กว่า 9 ปีที่แล้ว ในขณะที่เย่าจู่อยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาโทร.ติดต่อเหวินจิ้งวันละครั้ง โทนเสียงของฝ่ายตรงกันข้ามยังฟังดูลนลานเหมือนเช่นเคย เธอร้อนรนเหมือนมดบนเตาไฟ
แน่นอนว่าทุกอย่างควรถูกจัดเตรียมไว้แล้ว เขาเคยขู่ชายชราไว้ว่าจะไม่หวนกลับบ้านั้แ่เมื่อ 3 เดือนก่อน เพื่อให้พ่อยกเลิกกฎของหมู่บ้านเบเลอร์ที่ห้ามขุนนางแต่งงานกับจัณฑาล และจะดูแลหลานชายในครรภ์ของเหวินจิ้งซึ่งกำลังจะถือกำเนิดให้ดี
เย่าจู่คิดว่านี่เป็ข้อตกลงที่วางใจได้ อย่างไรเสียเขาก็เป็ลูกชายเพียงคนเดียวของเจิ้นถิง ถึงแม้เหวินจิ้งจะเป็จัณฑาล แต่ท้ายที่สุดแล้วในครรภ์ของเธอก็มีหลานชายของพ่อ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในวันเกิดปีที่ 18 ของเขา ชายชราได้เล่าเื่แดนสนธยาของหมู่บ้านเบเลอร์ให้เขาฟังที่นั่นคือทะเลดอกฝิ่นซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เป็ฝิ่นที่ตกทอดกันมาั้แ่สมัยราชวงศ์ชิงซึ่งได้เพาะปลูกเมล็ดพันธุ์งามเอาไว้ มันเหมาะกับสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านเบเลอร์ เรียกได้ว่าเป็วัตถุดิบผลิตภัณฑ์ยาเกรดพรีเมียมของโลก
สินค้าของหมู่บ้านเบเลอร์ถูกส่งตรงไปยังสามเหลี่ยมทองคำในทุกๆ ปี สิ่งที่แลกมาได้ก็คือผลตอบแทนมูลค่ามหาศาลนับหลายร้อยล้านหยวน นี่คือธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงสุดและมืดมนที่สุดสำหรับหมู่บ้านเบเลอร์ ผู้ที่รู้ว่าแดนสนธยานั้นมีอยู่จริง ทั้งหมู่บ้านมีไม่เกินร้อยคน และทั้งหมดต่างก็เป็คนในชนชั้นขุนนาง
เมื่อถึงเวลาที่ทายาทของผู้ใหญ่บ้านอายุครบ 18 ปี ก็ถึงเวลาแล้วที่จะได้ล่วงรู้ความลับนี้ และดำรงตำแหน่งเป็ผู้สืบเชื้อสายผู้ใหญ่บ้านกุญแจดอกเดียวของแดนสนธยา ซึ่งมีอิทธิพลต่อดวงชะตาอันรุ่งเรืองหรือตกต่ำของทั้งหมู่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านใจทมิฬจะส่งจัณฑาลที่ป่วยระยะสุดท้ายไปยังแดนสนธยา เพื่อช่วยจัดการกับทะเลดอกไม้และกลั่นฝิ่น กระทั่งพวกเขาเสียชีวิตลงที่นั่น
เย่าจู่ตกตะลึงมากเมื่อได้ทราบเื่นี้ แต่เพื่อภรรยาและลูกของเขาเขาจำเป็ต้องยอมรับบาปแต่เดิมของตระกูล และสัญญาว่าจะดูแลทะเลฝิ่นต่อไป และหลังจากกลับมาจากโรงเรียนเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหาทางออกอื่นให้กับหมู่บ้านเบเลอร์ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือการที่ภรรยาและลูกของเขาต้องได้รับการยอมรับ
แต่หลังๆ มาจู่ๆ เขาก็ขาดการติดต่อกับเหวินจิ้ง เห็นได้ชัดว่าวันครบกำหนดคลอดใกล้เข้ามาแล้ว แต่เขาก็ยังติดต่อเหวินจิ้งไม่ได้
เมื่อเย่าจู่ตั้งใจจะโทร.หาครอบครัวของหญิงสาว บิดาของเขาก็โทร.เข้ามาก่อน
“เย่าจู่ สิ่งที่พ่อ้าจะพูดต่อไปนี้ แกต้องฟังอย่างสงบ...เหวินจิ้งเสียชีวิตในขณะที่คลอดบุตร และเด็ก...ก็รักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้"
