แสงแรกของวันใหม่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาปลุกเจาหรงให้ตื่นเต็มตา นางนอนนิ่งอยู่บนเตียงแข็งๆ สูดกลิ่นอายของยามเช้าในชนบทเข้าเต็มปอด กลิ่นดิน กลิ่นหญ้า และกลิ่นควันจางๆ จากครัวของเพื่อนบ้าน เป็กลิ่นที่เรียบง่ายแต่กลับทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด ไม่เหมือนกลิ่นกำยานราคาแพงในจวนอ๋องที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในกรงทองตลอดเวลา
นางพลิกตัวอย่างแ่เบาเพื่อไม่ให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตื่น เว่ยหรานนอนหลับสนิท ใบหน้าคมคายที่ยามตื่นมักจะดูซื่อๆ นั้นยามหลับกลับดูสงบและอ่อนโยน ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของเขาเป็หลักฐานยืนยันว่าเื่ราวเมื่อวานไม่ใช่ความฝัน นางได้กลับมาจริงๆ
ความคิดนั้นทำให้นางรู้สึกตื้นตันจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้าเพื่อซ่อนหยดน้ำตาที่กำลังจะรินไหล โอกาสครั้งที่สอง... เป็สิ่งที่นางไม่เคยคิดฝันว่าจะได้รับ
เจาหรงค่อยๆ ลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุด นางเดินไปเปิดประตูห้องนอนช้าๆ ภาพที่เห็นในห้องโถงเล็กๆ ทำให้มุมปากของนางกระตุกยิ้มอย่างขบขัน เ้าสามแสบนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กๆ ที่เว่ยหรานเป็คนทำขึ้น ทั้งสามคนนอนกอดกันกลมเป็ก้อนเดียว เว่ยหลงผู้เป็พี่ใหญ่นอนอยู่ริมสุด ยังคงรักษาท่าทีนิ่งขรึมแม้กระทั่งยามหลับ ส่วนเว่ยเฟยนอนอยู่ตรงกลาง ขาข้างหนึ่งพาดอยู่บนตัวน้องเล็กอย่างเว่ยหู่ จนเ้าตัวอ้วนกลิ้งไปมาไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเบาๆ ดูแล้วช่างน่าเอ็นดูเสียจริง
นางในชาติก่อนไม่เคยตื่นมาเห็นภาพเหล่านี้เลยสักครั้ง นางมักจะนอนตื่นสายด้วยความเกียจคร้าน ปล่อยให้เว่ยหรานเป็คนจัดการดูแลลูกๆ ทุกอย่าง แต่วันนี้จะแตกต่างออกไป
นางตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นบทบาท ‘มารดาคนใหม่’ ของนางด้วยการสำรวจบ้านอย่างจริงจังเป็ครั้งแรก
บ้านหลังนี้เป็บ้านดินอัดชั้นเดียวขนาดกะทัดรัด ประกอบด้วยห้องนอนใหญ่หนึ่งห้องและห้องโถงที่ใช้เป็ทั้งที่กินข้าว นั่งเล่น และเป็ที่นอนของลูกๆ ด้วย ถัดออกไปคือห้องครัวที่เป็เพิงต่อเติมออกมา แม้เว่ยหรานจะพยายามดูแลให้สะอาดสะอ้านแล้ว แต่ด้วยความที่เป็ผู้ชายตัวคนเดียว แถมยังมีลูกเล็กอีกสามคน สภาพบ้านจึงเรียกได้ว่า ‘รกอย่างเป็ระเบียบ’
เสื้อผ้าที่พับแล้วกองอยู่มุมหนึ่ง ของเล่นไม้ไผ่สานกระจายอยู่ตามพื้น ฝุ่นบางๆ เกาะอยู่ตามชั้นวางของและขอบหน้าต่าง มันไม่ได้สกปรกจนทนดูไม่ได้ แต่มันขาด ‘ไออุ่น’ ของสตรีผู้เป็แม่ศรีเรือน
"เอาล่ะ เริ่มจากตรงนี้แล้วกัน" นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ
แล้วเริ่มต้นจากการนำเสื้อผ้าทั้งหมดไปซักที่ริมลำธารหลังบ้าน อากาศยามเช้าเย็นสบาย น้ำในลำธารใสสะอาดจนมองเห็นก้อนหินใต้น้ำทุกก้อน นางสูดหายใจลึก รู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน ขณะที่นางกำลังทุบผ้ากับก้อนหินอย่างขะมักเขม้นนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นข้างหลัง
"อาหรง! เ้าตื่นั้แ่เมื่อไหร่ ทำไมมาทำอะไรแบบนี้คนเดียว!?"
