มู่เทียนหนานส่ายหน้าไปมา “เธอนี่นะพูดจาไม่น่ารักเลย จะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไง?”
แต่เหวินกวนจิ่งกลับดึงมู่เทียนหนานเอาไว้ “คุณหลินคุณเองก็เป็คนที่เกิดมาพร้อมศาสตร์ควรจะรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ในหน่วยงานเราเป็ยังไงที่ก่อนหน้านี้พวกเราปกป้องโจวเหย้าเวย ไม่ใช่เพราะไม่เห็นค่าของชีวิตคนแต่เป็เพราะมีปัญหาด้านคน เราเลยไม่มีทางอื่น”
หลินลั่วหรานส่งเสียงฮึขึ้นในลำคอ “หมอกสีชมพูของโจวเหย้าเวยเพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่เื่ดี คนแบบนี้พวกคุณก็ยังไม่เลือก?”
เหวินกวนจิ่งรู้สึกละอาย “แม้ว่าจะเป็แบบนั้นแต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่ามีพลังมาก ใช่ไหมล่ะคุณหลิน”
เมื่อนึกถึงหมอกสีชมพูที่ส่งผลต่อจิตใจของคนอีกทั้งยังสามารถทำให้คนหมดกำลังที่จะต่อสู้ได้ในเวลาอันสั้นแล้วหากว่าไม่มีไข่มุกอยู่ หลินลั่วหรานก็คงจะซวยมากแน่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอก็ไม่อาจจะปฏิเสธอะไรได้ ภายใต้การไร้ความป้องกันของผู้คน หมอกสีชมพูประหลาดของโจวเหย้าเวยนั้นเป็อาวุธสังหารที่น่ากลัวทีเดียว
แต่เหวินกวนจิ่งจะพูดเื่เหล่านี้กับเธอทำไม?
“คุณเหวิน ฉันเป็เพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คุณพูดเื่พวกนี้กับฉัน ฉันก็ไม่เข้าใจอะไรหรอกมีอะไรก็รีบพูดออกมาเลยจะดีกว่า พวกเราจะได้คุยตกลงกัน โอเคไหม?”
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ แววตามึนงงของเหวินกวนจิ่งก็สงบลง “ผมเข้าใจแล้ว คุณหลินฝึกศาสตร์ได้ล้ำลึกหากไม่ทำประโยชน์ให้กับประเทศก็คงน่าเสียดาย ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อเป็ตัวแทนของหน่วยในการมาเชิญคุณอยากจะให้คุณหลินช่วยรับไว้พิจารณาสักหน่อย”
เชิญฉัน? ไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม!
หลินหลั่วหรานหันไปมองผู้บังคับบัญชาฉินใบหน้าของเขาเองก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไมฉันจะต้องเข้าร่วมด้วย ขอเหตุผลสักข้อให้ฉันได้ไหม” หลินลั่วหรานเป็เด็กเชื่อฟังมาโดยตลอด ในตอนเด็กๆเวลาที่อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ดวงตาก็จะชื้นขึ้นมาแต่เมื่อได้ก้าวเข้ามาสู่สังคม ที่แห่งนี้ก็ไม่ได้บริสุทธิ์อย่างตอนที่ก่อตั้งแล้วเหตุผลที่จะปกป้องประเทศนั้น เมื่อได้ยินแล้วก็ทำให้เธออยากจะหัวเราะออกมา
ความจริงแล้ว ในประเทศนี้ก็ยังมีนายทหารแก่ที่เดินข้ามผ่านฝ่าเม็ดะุอย่างผู้บังคับบัญชาฉินอยู่ไม่น้อย ทำให้คนผู้คนต่างให้ความเคารพนับถือแต่ที่มีเยอะกว่านั้นก็คือพวกคนโลภที่ในสมองเต็มไปด้วยไขมัน...ปลวกหนาที่ครอบคลุมอยู่แบบนั้นแล้วจะให้เธอออกไปทำอะไรให้อย่างนั้นเหรอ?
หลินลั่วหรานรู้สึกขึ้นมาว่า เหวินกวนจิ่งเห็นว่าเธอเป็คนโง่หรืออย่างไร?
