่ข้าทนไม่ไหว ข้ารักเ้ามากเกินไป”
“นี่มันเื่อันใดกัน?”
“คนผู้นี้คือใครกัน?”
“ช่างน่าไม่อายนัก”
“ตบมือข้างเดียวนั้นไม่ดังหรอก หญิงผู้นั้นก็ไม่ได้เป็คนดิบดีอะไร”
“หลินเจี่ยเอ๋อร์ที่เขาพูดถึงคือผู้ใดกัน?”
“คือคุณหนูใหญ่ของจวนจงหย่งโหว บุตรีของเหล่าจงหย่งโหวหลี่ซวี่”
“ช่างน่าไม่อายนัก”
“หลินเจี่ยเอ๋อร์ ข้าผิดไปแล้ว ข้ารักเ้าจริงๆ เ้าโปรดอภัยให้ข้าเถิด ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรบังคับเ้า จูบเ้า กอดเ้า แต่ข้าอดทนไม่ไหว ข้ารักเ้ามากเกินไป” หยวนข่ายพูดต่อ “ขอให้ทุกท่านได้โปรดช่วยข้าพูดด้วย ข้ารักหลินเจี่ยเอ๋อร์มากจริงๆ”
“ดูแล้วช่างรักเดียวใจเดียวยิ่งนัก”
“ใช่แล้ว ถูกโบยจนเป็เช่นนี้ แต่ยังคงมั่นคงในรักถึงเพียงนี้”
ประตูของจวนโหวยังคงเปิดอยู่ เมื่อเห็นเพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งเดินออกมา ผู้คนที่ออกมาห้อมล้อมเพื่อสอดรู้สอดเห็นต่างก็เงียบเสียงลง ดูจากรูปร่างลักษณะของเด็กน้อยแล้วอายุน่าจะอยู่ราวๆ ห้าขวบ ไฉนเด็กน้อยจึงออกมาได้เล่า?
หลี่ลั่วเดินไปยืนอยู่เบื้องหน้าหยวนข่าย ในขณะที่ผู้คนยังตั้งตัวไม่ติด เขาก็ตบลงไปหนึ่งฝ่ามือ แม้เรี่ยวแรงจะเป็เรี่ยวแรงของเด็ก แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ บนใบหน้าของหยวนข่ายกลับปรากฏรอยเืขึ้นมา
“อ๊ากกก...” หยวนข่ายร้องเสียงดัง “เ้าจะทำอันใด? เ้ามันเด็กอกตัญญู เ้าไม่ชอบข้าก็ไม่ควรจะทำกับข้าเช่นนี้ ข้ารักพี่สาวของเ้าขนาดนี้ เ้ากลับให้คนมาโบยข้าจนเป็เช่นนี้”
“เป็ไปได้หรือ เด็กคนนี้โบยหรอกหรือ”
“ช่างเป็เด็กที่ดุร้ายอะไรเช่นนี้”
“ในเรือนไม่มีผู้ใหญ่เลยหรือไร? ไฉนจึงให้เด็กคนหนึ่งออกมา”
“เด็กน้อยผู้นี้เป็ใครกันเล่า?”
“หากว่าข้าจำไม่ผิดแล้วละก็ จวนจงหย่งโหวมิใช่รับเด็กน้อยคนหนึ่งกลับเข้าสู่สกุลหรอกหรือ? เด็กน้อยผู้นี้เป็โหวเหฺยท่านใหม่สินะ”
“รับกลับเข้ามารึ? หรือว่าให้กำเนิดโดยห้องข้าง[1] ใช่หรือไม่?”
“ไม่น่าจะเป็ไปได้ นี่เป็จวนโหวที่มีเกียรติ ไม่มีตี๋จื่อหรือไร?”