เว่ยหรานยืนหน้าตื่นอยู่ตรงนั้น เขาอยู่ในชุดนอนเก่าๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ดวงตาที่มองมากลับเต็มไปด้วยความห่วงใยและตำหนิ "เ้ายังไม่หายดีนะ ควรจะนอนพักผ่อนให้มากๆ เื่พวกนี้เดี๋ยวข้าทำเอง"
เจาหรงหยุดมือแล้วเงยหน้ามองเขา "ข้าบอกว่าข้าหายดีแล้ว ท่านพี่ต่างหากที่ควรจะพักบ้าง ทำงานหนักมาตลอดไม่ใช่หรือ"
"แต่ว่า..."
"ไม่มีแต่" นางตัดบทด้วยรอยยิ้ม "วันนี้ข้าจะจัดการบ้านเองทั้งหมด ท่านพี่มีหน้าที่แค่พักผ่อนกับดูแลเ้าสามแสบก็พอ ถือว่าเป็คำสั่งนะ"
เว่ยหรานอ้าปากค้าง ไม่เคยมีครั้งไหนที่ภรรยาของเขาจะพูดจาด้วยน้ำเสียงที่ทั้งอ่อนโยนและเด็ดขาดเช่นนี้มาก่อน แถมรอยยิ้มของนางยังเจิดจ้าเสียจนเขารู้สึกเหมือนหัวใจจะกระดอนออกมานอกอก เขาทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับอย่างงุนงง เดินกลับเข้าบ้านไปอย่างคนเสียศูนย์ ปล่อยให้เจาหรงหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
หลังจากซักผ้าเสร็จและนำไปตากบนราวไม้ไผ่จนเต็มทุกราวแล้ว นางก็กลับเข้ามาในบ้านเพื่อเริ่มทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่
นางเริ่มต้นจากการกวาดหยากไย่ตามมุมห้องและเพดาน เช็ดฝุ่นตามชั้นวางของและขอบหน้าต่าง จัดข้าวของที่วางเกะกะให้เข้าที่เข้าทาง ไม่นานนัก เสียงกุกกักของนางก็ปลุกเ้าสามแสบให้ตื่นขึ้นมาทีละคน
"ท่านแม่... ทำอะไรหรือขอรับ" เว่ยหลง พี่คนโตที่ตื่นก่อนใครเพื่อนขยี้ตาแล้วเอ่ยถามเสียงงัวเงีย
เจาหรงหันไปยิ้มให้ "แม่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตากันก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะทำของอร่อยให้กิน"
ดวงตาของเว่ยหลงเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขามองหน้านางนิ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ เดินต้อยๆ ไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กของตัวเองอย่างว่าง่าย
ไม่นานนัก เว่ยเฟยและเว่ยหู่ก็ตามมาสมทบ เมื่อเห็นมารดากำลังขะมักเขม้นกับการทำความสะอาด สองหน่อน้อยก็เกิดความคิดสนุกๆ ขึ้นมา
"ข้าจะช่วยท่านแม่!" เว่ยเฟยประกาศเสียงดัง คว้าไม้กวาดอันเล็กที่สูงกว่าตัวเองเท่านึงมาถือไว้ แล้วเริ่มกวาดพื้นไปมาอย่างแข็งขัน แต่แทนที่ขยะจะถูกรวมเป็กอง มันกลับฟุ้งกระจายไปทั่วห้องยิ่งกว่าเดิม ฝุ่นตลบอบอวลจนเจาหรงต้องรีบปรามแทบไม่ทัน