“คุณเหวิน คุณบอกว่าอยากจะให้ฉันสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติให้คนชั้นต่ำอย่างโจวเหย้าเวยแบบนั้น ได้มีสภาพแวดล้อมที่สงบมั่นคงกว่าเดิมในการไปเที่ยวบันเทิงใจเหรอ ให้มีแรงใจในการไปปล้นคนรวยเหรอ?” หลินลั่วหรานพูดออกไปโดยที่น้ำเสียงของเธอไม่อาจจะปกปิดความประชดประชันได้มิด
คำพูดของเธอนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้เหวินกวนจิ่งละอายขึ้นมาแม้แต่มู่เทียนหนานที่เป็คุณชายร่ำรวยเหมือนกัน...นอกจากทำผิดกฎหมายแล้ว เื่ที่โจวเหย้าเวยทำก็ราวกับเป็ตัวเขาฉบับก็อบปี้ เมื่อได้ยินคำพูดของหลินลั่วหรานเขาก็ได้แต่หันหน้าออกไปอีกทาง
เหวินกวนจิ่งเงียบไป “คุณหลิน ที่คุณพูดมาผมก็ไม่อาจจะโต้เถียงได้ ผมรู้ว่าคุณเกิดมาภายในสำนักของคนมีความสามารถเดิมทีโลกมนุษย์ธรรมดาแบบนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่พวกเราจะเข้าร่วม...แต่ในวันนี้ศาสตร์มันเละเทะไปหมดถ้าอยากจะพยายามฝึกเพื่อที่จะข้ามผ่านขอบเขตไปหลังจากนี้อีกร้อยปีก็คงได้เป็กองกระดูกอยู่กลางป่าลึกคงไม่ดีเท่าที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสีสัน คุณหลินในประเทศนี้ก็ยังมีคนธรรมดามากกว่าอยู่ดี ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งปฏิเสธง่ายๆแบบนี้เลย! ท่านผู้บังคับบัญชาฉินก็น่าจะรู้เื่ภายในน่าจะรู้ว่าในปี 98 มันเกิดอะไรขึ้นและหน่วยงานการก่อการร้ายเกิดอะไรขึ้นเื่ที่ทางรัฐบาลออกประกาศก็เป็เพียงการเผชิญหน้าของคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น...สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับบรรดาประเทศอื่นๆ คนที่รู้จักการฝึกศาสตร์ไม่ได้มีเพียงคนจีนเท่านั้น”
ที่แท้พลังธรรมดาก็ปั่นป่วนไปหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ?
สิ่งที่เหวินกวนจิ่งพูดออกมาในตอนนี้มีมากกว่าที่ผู้บังคับบัญชาฉินบอกเอาไว้ ในใจของหลินลั่วหรานสับสนไปหมดไม่ว่าจะพยายามฝึกมากแค่ไหน สุดท้ายหลังจากนี้อีกร้อยปีก็ยังคงต้องกลายเป็กองกระดูกกลางป่าอย่างนั้นเหรอ...นี่เป็สถานการณ์ในโลกของการฝึกศาสตร์ในปัจจุบันอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าอย่างนั้นตัวเธอล่ะ ไม่มีทั้งวิธีการ ไม่มีทั้งอาจารย์ในการสนับสนุนเธอควรค่ากับมันไหม?
ในตอนนี้จิตสำนึกของเธอแตกสลาย เธอไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอฝึกศาสตร์เหล่านี้ไปเพื่ออะไรกันแน่
เมื่อเห็นว่าเธอเงียบไป เหวินกวนจิ่งจึงส่งเสียงเรียกออกมา “คุณหลิน!”
หลินลั่วหรานใสะดุ้งขึ้นมา ตัวเราเป็อะไรไป ทำไมถึงคิดจะล้มเลิกไม่มีความพยายามดิ้นรนเอาเสียเลย! ขาดแคลนพลังแล้วอย่างไรล่ะไม่มีอาจารย์แล้วจะทำไม ตัวเราเองยังมีไข่มุกลึกลับอยู่แถมยังมีพื้นที่ลึกลับที่ใช้ปลูกพืชได้ แถมยังมีสิ่งที่ตอนนี้เธอยังไม่เข้าใจแต่จะต้องเข้าใจในสักวันอย่างลวดลายสีทองที่มีพลังมหาศาลนั่นอีก!