“ตี๋จื่อเป็คนพิการอย่างไรเล่า”
“เช่นนั้นก็สามารถรับบุตรชายได้ บุตรที่เกิดจากห้องข้างช่างไร้กฎระเบียบเสียจริง ดูแล้วก็รู้ว่าไร้การอบรมสั่งสอน”
“นี่มันเกิดอันใดกันขึ้น?” เสียงของหลี่เหล่าไท่ไท่ลอยออกมาจากประตู จากนั้นจึงค่อยๆ เดินผ่านฝูงชนมาจนถึงด้านหน้า “นี่...นี่ข่ายเกอเอ๋อร์มาคุกเข่าอยู่บนพื้นทำอันใดเล่า? เ้าได้รับาเ็ไปหมดแล้ว รีบไปรักษาาแเร็วเข้า”
“ท่านย่า” หยวนข่ายที่คุกเข่าอยู่รีบโขกหัวทันที “ท่านย่าต้องช่วยข้านะขอรับ ข้ารักหลินเจี่ยเอ๋อร์จริงๆ ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรวู่วาม แต่เป็เพราะข้ารักนางมากเกินไป ขอร้องท่านยอมรับปากเื่การแต่งงานของพวกเรา”
“เ้า...เ้า...เด็กคนนี้ ข้ารับปาก...ข้ารับปากเ้าแล้ว”
“ไม่มีความยินยอมจากข้า ผู้ใดกล้าเล่า” หลี่ลั่วขัดขึ้นเสียงเย็น หยุดการเล่นละครของพวกเขา
“เ้า...ลั่วเกอเอ๋อร์ แม้ว่าเ้าจะเติบโตอยู่ข้างนอกแต่เ้าจะมาทำตัวไม่รู้จักผู้าุโผู้เยาว์เช่นนี้มิได้” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าว “เ้าเป็น้องชาย ไฉนจึงมาขัดขวางการแต่งงานของพี่สาวเ้า แม้ข่ายเกอเอ๋อร์จะทำผิด แต่ยามนี้เขารู้ตัวว่าผิดและหยุดแล้ว อีกทั้งเขายังจริงใจต่อพี่สาวของเ้า จะพูดไปพวกเขาก็...ก็...”
หลี่เหล่าไท่ไท่พูดแล้วก็หยุดชะงัก เช่นนี้ยิ่งได้ผลดี ทำให้ผู้คนที่ล้อมรอบดูอยู่เข้าใจว่าหลี่หลินและหยวนข่ายมีอะไรกันแล้วจริงๆ
“ช่างน่าไม่อายจริงๆ ยังไม่ได้แต่งงานกันก็ขลุกอยู่ด้วยกันเสียแล้ว”
“จริงด้วย เป็ถึงโหวเหฺย กลับไม่มีแม้แต่มารยาทสักนิด”
“น้องชายขัดขวางการแต่งงานของพี่สาว นี่มันช่างน่าตลกขบขันสิ้นดี”
“ธรรมเนียมมารยาทของเด็กคนนี้คงถูกสุนัขกลืนลงท้องไปแล้วใช่หรือไม่?”
หลี่ลั่วหัวเราะเสียงเย็นมองหลี่เหล่าไท่ไท่ที่พูดเองแสดงเอง จากนั้นจึงยื่นมือออกมา “ฉางเฉิง”
หลี่ฉางเฉิงเปิดกล่องใบหนึ่ง นำสิ่งของที่อยู่ในกล่องส่งให้หลี่ลั่ว หลี่ลั่วรับมาจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่คือพระราชโองการ”
พระราชโองการหรือ? ผู้ที่ล้อมเข้ามาดูความครึกครื้นต่างใจนสะดุ้ง จากนั้นค่อยๆ คุกเข่าลงทีละคนๆ ที่กำลังแสดงความเห็นกันอย่างสนุกสนานพลันเงียบลงในทันที
หลี่ลั่วพูด “ราชโองการ บุตรชายคนเล็กของจงหย่งโหว หลี่ซวี่ มีเมตตากรุณา ฉลาดเฉลียว กตัญญูกตเวที พระราชทานนามเป็กรณีพิเศษ หลี่ลั่ว สืบทอดบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่ง จงหย่งโหว” เมื่อหลี่ลั่วอ่านถึงตรงนี้ เขาก็มองไปยังฝูงชนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วหันไปมองหลี่เหล่าไท่ไท่ “พระราชโองการของฝ่าากล่าวว่า เปิ่นโหวมีเมตตากรุณา เหล่าไท่ไท่กล่าวหาว่าข้าไม่รู้จักผู้าุโผู้เยาว์ นี่หมายความว่าพระราชโองการเขียนผิดใช่หรือไม่?”