"ฮ่าๆๆ พี่รองทำฝุ่นคลุ้งหมดแล้ว!" เว่ยหู่หัวเราะร่าอย่างชอบใจ พลางวิ่งวนไปรอบๆ ตัวพี่ชายอย่างสนุกสนาน
"ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ!" เว่ยเฟยเถียงหน้าแดง
เจาหรงเห็นภาพความโกลาหลตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม หากเป็นางในชาติก่อนคงจะตะคอกใส่เด็กๆ ไปแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่ามันเป็ภาพที่น่าเอ็นดูเหลือเกิน
"เอาล่ะๆ คนเก่งของแม่ มาทางนี้ดีกว่า" นางเข้าไปแย่งไม้กวาดมาจากเว่ยเฟย แล้วยื่นผ้าขี้ริ้วชุบน้ำหมาดๆ ให้เด็กทั้งสาม "ใครอยากเล่นเช็ดโต๊ะแข่งกันบ้าง ใครเช็ดสะอาดที่สุดแม่มีรางวัลให้"
"รางวัลคืออะไรขอรับ!" เว่ยเฟยตาลุกวาว
"ขนมหวานเป็ไง" นางต่อรอง
"ขนมหวาน!" เ้าสามแสบร้องออกมาพร้อมกันอย่างดีใจ แล้วาการเช็ดโต๊ะก็เริ่มต้นขึ้น
แน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยให้งานของนางเบาลงเลยแม้แต่น้อย เว่ยหลงพยายามเช็ดอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ด้วยความที่เป็เด็ก ก็ทำได้แค่ถูไปมาในบริเวณเดิมๆ เว่ยเฟยเช็ดไปเล่นไป ทำน้ำหกเลอะเทอะ ส่วนเว่ยหู่... ดูเหมือนจะสนใจการอมผ้าขี้ริ้วมากกว่าการเช็ดโต๊ะ
เจาหรงต้องคอยดูแลไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ คอยเช็ดน้ำที่หก และคอยดึงผ้าออกจากปากเ้าตัวเล็ก แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ริมฝีปากของนางกลับมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ และเสียงเจื้อยแจ้วที่ดังไม่หยุด ทำให้บ้านที่เคยเงียบเหงากลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
เว่ยหรานที่ยืนพิงกรอบประตูมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป ภาพของเจาหรงที่กำลังหยอกล้อกับลูกๆ อย่างอ่อนโยน เป็ภาพที่เขาเคยได้แต่จินตนาการถึง บัดนี้มันกลับเกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รู้สึกว่าขอบตาของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาจึงรีบหันหลังเดินหนีไปทางหลังบ้าน กลัวว่าหากมองต่อไปอีกนิด น้ำตาลูกผู้ชายอาจจะไหลออกมาให้อับอายภรรยาและลูกๆ ได้
หลังจากเสร็จสิ้นการทำความสะอาดห้องโถง ซึ่งใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็ถึงสองเท่า เจาหรงก็ปล่อยให้เด็กๆ ไปวิ่งเล่นกันที่ลานหน้าบ้าน ส่วนนางก็มุ่งหน้าไปยังสมรภูมิสุดท้าย... ห้องครัว!
