“ลั่วเกอเอ๋อร์” หยางเหล่าฮ่านหลินยิ้มอย่างเมตตา เขาจับมือของหลี่ลั่ว “ดี เ้าช่างเป็เด็กดีจริงๆ”
“ได้ยินมารดาบอกว่าความรู้ของท่านตานั้นดีมาก ลั่วเอ๋อร์อ่านหนังสือบางครั้งมีบางที่ที่ไม่เข้าใจ วันหลังอยากจะมาจวนสกุลหยางรบกวนขอให้ท่านตาช่วยชี้แนะให้สักหน่อยขอรับ” หลี่ลั่วพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ เนื่องจากระหว่างทั้งสองคนไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเื หากพูดไม่ดีอาจจะทำให้อึดอัดอย่างยิ่ง
คุยกันมาถึงตรงนี้ หยางเหล่าฮ่านหลินยังคงพูดตอบกลับไปอย่างสบายๆ ว่า “พี่ใหญ่ของเ้าก็เป็ตาที่สอนเขา หลายปีมานี้มิได้สูญเปล่า เวลาเ้ามาก็เรียกเขามาด้วยกันเสียสิ”
“อื้ม ล้วนฟังท่านตาขอรับ” หลี่ลั่วปฏิบัติตัวเคารพผู้าุโเหมือนดั่งกระต่ายน้อยน่ารัก
“ท่านตา ลั่วเกอเอ๋อร์” พูดแล้ว หลี่หงก็ได้พาคนหลายคนเข้ามา หนึ่งในนั้นหลี่ลั่วยังจำได้ ทำให้หลี่ลั่วคาดไม่ถึงเล็กน้อย
หลี่ลั่วจ้องมองอีกฝ่าย “ท่านมิใช่...ผู้ที่ทายปริศนาเทศกาลโคมไฟคืนไหว้พระจันทร์ผู้นั้นหรอกหรือ?”
จางเลี่ยนไป๋ตอบอย่างมีมารยาท “เป็ข้าน้อยเองขอรับ วันนั้นโชคดีได้พบโหวเหฺย วันนี้จึงได้หน้าหนามารบกวนแล้ว”
“พี่จางสอบเข้าเคอจวี่* รอต้นปีหน้าเข้าสอบหน้าพระที่นั่ง” หลี่หงกล่าว “ฝ่าาทรงมีรับสั่ง ผู้สอบเข้าผ่านระดับมณฑลสิบอันดับแรกให้มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้”
เป็เช่นนี้นี่เอง
“ยินดีกับท่านด้วย” หลี่ลั่วมีความประทับใจกับจางเลี่ยนไป๋ไม่เลวเลยทีเดียว
“ขอบคุณโหวเหฺยขอรับ” ที่จริงแล้วจางเลี่ยนไป๋อยากจะหาโอกาสรู้จักหลี่ลั่ว เนื่องด้วยหลี่ลั่วในความทรงจำของเขานั้นชัดเจนยิ่งนัก วันนี้บังเอิญได้พบหลี่หงพอดี
“ลั่วเกอเอ๋อร์คงจะยังไม่รู้ ในคืนเทศกาลโคมไฟวันไหว้พระจันทร์พี่จางได้ร่วมกับพวกเราหาเ้าด้วย หาจนดึกดื่นเชียวละ” หลี่หงกล่าวอีก
หลี่ลั่วตกตะลึง ยื่นมือออกมาคำนับ “ขอบคุณท่านพี่จาง”
“ไม่ๆๆ โหวเหฺยเกรงใจเกินไปแล้ว” จางเลี่ยนไป๋รู้สึกละอายใจ
หลี่ลั่วมองจางเลี่ยนไป๋ หน้าตาหล่อเหลาสุภาพ มีมารยาท และยังสอบผ่านเคอจวี่ เพียงรอให้ต้นปีหน้าสอบหน้าพระที่นั่งเพื่อแข่งขันครั้งสุดท้าย คนผู้นี้ไม่เลวเลยทีเดียว เทศกาลโคมไฟไหว้พระจันทร์ในวันนั้น แม้จะสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ธรรมดาสามัญ ใส่ชุดรูปแบบเก่าไม่ตามสมัยนิยม แต่ทว่าได้ซักอย่างสะอาดสะอ้านและรีดเรียบเป็ระเบียบ นิสัยของคนเราสามารถสังเกตได้จากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ หลี่ลั่วสังเกตเห็นรายละเอียดของจางเลี่ยนไป๋แล้วรู้สึกว่าไม่เลว