“ข้า...” หลี่เหล่าไท่ไท่ถูกอุดปากกลับมาเช่นนี้ ความจงเกลียดจงชังต่อหลี่ลั่วในใจของนางยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น เด็กคนนี้...เอาไว้ไม่ได้
หลี่ลั่วยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มดูิ่นั้นทำให้เขาดูสูงส่งขึ้นไปอีก “ข้ามีนามว่าหลี่ลั่ว เป็บุตรชายคนที่สองของหลี่ซวี่ บิดาของข้าหลี่ซวี่ตลอดมานั้นปกป้องรักษาชายแดน แม้จะไม่กล้าเอ่ยว่ามีคุณงามความดี แต่ในฐานะขุนนาง เขานั้นมีงานผลงานเป็ที่ประจักษ์ ข้าผู้เป็บุตรชายได้เชิญป้ายิญญาของท่านย่าและท่านพ่อจากศาลเ้าบรรพชนของครอบครัวมาอยู่ที่เรือนของพี่หญิงใหญ่ของข้า ให้พี่หญิงใหญ่ของข้าได้เป็ตัวแทนในการจุดธูปสวดมนต์ ท่านพ่อของข้ามีความรักต่อมารดาใหญ่ของข้า แต่พี่ชายของข้าเนื่องจากาเ็ที่ขาจึงไม่สามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์โหวได้ ดังนั้นจึงได้ให้กำเนิดข้า บิดาของข้าเสียชีวิตลงเมื่อข้าอายุได้เพียงหนึ่งขวบ แม้จะไม่ได้อบรมสั่งสอนข้า แต่เขาก็ได้อบรมสั่งสอนให้พี่สาวของข้ารู้กตัญญูกตเวที”
หลี่ลั่วหยุดพักไปอึดใจหนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกว่า “เหล่าไท่ไท่พูดว่าข้านั้นเติบโตอยู่ข้างนอก ทุกท่านย่อมรู้สึกประหลาดใจ คุณชายของจงหย่งโหว ไฉนข้าจึงไปเติบโตอยู่ข้างนอกได้เล่า?”
“น่าประหลาดใจจริงๆ”
“เสี่ยวโหวเหฺย เล่าให้ฟังหน่อยเถิด”
“ใช่ๆ”
ดวงตาทั้งคู่ของหลี่ลั่วพลันแดงก่ำ “ผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่ในวันนี้ พวกท่านล้วนเป็ผู้ใหญ่กว่าข้า ในครอบครัวย่อมมีพี่ๆ น้องๆ ข้าคิดว่าอย่างไรก็ย่อมมีคนในครอบครัวที่เป็ทหาร ทหารที่ประจำอยู่ชายแดนนั้นลำบากยิ่งนัก พวกท่านย่อมรู้ดี ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงเข้าอกเข้าใจและสงสารพวกเขา เพื่อเป็การปลอบขวัญพวกเขา จึงปลอมพระองค์เสด็จเยือนค่ายทหารซีเป่ย ระหว่างทางที่บิดาของข้าอารักขาฮ่องเต้กลับสู่เมืองหลวงได้ถูกโจรฏลอบสังหาร ครั้งนั้นคนของอีกฝ่ายมีมากกว่า บิดาของข้าสละชีพด้วยความกล้าหาญ”
เื่นี้เป็เื่ที่เปิดเผยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้เื่นี้
“ด้วยเหตุที่ข้ากำเนิดที่ชายแดนซีเป่ย ครั้งนั้นบิดาจึงพาข้ากลับเมืองหลวงมาพร้อมกันด้วย แต่ระหว่างทางกลับมาพบเจอกับเื่เช่นนี้ เป็เื่ที่ใครก็คาดไม่ถึง เวลานั้นสถานการณ์คับขันยิ่ง ฝ่าาทรงรักขุนนางเสมือนบุตรหลาน ครั้นแล้วจึงปวดใจยิ่งนักกับการจากไปของท่านพ่อ ดังนั้นจึงให้ทหารข้างกายของท่านพ่อพาข้าหลบหนีไปก่อน ต่อมาเมื่อเื่ราวสงบลง ฝ่าาได้ส่งรองแม่ทัพของท่านพ่อ หลี่จงิ ให้ออกตามหาข้า ทว่ายามนั้นข้าอายุยังไม่ครบหนึ่งขวบ สุขภาพร่างกายค่อนข้างย่ำแย่ จากนั้นอาจจะเป็เพราะว่า...