สภาพครัวเมื่อวานว่าดูไม่จืดแล้ว วันนี้เมื่อตั้งใจมาสำรวจอย่างละเอียดก็ยิ่งแล้วใหญ่ คราบเขม่าควันเกาะตามผนังจนดำไปหมด อุปกรณ์เครื่องครัวมีเพียงน้อยชิ้นและวางระเกะระกะ ถังน้ำก็ว่างเปล่า
นางถอนหายใจยาว งานนี้คงต้องใช้แรงมากกว่าที่คิด
เจาหรงเริ่มต้นจากการไปหาบน้ำจากลำธารมาเติมให้เต็มทุกถัง จากนั้นก็เริ่มลงมือขัดหม้อดินเผาและถ้วยชามทุกใบจนขึ้นเงา แม้จะเหนื่อยจนแขนแทบล้า แต่นางกลับไม่รู้สึกท้อเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่ขัดคราบสกปรกออกไปได้ นางรู้สึกเหมือนกำลังชำระล้างความผิดในอดีตของตัวเองไปด้วย
ขณะที่นางกำลังง่วนอยู่กับการขัดพื้นครัวอยู่นั้น ร่างสูงใหญ่ของเว่ยหรานก็เดินเข้ามาพร้อมกับฟืนเต็มอ้อมแขน เขาเห็นนางนั่งยองๆ ขัดพื้นอยู่ก็รีบวางฟืนลงแล้วตรงเข้ามาหาทันที
"อาหรง! พอแล้วๆ เ้าทำมาทั้งเช้าแล้วนะ ดูสิเหงื่อท่วมตัวไปหมดแล้ว" เขาพูดพลางยื่นผ้าสะอาดที่พาดอยู่บนบ่ามาซับเหงื่อบนหน้าผากให้นางอย่างแ่เบา
เจาหรงชะงักไปเล็กน้อยกับการกระทำอันอ่อนโยนของเขา ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ "ข้า... ข้าแค่อยากทำให้มันสะอาด"
"ข้ารู้ แต่เ้าไม่ใช่ทาสนะ ไม่ต้องทำทุกอย่างคนเดียวก็ได้" เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง "บอกข้ามาเถอะ ว่าอยากให้ข้าช่วยอะไร"
คำพูดง่ายๆ ของเขาทำให้นางรู้สึกตื้นตันใจ สามีขุนนางที่นางเคยเทิดทูนนักหนากลับไม่เคยแม้แต่จะชายตามองยามที่นางต้องทำงานหนัก มีแต่เว่ยหรานคนซื่อคนนี้เท่านั้นที่คอยอยู่เคียงข้างและพร้อมจะช่วยเหลือเสมอมา
"เช่นนั้น รบกวนท่านพี่ช่วยขัดผนังตรงนั้นให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าเอื้อมไม่ถึง" นางชี้ไปที่ผนังเหนือเตาไฟที่ดำที่สุด
เว่ยหรานไม่พูดพร่ำทำเพลง เขารับแปรงขัดมาจากนางแล้วลงมือขัดอย่างแข็งขัน ด้วยความสูงและพละกำลังของเขา ไม่นานนักผนังที่เคยดำเป็ตอตะโกก็ค่อยๆ เผยให้เห็นสีดินเดิมของมัน
สองสามีภรรยาทำงานในครัวเงียบๆ มีเพียงเสียงแปรงขัดกับผนังและเสียงลมหายใจของกันและกัน บรรยากาศไม่ได้น่าอึดอัด แต่กลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด เจาหรงลอบมองแผ่นหลังกว้างของสามีที่กำลังทำงานอย่างตั้งใจแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่านางช่างโง่เง่านักที่เคยมองข้ามบุรุษที่ดีพร้อมเช่นนี้ไป…
เมื่อทำความสะอาดครัวจนเสร็จเรียบร้อยก็เป็เวลาใกล้เที่ยงแล้ว ท้องของทุกคนเริ่มส่งเสียงประท้วง โดยเฉพาะเ้าตัวเล็กทั้งสามที่วิ่งเข้ามาเกาะแข้งเกาะขามารดาพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอน
"ท่านแม่... ขนมหวานของพวกเราล่ะขอรับ" เว่ยเฟยทวงสัญญา
เจาหรงหัวเราะ "ได้เลยๆ แต่ก่อนจะกินขนมหวาน เราต้องกินข้าวมื้อเที่ยงกันก่อนนะ"
นางหันไปสำรวจเสบียงในครัวอีกครั้ง ข้าวสารเหลืออยู่ไม่มากนัก ผักก็มีเพียงหัวไชเท้าเหี่ยวๆ หนึ่งหัวกับผักกาดแห้งๆ อีกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาคงต้องกินข้าวต้มอีกมื้อ
แต่เจาหรงไม่อยากให้เป็เช่นนั้น นางอยากทำของอร่อยๆ ให้ครอบครัวได้กิน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดงสมุนไพรและพืชผักสวนครัวที่ขึ้นอยู่ริมรั้วหลังบ้าน มีทั้งต้นกระเทียมป่า ใบโหระพา และที่สำคัญคือนางเห็นยอดฟักทองเลื้อยพันอยู่กับรั้วไม้ไผ่!