เย่าจู่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาทิ้งตัวล้มลงในทันที ความรู้สึกเช่นนั้น เสิ่นิเข้าใจดี เคราะห์ดีที่เสิ่นิยังได้ชำระแค้น แต่เย่าจู่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง
ชายหนุ่มรีบบินกลับมาบ้าน เขามาถึงหน้าหอไว้อาลัยซึ่งสร้างอยู่ภายในหมู่บ้านเบเลอร์ นับว่าเจิ้นถิงยังพอมีเมตตาอยู่บ้าง แม้ว่าเหวินจิ้งจะยังไม่ได้แต่งเข้าคฤหาสน์จักรพรรดิ แต่เจิ้นถิงก็ยอมรับหญิงสาวในฐานะลูกสะใภ้ อนุญาตให้แขวนป้ายไว้อาลัยของเธอในคฤหาสน์จักรพรรดิได้
เย่าจู่คุกเข่าอยู่ในโถงไว้ทุกข์ เขาโวยวายคลุ้มคลั่ง ชายหนุ่มกล่าวหาว่าพ่อของตนดูแลภรรยาและลูกของเขาไม่ดี หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน เย่าจู่ก็บินกลับสหรัฐอเมริกา ั้แ่นั้นเป็ต้นมา เขาก็ตัดขาดจากครอบครัว ทำตัวเละเทะอยู่หนึ่งปี ความเ็ปที่ไม่ได้รับการเยียวยารักษา เขาสาบานว่าจะกลับมาเอาชีวิตของชายชราให้จงได้ เขาสมัครเป็ทหาร เข้าร่วมกองกำลังทหารระดับสูงสุดของโลกเพื่อที่จะได้เรียนรู้ศิลปะการสังหาร
“นายช่างเป็ลูกที่แสนประเสริฐของพ่อ ภรรยาและลูกเสียชีวิต แต่กลับเอาความโกรธไปลงกับผู้ที่เป็พ่อ ถ้าฉันเป็พ่อนาย ฉันจะรีบทำหมันั้แ่เนิ่นๆ จะไม่มีวันปล่อยให้นายได้ผุดได้เกิดแบบนี้” หลังจากเสิ่นิได้ฟังเื่ราวทั้งหมดของเย่าจู่ เขาก็ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจ กลับรู้สึกรังเกียจด้วยซ้ำ
อย่างที่ว่าไว้บุตรไม่ควรรังเกียจความชั่วร้ายของบิดา สุนัขไม่ควรรังเกียจที่ครอบครัวยากจน พ่อลูกควรก้าวข้ามอารมณ์ที่อยู่เหนือความถูกผิดของโลก ผู้ที่สังหารครอบครัวของตน จะได้รับการพิพากษาทางจริยธรรมเป็การส่วนตัว
“นายนี่ช่างไม่รู้อะไรเลย ฉันไม่ได้โกรธ แต่ตาแก่นั่นวางแผนกำจัดภรรยาและลูกของฉันไว้แต่แรกแล้ว!” เย่าจู่กัดฟัน “เดิมทีฉันรู้สึกขอบคุณมากที่ตาแก่นั้นยอมให้แขวนป้ายไว้ทุกข์ของเหวินจิ้งไว้ในคฤหาสน์จักรพรรดิ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ในฐานะที่เหวินจิ้งเป็สะใภ้ เหตุใดชื่อของเธอจึงไม่ได้อยู่ในลำดับวงศ์ตระกูล แต่กลับฝังร่างของเธอไว้ในสุสานของบรรพบุรุษของเรา ตาแก่นั้นเป็ผู้ถือยศถืออย่างมาก ฝังคนนอกไว้ในสุสานบรรพชน มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าการสังหารเขาเสียอีก หนึ่งวันก่อนครบเจ็บวันหลังการเสียชีวิต ฉันขุดโลงศพของเหวินจิ้งท่ามกลางสายฝน...ปรากฏว่าข้างในว่างเปล่า! "
ณ ขณะนั้น เสิ่นิตัวสั่นเทิ้ม ไม่ใช่เพราะเื่ราวทางอารมณ์ที่เขาเล่าให้ฟัง แต่เป็เพราะในระยะที่ห่างออกไป 30 เมตร ที่ด้านหน้าบูธเกมยิงหนังสติ๊ก คนกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะและยิงเป็ดเพื่อชิงของรางวัลกันอยู่ ในหมู่ของพวกเขามีชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเสื้อโค้ตสีดำยืนอยู่เฉยๆ โดยปราศจากคันธนู เด็กชายที่ต่อแถวด้านหลังกำลังโวยวายเขา เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงในหูฟังของเสิ่นิ
เจอตัวแล้ว!