นี่เป็สิ่งที่ผู้ฝึกศาสตร์ไม่ได้มีโอกาสพบกันได้ง่ายๆแล้วตัวเราจะมาถอดใจแค่นี้เนี่ยนะ?
ถ้าพลังธรรมชาติปั่นป่วน การฝึกศาสตร์ของเธอก็ต้องไม่สนใจ์! ทำไปตามที่ใจอยาก เพียงแค่พยายาม สุดท้ายวันหนึ่งก็จะต้องได้รับกลับมาเมื่อได้รับโอกาสที่อยากจะได้มาแล้ว ทำไมถึงจะไม่สามารถเดินไปตาม “ทาง” ที่เหมาะกับตัวเองได้ล่ะ?!
หลินลั่วหรานรู้สึกราวกับว่าในใจของเธอมีบางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นมา ในที่สุดเมล็ดน้อยๆ ก็ผุดขึ้นมาจากดินโคลนหนา
ั้แ่ที่เกิดเื่ขึ้นกับเป่าเจียมาจนถึงตอนที่โจวเหย้าเวยได้รับการปกป้องจากหน่วยพิเศษหลินลั่วหรานก็ได้แต่มองตัวเลือกอย่างคลุมเครือ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะเดินไปตาม “ทาง” ที่เหมาะกับตัวเอง เป็เพียงความคิดที่เพิ่งออกหน่อออกมาจนแตกหน่อแม้ว่าจะยังห่างไกลจากความสุกงอมแต่ตอนนี้ในใจของหลินลั่วหรานไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
การยอมรับไปกว่าครึ่ง จนถึงการให้สัญญาว่าจะออกไปค้นหาความรู้สึกในจิตใจเปลี่ยนไป จนทำให้ท่าทางของหลินลั่วหรานเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
เธอยังไม่ทันได้รู้ตัว แต่เหวินกวนจิ่งกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจน
เมื่อวานตอนที่เขาต่อสู้กับหลินลั่วหราน แม้ว่าหลินลั่วหรานจะศาสตร์ล้ำลึกแต่ตัวเธอกลับเป็ดั่งไผ่เขียวที่เรียบง่ายและสวยงามให้ความรู้สึกสูงศักดิ์จนไม่กล้าจับต้อง แต่ก็ไม่ได้มีความน่ากลัวอะไร
แต่ในเวลานี้ หลินลั่วหรานที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็เหมือนจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง ความลังเลที่เคยมีก็หายไปแล้วราวกับเธอเป็ดาบที่ได้ลับคมแล้ว เปล่งประกาย เสียจนคนไม่อาจจะขัดขืน!
ถ้าให้ต่อสู้กับเธอตอนนี้อีกครั้ง เหวินกวนจิ่งไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถกลับไปได้อย่างครบสมบูรณ์!
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขายอมถอยหนีไปไหนแต่ความตั้งใจที่จะทำให้หลินลั่วหรานเข้าหน่วยนั้นยิ่งร้อนระอุขึ้นมากอีก! ยิ่งหลินลั่วหรานแข็งแกร่งมากแค่ไหนพลังทหารในหน่วยก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และในการดำเนินงานในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้เขาก็อาจจะไม่ต้องเสียพวกพ้องของเขาไปมากทุกคนต่างเป็เพื่อนที่ร่วมรบเคียงข้างกันมา เหวินกวนจิ่งไม่อยากจะต้องเสียใครไปทั้งนั้น
“คุณหลิน หวังว่าคุณจะช่วยพิจารณาสักครั้ง” เหวินกวนจิ่งพยายามทำให้น้ำเสียงของเขาดูมีความจริงใจมากที่สุด
หลินลั่วหรานขมวดคิ้วเข้าหากัน “อย่าเพิ่งพูดเื่ฉันจะยินดีหรือไม่เลยแค่พูดถึงเื่พลังความสามารถ ฉันก็ไม่ใช่ว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้วทำไมจะต้องเป็ฉันด้วยล่ะ?”