“ท่านพี่จางยังมีใครในครอบครัวอีกหรือไม่?” หลี่ลั่วถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“เื่นี้...” จางเลี่ยนไป๋ไม่รู้ความหมายของหลี่ลั่ว จึงตอบตามตรง “ยังมีมารดาที่เจ็บป่วยอยู่คนหนึ่ง บิดาได้จากไปนานแล้ว เพื่อส่งข้าเรียนหนังสือแล้วท่านแม่ของข้าทำงานหลายอย่าง สุขภาพจึงย่ำแย่มากขอรับ”
“เช่นนั้นท่านพี่จางมีคู่ครองแล้วหรือไม่?” ครอบครัวเช่นนี้เรียบง่าย ยิ่งดี
จางเลี่ยนไป๋หน้าแดง “ละอายใจที่ครอบครัวยากจน คนรอบข้างดูถูก และข้านั้นเอาแต่อ่านหนังสือทั้งวัน ทำให้ไม่มีเวลา...ไม่มีเวลา...” เหลือเกินจริงๆ ถูกเด็กชายอายุห้าขวบคนหนึ่งถามเื่เช่นนี้ เขาที่เป็ผู้ใหญ่แท้ๆ กลับมาขัดเขินเสียได้
หลี่ลั่วฟังแล้วดวงตาเป็ประกาย “เช่นนี้ยิ่งดี ข้าจะทาบทามคู่ครองให้ท่านพี่จางดีหรือไม่?”
“ลั่วเกอเอ๋อร์?” หลี่หงใจนสะดุ้ง น้องชายอายุห้าขวบของเขาจะทาบทามคู่ครองให้ผู้อื่น? นี่คิดจะแนะนำครอบครัวใดให้กัน?
“หา?” อย่าว่าแต่หลี่หง แม้แต่จางเลี่ยนไป๋ก็ยังใจนสะดุ้ง กระทั่งนักศึกษาที่ติดตามมาพร้อมกับหลี่หงและจางเลี่ยนไป๋เองก็ต่างคาดไม่ถึง ด้านหนึ่งอุทานถึงความโชคดีของจางเลี่ยนไป๋ หลี่ลั่วอายุน้อยแล้วอย่างไรเล่า? อย่างไรก็เป็ท่านโหวขั้นหนึ่ง และเป็ว่าที่พระชายาฉีอ๋อง มีความสัมพันธ์อันดีกับหลี่ลั่ว มิใช่เท่ากับมีความสัมพันธ์อันดีกับฉีอ๋องหรอกหรือไร? ทุกคนต่างมีความคิดของตน ต่อไปต้องคบหากับจางเลี่ยนไป๋ให้มากขึ้นเสียแล้ว ต่อให้ครอบครัวของจางเลี่ยนไป๋จะยากจน แต่จางเลี่ยนไป๋จะเป็ผู้เชื่อมโยงระหว่างความสัมพันธ์กับจวนสกุลหลี่
หลี่ลั่วเห็นว่าจางเลี่ยนไป๋ใจนทึมทื่อไปแล้ว จึงเลิกคิ้วกล่าวว่า “ทำไมเล่า? เปิ่นโหวไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทาบทามคู่ครองให้ท่านเช่นนั้นหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น เขาถือกำเนิดจากชาติตระกูลอันสูงส่งั้แ่ชาติที่แล้ว จนมาชาตินี้เป็เสี่ยวโหวเหฺย ไม่จำเป็ต้องอาศัยการแสดงใดๆ ให้ดูเหมือนเลยสักนิด
“มิกล้า ข้าน้อยขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺย” จางเลี่ยนไป๋อยากจะพูดแล้วพลันหยุดไป
หลี่ลั่วฟังแล้วรู้สึกพอใจ “เ้าวางใจได้ คนที่เปิ่นโหวจะแนะนำให้นั้นมิใช่เด็กหญิงที่อายุเท่ากับเปิ่นโหวหรอก”
คำพูดนี้...ฟังแล้วคนทั้งหมดต่างกลั้นไม่ไหวยิ้มออกมา
“กำลังยิ้มดีใจอันใดกันหรือ?” เสียงของหลี่ฉือลอยมา แม้ว่าคะแนนข้อสอบของหลี่ฉือจะไม่ได้อยู่ในสิบคนแรก แต่หลี่ฮุยนั้นรั้งตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแล สถาบันการศึกษากั๋วจื่อเจียน ดังนั้นหลี่ฉือวันนี้ถือได้ว่าลำพองใจนัก