เสิ่นิและเย่าจู่ง้างคันธนูขึ้นในจังหวะเดียวกัน นอกจากนี้เย่าจู่ยังประกอบที่ยิงหนังสติ๊กที่กองทหารสมัยใหม่ใช้เหมือนกันอีกด้วย ดึงสุดคันธนู บางทีกำลังมือของเขาก็เพียงพอที่จะเหนี่ยวแรงดึงยางได้แค่ 10 เส้น แรงปะทะสังหารครอบคลุมในระยะ 30 เมตร แต่สำหรับพวกเขาทั้งสองแล้ว ระยะห่าง 30 เมตรนี้ ความแตกต่างในด้านอาวุธ ความรุนแรง และการตอบสนองนั้นแทบจะเท่ากันหมด
เสิ่นิและเย่าจู่ปล่อยธนูพร้อมกัน ลูกเหล็กทั้งสองลูกที่มีขนาดเท่ากันแหวกว่ายไปในอากาศ มันปะทะกันกลางเวหาจนเกิดเสียงดังดุจฟ้าร้อง จุดประกายไฟพร่างพราว ลูกเหล็กสองลูกนั้นเบนเส้นทางบิน นัดหนึ่งหักเสาไม้สี่เหลี่ยมซึ่งค้ำบูธข้างๆ เขา ส่วนอีกนัดหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่แจกันใบหนึ่งซึ่งวางอยู่ที่บูธจนแตกเป็เสี่ยงๆ
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ผู้คนรอบข้างหวาดกลัวและะโร้อง เมื่อแตกตื่นและไม่มีที่ให้หลบหนี ไม่มีใครได้รับการฝึกอบรมเื่การอพยพ ไม่มีอาคารใดในหมู่บ้านเคยถูกเครื่องบินชนมาก่อน ทักษะด้านการรักษาความปลอดภัยนั้นต่ำมาก
“หมอบลง!” เสียงทุ้มของเสิ่นิดังก้อง เป็การแนะแนวทางให้แก่ผู้ที่สัญจรซึ่งทำอะไรไม่ถูก
ผู้คนหมอบลงกับพื้นโดยสัญชาตญาณ เหลือเพียงพลซุ่มยิงสองคนที่ถือที่ยิงหนังสติ๊กไว้ในมือ
วิธีการสังหารด้วยที่ยิงหนังสติ๊กนั้นมีหลากหลายวิธีกว่าปืนไรเฟิลมาก แค่เปลี่ยนวิธีการออกแรง ก็สามารถสร้างเอฟเฟกต์การยิงที่แตกต่างกันได้โดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่นเย่าจู่อาศัยวิชาพิเศษตัวเบา รักษาความคล่องตัวสูง แขนกึ่งกันะเืช่วยเพิ่มความเร็วในการยิงได้ บางทีะุลูกเหล็กแบบนี้ไม่เพียงพอที่จะเจาะร่างของเสิ่นิ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กระดูกของเขาหักและทำลายผิวบริเวณที่บอบบางได้
เสิ่นิไม่ชอบะโหลบไปมา ทุกครั้งที่เผยมือง้างธนูสุดสาย ประสิทธิภาพหนึ่งช็อตต่อหนึ่งวินาที ทำให้ลูกเหล็กที่ถูกยิงมีลักษณะคล้ายกับหัวะุเจาะเกราะของ Barrett กระทั่งเกิดรูขนาดเท่ากำปั้น ณ บูธไม้ที่เย่าจู่ใช้เป็เกราะกำบัง แค่เห็นขี้เลื่อยกระเซ็นไปทั่วก็น่าหวั่นเกรงแล้ว
ส่วนการยิงติดต่อกันของเย่าจู่ โดยมากเสิ่นิจะใช้วิธีหลบเลี่ยงไปตามลำดับการยิง บางลูกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ไม่เกินกำลังของกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง
ทั้งสองยิงกันอยู่ครึ่งนาที ช่องโหว่ของเย่าจู่ก็ถูกเปิดเผย เขาใช้เวลาในการง้างคันธนูนานเกินไป กล้ามเนื้อยากที่จะรักษาสมดุลในระดับสูงสุดเอาไว้ได้ ความเร็วและความแรงในการยิงจึงมิได้เต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวนัก
แม้ว่าเสิ่นิจะรับลูกเหล็กไปไม่ต่ำกว่า 4 ลูกแล้ว ตำแหน่งที่ถูกยิงนั้นบวมช้ำ เม็ดเืกลั่นตัวออกจากรูขุมขน แต่โดยพื้นฐานแล้วมันก็ไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถในการวาดคันธนูของเขา
“เย่าจู่ นายเสร็จฉันแล้ว” เสิ่นิง้างหนังยางออกสุดสายและสืบเท้าไปข้างหน้าด้วยท่าง่อยเปลี้ย เขาถูกยิงหนักสุดที่บริเวณน่องขวา ไม่สามารถเดินอย่างปกติได้
ผีูเาเหนื่อยมากกระทั่งนิ้วสั่นกระตุก เขานั่งลงกับพื้น หลังพิงแผ่นไม้ซึ่งเกิดรูจนมีแสงลอดออกมา
“บ้าเอ้ย! นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันเล่นยิงหนังสติ๊กแล้วแพ้...นายมันเป็สัตว์ประหลาด? ไม่ใช่สไนเปอร์เหรอ? ทำไมถึงเข้าใจพลังชี่กงซึ่งเป็ศิลปะการต่อสู้ในระยะประชิด?!” เย่าจู่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างน่าเลื่อมใส
ในเมื่อเขามั่นใจว่าลูกเหล็กจะสามารถเอาชีวิตเหล็กกล้าอย่างเสิ่นิได้ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงรอยฟกช้ำตามตัว ทันใดนั้น หัวใจก็ถูกบีบอัด ผู้ชายคนนี้ไม่มีจุดตายเลย เขาคืออสุรกายผู้จุติมาเพื่อปลิดชีพ
“ฉันรับปากกับผู้ใหญ่บ้านไว้ว่าจะพยายามอย่างยิ่งที่จะไว้ชีวิตนาย แค่พยายามนะ” เสิ่นิออกคำสั่งอย่างเ็า “ทิ้งอาวุธซะ ประสานมือไว้บนศีรษะและออกมามอบตัว”
“นายชนะแล้ว แต่นายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยสักนิด” เย่าจู่โยนที่ยิงหนังสติ๊กไว้บนพื้นถนนข้างกายเขา
ชายหนุ่มทำตามคำแนะนำของเสิ่นิ เย่าจู่เดินออกมาจากหลังป้ายไม้โดยมีสองมือประสานกันไว้ที่หลังศีรษะ
เย่าจู่สูง 178 เิเ รูปร่างผ่าเผย ถ้าไม่ใช่เพราะกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งจากการฝึกฝน ก็อาจจะคิดว่าเขาเป็แค่หนอนหนังสือข้างบ้าน
อาจเพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อาจเพราะเป็สไนเปอร์เหมือนๆ กัน เสิ่นิเลยนึกเห็นใจชายหนุ่มผู้นั้นขึ้นมา
“ฉันไม่จำเป็ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ฉันเป็แค่บอดี้การ์ด ไม่ใช่ฮีโร่ผู้กอบกู้โลก ในสัญญาระบุไว้ว่าฉันต้องให้การคุ้มครองนายจ้างให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปก็เท่านั้น ความเป็ความตายของนาย ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉัน” เสิ่นิอธิบาย