ความทรงจำในชาติก่อนที่ต้องอดมื้อกินมื้อทำให้นางพอจะมีความรู้เื่พืชผักที่กินได้อยู่บ้าง นางจึงรีบออกไปเก็บยอดฟักทองอ่อนๆ และกระเทียมป่ามาหนึ่งกำมือ
เมนูมื้อเที่ยงในหัวของนางจึงเปลี่ยนไปในทันที
นางจัดการหุงข้าวสวยร้อนๆ ส่วนกับข้าว นางนำยอดฟักทองมาผัดกับกระเทียมป่าและปรุงรสด้วยเกลือเพียงเล็กน้อย กลิ่นหอมๆ ของกระเทียมป่าที่ถูกผัดกับน้ำมันลอยฟุ้งไปทั่วจนเรียกน้ำย่อยของทุกคนได้เป็อย่างดี จากนั้นนางก็นำหัวไชเท้ามาซอยเป็เส้นบางๆ แล้วต้มเป็แกงจืดร้อนๆ ซดคล่องคอ
แม้จะเป็เพียงอาหารสองอย่างที่เรียบง่ายและไม่มีเนื้อสัตว์เลย แต่สำหรับครอบครัวเว่ยแล้ว มันคือมื้ออาหารที่หรูหราที่สุดในรอบหลายเดือน
"หอมจังเลย!" เว่ยหู่สูดจมูกฟุดฟิด ดวงตาเป็ประกาย
ทุกคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะไม้ไผ่ที่ตอนนี้สะอาดเอี่ยมอ่อง เจาหรงตักข้าวให้ทุกคนก่อน แล้วจึงตักกับข้าวให้ลูกๆ จนพูนถ้วย
"กินเยอะๆ นะ จะได้โตไวๆ"
เว่ยหรานตักผัดยอดฟักทองเข้าปากเป็คนแรก เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างแรง "อร่อย! อร่อยมาก! รสชาติมัน... มันหวานกรอบ!"
"จริงด้วยขอรับ! ไม่ขมเลย!" เว่ยเฟยรีบเสริม
เจาหรงยิ้มกว้างอย่างพอใจ "ยอดฟักทองต้องเลือกเก็บยอดอ่อนๆ ถึงจะไม่ขม"
มื้ออาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็ระยะๆ เจาหรงคอยดูแลเอาใจใส่ลูกๆ และสามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คอยเช็ดปากให้คนที่กินมูมมาม คอยเติมข้าวให้คนที่กินจุ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว
หลังจากกินข้าวเสร็จและเก็บล้างเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาของหวานที่สัญญาไว้ เจาหรงไม่มีวัตถุดิบอะไรมากนัก นางจึงทำได้เพียงนำแป้งข้าวเหนียวที่เหลืออยู่เล็กน้อยมานวดกับน้ำอุ่นแล้วปั้นเป็ก้อนกลมๆ ต้มในน้ำขิงร้อนๆ ที่พอจะหาได้ในครัว เป็ขนมอี๋แบบง่ายๆ แต่สำหรับเด็กๆ แล้ว มันคือของวิเศษ
เ้าสามแสบกินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อยจนแก้มตุ่ย ความสุขฉายชัดอยู่ในแววตาของพวกเขา
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้าแล้ว เปลือกตาของเ้าตัวเล็กทั้งสามก็เริ่มหนักอึ้ง เจาหรงจึงพาพวกเขาเข้าไปนอนในห้อง
นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้กล่อมลูกๆ เข้านอนด้วยตัวเอง นางค่อยๆ ลูบหลังพวกเขาเบาๆ พลางฮัมเพลงกล่อมเด็กที่เคยได้ยินผ่านๆ มาในชาติก่อนด้วยเสียงที่แ่เบาและสั่นเครือเล็กน้อย ไม่นานนัก ลมหายใจของเ้าสามแสบก็เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ... พวกเขาหลับไปแล้ว
นางมองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของลูกๆ ยามหลับใหล แล้วหัวใจก็พองโตไปด้วยความรักที่นางไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางก้มลงจูบหน้าผากของพวกเขาทั้งสามคนอย่างแ่เบา