หลี่ฉือนั้นมาด้วยกันกับหลี่ฮุย หลี่ฮุยพาหลี่ฉือเดินวนรอบหนึ่ง แนะนำคนที่ในยามปกติหลี่ฮุยคบหาแล้วมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันให้แก่หลี่ฉือ
แม้ว่าเมื่อตอนที่หลี่ฉือสอบผ่านระดับมณฑลจะมีการจัดงานเลี้ยงเชื้อเชิญแเื่ไปบ้างแล้ว แต่ในวันนั้นมีหลายคนเข้าเวรอยู่ในศาลาว่าการจึงไม่ได้มาร่วมงาน
“ท่านลุงใหญ่ พี่สาม” หลี่ลั่วเรียกขาน
หลี่ฮุยพยักหน้า แล้วหันไปเรียกหยางเหล่าฮ่านหลิน “หยางเหล่า”
“ใต้เท้าผู้ดูแลกั๋วจื่อเจียน” หยางเหล่าฮ่านหลินทักทายกลับไป
“วันนี้ยังมีทูตจากแคว้นอื่นมาด้วย ดูแล้วน่าจะคึกคักยิ่งนัก” หลี่เฉินเดินเข้ามา เขานั้นคุ้นเคยกับหลี่ฮุย ทั้งสองคนพูดคุยกันเป็ประจำ
“ไฉนจะไม่เล่า ฝ่าาขึ้นครองราชย์มาจนถึงวันนี้ ถือเป็เื่น่ายินดีครั้งแรก” หลี่ฮุยกล่าว
“ไป ไปดื่มเหล้าด้วยกัน ที่นี่ยกให้คนหนุ่มๆ” หยางเหล่าฮ่านหลินพูดเสริม
กู้จวิ้นเฉินนั่งหน้าดำทะมึนอยู่ที่นั่น ตำแหน่งที่เขานั่งนั้นลมพัดเย็นสบาย และถึงจะมีคนหลายคนอยู่ที่นั่นทว่าพวกเขากลับพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบา ผู้ใดเล่าจะกล้ากระทำการรบกวนฉีอ๋อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าของฉีอ๋องนั้นเ็าอย่างกับน้ำแข็ง
“องค์ชายสามเสด็จ”
“องค์ชายสามรึ นี่เป็ครั้งแรกเลยที่ข้าจะได้เห็น” แม้ขุนนางขั้นสี่เหล่านี้จะมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมในท้องพระโรง แต่ว่าเดิมทีไม่มีโอกาสได้พบหน้าเหล่าองค์ชายผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ ดังนั้นจึงประหลาดใจอยู่บ้าง
องค์ชายสามเดินเข้ามาในงานเลี้ยง ตรงเข้าไปนั่งด้านหน้าตำแหน่งที่กู้จวิ้นเฉินนั่ง “น้องสี่ ที่แท้เ้าก็มาถึงแล้ว พี่ใหญ่กับพี่รองกำลังรอเ้าอยู่เลย” ดูสิ ว่าพี่น้องรักใคร่กันปานใด
กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว ถามอย่างประหลาดใจว่า “พวกท่านให้คนไปตามข้ารึ? ไฉนข้าจึงไม่รู้เื่เล่า”
คิดจะเสแสร้งแกล้งทำเป็พี่น้องที่รักใคร่ปรองดอง ฉีกหน้าฉีอ๋องต่อหน้าขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ กู้จวิ้นเฉินไม่ยอมรับหรอก
“หืม...อาจจะเป็เพราะคนที่ไปเรียกลืมเสียแล้ว” องค์ชายสามกล่าว
“กล้าลืมคำสั่งของเ้านาย เป็บ่าวรับใช้ของจวนผู้ใดกัน? ของพี่ใหญ่รึ? หรือว่าของพี่รอง? หรือว่าจะเป็จวนของพี่สามท่าน?” กู้จวิ้นเฉินถาม “วันนี้ลืมเื่เช่นนี้ได้ จนกระทั่งเปิ่นหวางมาถึงงานเลี้ยงแล้ว พี่น้องกลับยังรออยู่อีก ต่อไปหากเขาลืมเื่ที่สำคัญกว่านี้เล่า? หากว่าเกี่ยวกับเื่ความเป็ความตายของคนเล่า?”