ฝ่าาทนดูไม่ไหวที่จะเห็นมารดาใหญ่ พี่ชาย และพี่สาวได้รับความเ็ปครั้งแล้วครั้งเล่า การต้องจากกันของคนในครอบครัวนั้นครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ฉะนั้นแต่ก่อนที่สุขภาพของข้ายังไม่ได้หายดีนั้น ฝ่าาจึงให้ข้าถูกเลี้ยงดูไว้ข้างนอก และได้จ้างคนมาคอยดูแลอย่างรอบคอบ อบรมสั่งสอนข้า ข้าเรียนปูพื้นฐานเมื่ออายุสามขวบ ห้าขวบท่องบทกวีโคลงกลอน” ต่อมาหลี่ลั่วหันหน้าไปทางวังหลวงแล้วคุกเข่าลง “บุญคุณที่ฝ่าาอบรมสั่งสอน หลี่ลั่วจะต้องตอบแทนในวันหน้าแน่นอน”
จากนั้นหลี่ลั่วก็ลุกขึ้นยืน “ทุกท่าน ใตู้เาแห่งนี้กระดูกสีขาวโพลนทับถมกันชั้นแล้วชั้นเล่า แต่ทว่า...กระดูกขาวยังไม่ทันได้สลายกลายเป็เถ้า พวกท่านต่างก็ลืมบิดาของข้าและนักรบที่พิทักษ์รักษาชายแดนของพวกเราไปแล้วใช่หรือไม่? เ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้...”
“หุบปาก ลากเขาลงมา รีบลากเขาลงมา” หลี่เหล่าไท่ไท่ร้องะโเสียงดัง
หลี่ฉางเฉิงเดินมาถึงด้านหลังนางและตรงเข้าไปตีนางจนสลบ แต่ในยามนี้ไม่มีใครสนใจหลี่เหล่าไท่ไท่แล้ว ทุกคนต่างกำลังตั้งใจฟังที่หลี่ลั่วพูด
ส่วนภรรยาหลี่ฮุยและคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าหลี่เหล่าไท่ไท่หมดสติไปแล้ว จึงรีบเข้าไปประคองหลี่เหล่าไท่ไท่
“ท่านพ่อของข้าเกิดมาไม่นานท่านย่าของข้าก็จากไปแล้ว ท่านปู่ออกจากการไว้ทุกข์แล้วก็แต่งเหล่าไท่ไท่เข้ามา ซึ่งก็คือกูหน่ายนาย[2]ของจวนชิ่งป๋อ ยามนั้นนางแต่งให้สกุลหยวน หญิงผู้นั้นต่อมาสามีของนางจากไป นางจึงได้กลายมาเป็แม่ม่าย หกปีก่อน บิดาของข้าได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว จึงแยกเรือนออกมาจากสกุลหลี่ บิดาของข้า้าเพียงหมู่บ้านที่เป็สินเ้าสาวเดิมของท่านย่า ส่วนทรัพย์สมบัติและการค้าอื่นๆ นั้นไม่ได้รับมาด้วย แต่ทว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่หกเดือนสุขภาพของเหล่าไท่ไท่ก็ย่ำแย่ลง มารดาใหญ่ของข้านั้นมีใจกตัญญูจึงรับเหล่าไท่ไท่มาอยู่ที่จวนโหว แม้ว่าในยามนั้นจะแยกเรือนออกมาแล้วก็ตาม ส่วนครอบครัวของท่านลุงใหญ่และครอบครัวของท่านอาสามนั้นยังอยู่ในจวนสกุลหลี่”
คำพูดของหลี่ลั่ว ทำให้คนคิดปะติดปะต่อเื่ราวได้เอง “ต่อมาคงจะเป็เพราะเพื่อจะได้เป็การสะดวกในการดูแลเหล่าไท่ไท่ ครอบครัวของท่านลุงใหญ่และครอบครัวของท่านอาสามก็ย้ายเข้ามาอีก จวนโหวนั้นกว้างขวาง จะมาอยู่กันหลายครอบครัวก็ไม่เป็กระไร พูดไปแล้วท่านลุงใหญ่ของข้านั้นก็รั้งเพียงตำแหน่งขั้นสี่ คงไม่มีปัญญาซื้อเรือนของตนเองด้วยฐานะค่อนข้างยากจน ส่วนท่านอาสามนั้นไม่ได้เป็ขุนนาง ก็น่าจะยากจนยิ่งกว่าอีก ดังนั้นมารดาใหญ่ของข้าจึงช่วยเหลือเจือจานพวกเขา”