“น่าเสียดาย ทักษะในการสังหารของนายยอดเยี่ยมกว่าทักษะในการคุ้มครองผู้คน มาเป็บอดี้การ์ด เสียของนัก” เย่าจู่ถอนหายใจ
“นายหมายความว่าไง?” เสิ่นิไม่ได้รู้สึกถึงสัญญาณความอ่อนข้อจากเย่าจู่เลย ดูเหมือนว่าเขาจะสบายเกินไป
“ความเป็ความตายของแก! เกี่ยวข้องกับความเป็ความตายของฉัน! ไปลงนรกซะ!” จากบูธด้านข้าง เฝิงเฉวียนซึ่งรอจังหวะนี้มานาน ถือเข็มยาวสองเล่มในมือ พุ่งมันเข้าใส่เย่าจู่อย่างสุดกำลัง
“อย่า!” เสิ่นิสมาธิหลุดในชั่วพริบตา เย่าจู่จุดรอยยิ้มที่มุมปากของเขา ก่อนจะกดรีโมทคอนโทรลขนาดเล็กในมือซึ่งซ่อนไว้ที่ด้านหลังศีรษะ
“ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!” เสียงะเิดังขึ้นมาจากถนนงานวัด ทำเอาถังขยะทุกใบในหมู่บ้านเบเลอร์ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า หมอกขาวขนาดมหึมาเปลี่ยนหมู่บ้านเบเลอร์ให้กลายเป็เมืองในม่านหมอกในพริบตา ทัศนวิสัยรอบด้านไม่ถึงสองเมตร
เหตุะเิ หมอกควันหนา เสียงกรีดร้อง...นอกจากโปรโมชั่นลดราคากระหน่ำในวันที่ 11 เดือน 11 แล้ว ยังมีอะไรอีกที่ทำให้ฝูงชนคลุ้มคลั่งได้ขนาดนี้อีก? ผู้คนที่หมอบอยู่บนพื้นต่างก็ลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว วิ่งหนีไปรอบๆ ด้วยความงุนงง ทุกคนมีเพียงความคิดเดียวในใจคือกลับบ้านให้ไว สิ่งที่น่าขันกว่านั้นก็คือกว่า 80% ของพวกเขาไม่สามารถหาทิศทางของบ้านตัวเองได้ เกิดความโกลาหลขึ้นทุกรูปแบบ การเหยียบกันเกิดขึ้นทุกซอกมุมในหมู่บ้าน
“ฉิบหาย! มันหนีไปแล้ว!” เฝิงเฉวียนยกชุดกันลมของเย่าจู่ขึ้นอย่างมาอย่างหดหู่ที่เบื้องหน้าของเสิ่นิ
“ไม่ เขาไม่เคยคิดหนี...ล่อเสือออกจากถ้ำ! กลับเร็วเข้า!” เสิ่นิร้องลั่นและวิ่งไปยังทิศทางของคฤหาสน์จักรพรรดิ แต่ฝูงชนโหวกเหวกกอปรกับลักษณะภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคย หมอกหนา ทุกปัจจัยชะลอเขาให้ช้าลง
หมอกหนาขนาดมหึมาที่เย่าจู่ก่อขึ้น สร้างความรบกวนคลื่นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดเป็อัมพาต
5 นาทีต่อมา เย่าจู่ถือปืนลูกซองเดินไปตามช่องประตูลับที่เขาขุดไว้ก่อนหน้านี้และใช้ลักลอบเข้าไปในคฤหาสน์จักรพรรดิ เขาไม่จำเป็ต้องค้นหาว่าเจิ้นถิงอยู่ที่ตึกไหน เนื่องด้วยลักษณะนิสัยของชายชราแล้วเขาจะต้องกำลังร่างบทบวงสรวงเพื่อใช้สำหรับงานวันพรุ่งนี้อยู่ที่ห้องหนังสือแน่