"แม่รักลูกนะ" นางกระซิบเสียงสั่น "ต่อไปนี้แม่จะดูแลพวกลูกให้ดีที่สุด"
เมื่อออกมาจากห้องนอน นางก็เห็นเว่ยหรานนั่งรออยู่บนแคร่หน้าบ้าน เขากำลังซ่อมแซมของเล่นไม้ที่หักให้ลูกๆ อยู่ พอเห็นนางเดินออกมาเขาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ เป็รอยยิ้มที่จริงใจและอบอุ่นที่สุด
บ้านที่สะอาดสะอ้าน ลานบ้านที่ไม่มีของเล่นวางเกะกะ ท้องฟ้าสีครามสดใส และรอยยิ้มของบุรุษผู้เป็สามี ทุกอย่างประกอบกันเป็ภาพที่งดงามและสงบสุขอย่างที่นางไม่เคยััมาก่อน
"ลูกๆ หลับแล้วหรือ" เขาถาม
"อืม หลับกันหมดแล้ว คงจะเหนื่อยกันมาทั้งวัน" นางตอบแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขา
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ แต่เป็ความเงียบที่ไม่อึดอัด
"ขอบคุณนะ อาหรง" เว่ยหรานเป็ฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
"ขอบคุณเื่อะไรกัน"
"ทุกอย่าง" เขาวางของเล่นในมือลงแล้วหันมามองนางเต็มตา "ขอบคุณที่ทำความสะอาดบ้าน ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆ และขอบคุณที่... ที่ยิ้มให้ข้ากับลูกๆ"
เจาหรงรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกอยู่ที่ลำคอ นางทำได้เพียงส่ายหน้าเบาๆ "เป็ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่านพี่ ขอบคุณที่อดทนกับข้ามาตลอด"
นางมองสำรวจใบหน้าของเขาใกล้ๆ อีกครั้ง สังเกตเห็นรอยแผลเป็จางๆ ที่หางคิ้ว และริ้วรอยเล็กๆ ที่เริ่มปรากฏขึ้นรอบดวงตา ริ้วรอยที่เกิดจากการทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูนางและลูกๆ
นางยื่นมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว แตะลงบนรอยแผลเป็นั้นอย่างแ่เบา "เจ็บมากหรือไม่"
เว่ยหรานสะดุ้งเล็กน้อยกับััของนาง เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงเบา "นานมากแล้ว ข้าจำไม่ได้แล้ว"
"ต่อไปนี้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านพี่ต้องเจ็บตัวหรือเจ็บใจอีกแล้ว" นางให้คำมั่นสัญญาอีกครั้ง ไม่ใช่แค่กับเขา แต่กับตัวเองด้วย
ดวงตาซื่อตรงของเว่ยหรานสั่นไหว เขามองนางราวกับจะค้นหาความจริงใจในคำพูดนั้น และเมื่อเขาเห็นเพียงความแน่วแน่ในแววตาของนาง เขาก็ยิ้มออกมา เป็รอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบของเจาหรงสว่างไสวขึ้นมาในทันที
เจาหรงนั่งมองลานดินหน้าบ้านที่บัดนี้ดูโล่งเตียนและสะอาดตา แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมาทำให้เห็นว่าผืนดินตรงนั้นอุดมสมบูรณ์เพียงใด ในหัวของนางพลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
ความคิดที่จะปลูกผักทำสวนผุดขึ้นมาอย่างชัดเจนในหัว!
ผักสวนครัวที่จะทำให้ครอบครัวเล็กๆ ของนางมีกินไม่ขาด นางจะลงมือทำมันในวันพรุ่งนี้