น้ำเสียงของกู้จวิ้นเฉินนั้นเข้มงวดยิ่งนัก ทำให้องค์ชายสามไม่สามารถแก้ต่างอันใดได้ จึงได้แต่กล่าวว่า “น้องสี่ช่างจริงจังนัก ประเดี๋ยวไปลงโทษก็พอแล้ว”
“มิต้องถึงขั้นนั้นดอก” กู้จวิ้นเฉินกลับทำใจกว้าง “อย่างไรก็มิใช่บ่าวของข้า ทำให้จวนอ๋องของข้ามัวหมองมิได้แม้เพียงครึ่งส่วน ที่มัวหมองและเสียหายน่ะคือหน้าของเ้านายคนผู้นั้น”
“...” องค์ชายสามอยากพุ่งชนกำแพง เขาแค่ฉีกหน้ากู้จวิ้นเฉินเพียงประโยคเดียว แต่กู้จวิ้นเฉินกลับฉีกหน้าเขาประโยคแล้วประโยคเล่า
ผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขา ในใจนั้นได้รู้จักถ่องแท้ถึงฝีปากของฉีอ๋องลึกซึ้งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง จงอย่าได้ล่วงเกินฉีอ๋อง องค์ชายสามต่อสู้กับฉีอ่อง ฉีอ๋องชนะขาดลอย
หากพูดถึงการสืบทอดราชบัลลังก์ กำลังอำนาจครอบครัวฝ่ายมารดาขององค์ชายสามไม่เพียงพอ ฝีปากไม่มีความสามารถพอ เช่นนั้นที่เหลือก็มีเพียงองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง และฉีอ๋อง
ผู้ใดกันเล่าที่จะเป็ผู้สืบทอดราชบัลลังก์
แน่นอนว่ามีคนรู้สึกภาคภูมิใจถึงสิทธิ์ในตัวกู้จวิ้นเฉิน เช่น ท่านข้าหลวงจวนว่าการ เขาคือบุตรชายของนายท่าน แม้ว่าจะนิสัยแตกต่างกัน คนหนึ่งนั้นทำให้คนโมโหด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนอีกคนทำให้คนโมโหด้วยสีหน้าเ็า แต่ถ้าเป็เื่ฝีปากแล้วนั้น บิดาและบุตรชายร้ายกาจเหมือนกัน
“จริงสิ น้องสะใภ้ข้าเล่า?” องค์ชายสามเจตนาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
น้องสะใภ้ คำนี้ฟังแล้วกู้จวิ้นเฉินรู้สึกรื่นหูยิ่ง สายตากลอกไปบอกองค์ชายสามเป็นัยว่าเขาอยู่ที่นั่น
หลี่ลั่วเห็นเหตุการณ์ทางด้านกู้จวิ้นเฉิน เพราะเมื่อองค์ชายสามมา สายตาของผู้คนก็ต้องเคลื่อนไหว ได้ยินพวกเขาพูดถึงตน จึงสบสายตากับกู้จวิ้นเฉิน หลี่ลั่วได้แต่เดินเข้าไป “หลี่ลั่วถวายบังคมองค์ชายสาม”
“โอ๊ย ไม่ต้องเกรงใจ พูดขึ้นมาแล้วพวกเราไม่ได้เจอกันนานยิ่ง ครั้งก่อนที่เจอกันคือเมื่อเดือนห้าในห้องทรงพระอักษรของเสด็จพ่อ จริงด้วยสิ ของว่างชนิดนั้นของเ้ายังมีอีกหรือไม่? รสชาติดีเหลือเกิน” องค์ชายสามพูดพลางหัวเราะ
“ยังมีอีกพ่ะย่ะค่ะ หากองค์ชายสามชอบ ข้าจะส่งเทียบเชิญให้องค์ชายสามมาเป็แขกที่จวน” หลี่ลั่วกล่าว เพื่อเป็การประชาสัมพันธ์ร้านอาหารเพื่อการกุศลของเขา สามารถให้องค์ชายมาโฆษณาให้โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงได้เช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะไม่้า
“ได้เลย ข้าย่อมไปแน่นอน” น้องสะใภ้คนนี้เป็ผู้ชาย ไม่ต้องระวังคนนินทา องค์ชายสามคุยสนุกด้วยความยินดี “ใช่แล้ว ครั้งก่อนที่เ้าถูกลักพาตัวนั้นกลายเป็เื่ใหญ่โต เ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นกลับเป็หลานชายของท่านย่าเลี้ยงกับสามีคนก่อนของนาง ช่างเป็คนเลวร้ายยิ่งนัก”
คนทั้งหมดได้ยินแล้วก็มองไปที่หลี่เหล่าไท่เหฺย ต่างคิดในใจกันว่า องค์ชายสามจะพูดจะจาอะไรต้องมีหัวจิตหัวใจสักหน่อยดีหรือไม่?