คำพูดของหลี่ลั่วที่ว่า ‘ไม่มีปัญญาซื้อเรือน’ ‘ค่อนข้างยากจน’ ‘ช่วยเหลือเจือจาน’ ฟังแล้วผู้คนต่างก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
จากนั้นหลี่ลั่วก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “อาจมีความเป็ไปได้ว่าเรือนในจวนโหวนั้นดีนัก” รอยยิ้มของเขาทั้งบริสุทธิ์และสดใส “อย่างเช่นข้า หลังจากที่ข้าไปเยือนจวนของท่านพี่ฉีอ๋องแล้ว ก็ไม่อยากกลับจวนโหวอีก ข้าก็ชมชอบที่จะได้อยู่อาศัยในจวนที่ดียิ่งขึ้นไปอีกเช่นกัน”
คนทั้งหมดหัวเราะขึ้นอีกเพราะประโยคนี้ของหลี่ลั่ว
เด็กน้อยไม่มีพิษไม่มีภัยและไร้เดียงสา วิธีการที่หลี่ลั่วใช้อย่างเฉียบคมเมื่อสักครู่นั้น ทุกคนต่างก็พากันลืมไปหมดสิ้นแล้ว
“แต่คนผู้นี้ให้อภัยไม่ได้” หลี่ลั่วชี้ไปที่หยวนข่าย “ที่จริงแล้วข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็ใคร พ่อบ้านจี้บอกกับข้าว่า นี่เป็หลานชายที่เกิดกับสามีคนก่อนของเหล่าไท่ไท่ ชื่อว่า หยวนข่าย คนผู้นั้นคือบิดาของเขา ชื่อว่าหยวนเฉิง ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดพวกเขาจึงมาอาศัยอยู่ในจวนโหวเช่นกัน เมื่อยามที่ข้ากลับมาถึงจวนโหวนั้นพวกเขาไม่อยู่ในจวน ได้ยินว่ามีผู้าุโในครอบครัวเสียชีวิต วันนี้ข้าไปเที่ยวที่จวนท่านพี่ฉีอ๋อง พี่ใหญ่อยู่ในเรือนสวดมนต์ให้ท่านย่าและท่านพ่อ หลังจากข้ากลับมาก็เห็นสาวใช้รุ่นใหญ่ของพี่ใหญ่ เสี่ยวฟาง วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือ ที่แท้เ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ข่มเหงที่จวนโหวของข้าไม่มีผู้ชาย...พี่ชายของข้าขาพิการ ข้าเป็เด็กน้อย พวกเขาจึงคิดที่จะรังแกพี่สาวของข้า”
พูดถึงตรงนี้ หลี่ลั่วจึงปล่อยเสียงร้องไห้โฮอย่างเด็กๆ ร้องไปด้วยพลางพูดไปด้วย “พวกเขาคิดจะรังแกพี่สาวของข้า แม้ว่าข้าจะยังเล็ก แต่ข้าก็เป็ผู้ชายที่กล้าหาญ บิดาของข้าเป็วีรบุรุษ ข้าก็เป็วีรบุรุษน้อยเช่นกัน เมื่อยามที่ข้าพาท่านอาหลี่และคนอื่นๆ ไปถึงนั้นก็เห็นพี่หญิงใหญ่ใช้กรรไกรชี้ไปที่คอของนาง ส่วนเ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้จ้องเอาแต่จะรังแกพี่สาวของข้าโดยไม่สนใจสิ่งใด ยังดีที่พวกเราเข้าไปทัน ข้าจึงให้ท่านอาหลี่โบยเขา”
[1] กูหน่ายนาย (姑奶奶) เป็คำเรียกสตรีในครอบครัวที่ออกเรือนไปแล้วในเชิงให้เกียรติ และยังสามารถใช้เรียกน้องสาวของพ่อได้อีกด้วย