----------------------------------
*การสอบถงเซิง เมื่อสอบผ่านระดับท้องถิ่นจะเรียกว่า “ซิ่วไฉ” หลังจากสอบผ่านซิ่วไฉ ปีที่สองนี้จะเข้าสอบระดับมณฑล เมื่อสอบผ่านระดับมณฑลจะเรียกว่า “จวี่เหริน” ซึ่งมีจัดขึ้นในทุกๆ สามปี คะแนนอันดับหนึ่งเรียกว่า “เจี่ยหยวน” เมื่อสอบผ่านแล้วปีที่สองเดือนสามจะเป็การสอบระดับประเทศ เมื่อสอบผ่านแล้วจะเรียกว่า “ก้งเซิง” ส่วนผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบระดับประเทศนี้จะเรียกว่า “ฮุ่ยหยวน” หลังจากประกาศไม่กี่วันสุดท้ายคือการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮ่องเต้จะเสด็จมาควบคุมการสอบเอง หากสอบผ่านจะเรียกว่า “จิ้นซื่อ” คะแนนอันดับหนึ่งเรียกว่า “จ้วงหยวน” หรือ “จอหงวน” นี่ก็คือหยวนทั้งสามที่โดดเด่น
สำหรับการจอบเคอจวี่นั้น
1.ตามบันทึกโบราณ เชื้อพระวงศ์ห้ามเข้าสอบเคอจวี่ ซึ่งเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดก็คือผู้ที่มีบรรพบุรุษคนเดียวกันกับฮ่องเต้ เช่น องค์ชาย ท่านอ๋อง บุตรชายของท่านอ๋อง หลานของท่านอ๋อง...ขอเพียงมีบรรพบุรุษร่วมกับฮ่องเต้ ล้วนห้ามทั้งสิ้น
2. ผู้ที่มีตำแหน่งโหวไม่ต้องเข้าสอบเคอจวี่ การสอบเคอจวี่ก็เพื่อ้าเป็ขุนนาง ดังนั้นนอกจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งโหวแล้ว ผู้สืบทอดของพวกเขาไม่ต้องสอบเคอจวี่ ผู้ที่สืบทอดตำแหน่งโหวนั้นมีฐานะเป็ซื่อจื่อ
3. สำหรับจวี่เหริน จวี่เหรินนั้นซื้อตำแหน่งขุนนางได้แต่มีข้อจำกัด ตำแหน่งขุนนางของจวี่เหรินสูงสุดเพียงขั้นสี่เท่านั้น
ตำแหน่งขั้นสี่ขึ้นไปนอกจากตำแหน่งโหวนั้น ต้องสอบผ่านจิ้นซื่อจึงจะสามารถเลื่อนขึ้นไปได้ สำหรับหกกรม และสำนักราชเลขาธิการ ผู้ที่อยู่ในหกกรมไม่สามารถเข้าสำนักราชเลขาธิการได้ นอกจากว่าจะลาออกจากกรมก่อน หกกรมทำหน้าที่จัดการเื่ราวภายนอก ส่วนสำนักราชเลขาธิการนั้นจัดการเื่ของฮ่องเต้ เป็เสมือนเลขานุการของฮ่องเต้ อย่างเช่น หากฮ่องเต้ตัดสินใจไม่ได้ในเื่ใดเื่หนึ่ง สามารถปรึกษาหารือกับราชเลขาธิการได้ ดังนั้นการเข้าไปอยู่ในสำนักราชเลขาธิการนั้นจึงมีสำคัญยิ่งนัก ถือเป็ตำแหน่งขุนนางใกล้ตัวฮ่องเต้)