เหวินกวนจิ่งเงียบไป ที่หน่วยพิเศษอยากจะเชิญหลินลั่วหรานเข้ามานั้นไม่ใช่ว่ามองที่ตัวของเธออยู่ แต่เป็การที่หลังจากหลินลั่วหรานเข้ามาแล้วก็จะสามารถติดต่อสำนักของเธอได้ผ่านทางตัวเธอและอาจจะได้คุยปรึกษากันเื่พื้นที่ลับ พร้อมกับได้รับความร่วมมือ
ั้แ่ที่รู้ชื่อของเธอ ภายในเวลาสามสี่ชั่วโมง ข้อมูลประวัติตลอดอายุยี่สิบเจ็ดปีของเธอก็กลายเป็เอกสารวางอยู่บนโต๊ะของหน่วยงานพิเศษแล้ว
ยี่สิบเจ็ดปีก่อนของเธอ ไม่ได้มีร่องรอยการฝึกศาสตร์เลยแม้แต่น้อยเป็คนธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ จนกระทั่งชีวิตตกต่ำจนถึงขีดสุดอีกทั้งยังถูกคุณหนูบ้านรวยคนหนึ่งทำให้อับอายต่อหน้าฝูงชน
แต่ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน จนเธอเข้ามามีจุดยืนในเมืองหลวงก็กลายเป็นักปราชญ์สาวที่ก้าวเข้ามาในเส้นทางฝึกศาสตร์แล้วจากการต่อสู้เมื่อคืนวาน จากการฝึกศาสตร์ติดตัวของเหวินกวนจิ่งสามารถประเมินออกมาได้ว่า หลินลั่วหรานมีศาสตร์ที่ล้ำลึกกว่าเขาอย่างแน่นอน
การฝึกศาสตร์แบบนี้ไม่ได้น่ากลัว แต่ระยะเวลาที่ใช้ฝึกต่างหากที่น่ากลัว
เหวินกวนจิ่งยังจำท่าทางเงียบสงบของหัวหน้าหน่วยหลังจากที่เห็นข้อมูลของเธอได้หลังจากผ่านไปครึ่งวันก็พูดออกมาเพียงหนึ่งประโยค “ชำระไขกระดูก”...เหวินหวนจิ่งลืมความรู้สึกช็อกในตอนนั้นไม่ลง คำว่าชำระไขกระดูกนั้นเขาที่เกิดมาพร้อมโลกของการฝึกศาสตร์รู้จักมันดี จึงได้ใ
“ชำระไขกระดูก” แม้จะดูเรียบง่ายแต่ในโลกของทุกวันนี้ไม่ได้มีสิ่งวิเศษเหลืออยู่หากใช้พลังของคนหนึ่งในการชำระไขกระดูกให้คนธรรมดาคนหนึ่ง ผู้าุโที่ทำให้นั้นก็ต้องเป็คนที่มีระดับการฝึกสูงไปกว่าการรวมพลัง ั้แ่เข้าสู่ยุคชิงหลังจากที่ผู้าุโที่ฝึกศาสตร์ในระดับรวมพลังได้จากไปได้ยินว่ามีคนฝึกเข้าถึงระดับนี้ตอนไหนกันนะ?
เหวินกวนจิ่งยังคงใไม่หาย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็ไปไม่ได้
แต่หัวหน้าหน่วยกลับส่ายหน้า พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่แน่”
ถ้าบนโลกนี้ยังมีผู้าุโที่ฝึกถึงระดับรวมพลังอยู่ก็ต้องไม่ใช่คนที่เหลือมาจากโลกพันปีก่อนอย่างแน่นอน เพราะว่าด้วย่อายุขัยของระดับรวมพลังไม่ได้ยาวนานขนาดพันปี แบบนั้นจึงมีผลลัพธ์อยู่เพียงหนึ่งเดียว แล้วผู้าุโคนนี้ไม่ใช่คนที่หลงเหลือมาจากพันปีก่อน แต่เป็คนที่ฝึกก้าวข้ามขั้นไปได้ในภายหลัง!
อย่าเพิ่งพูดไปถึงความช่วยเหลือที่จะได้รับจากผู้าุโท่านนั้นเลยเพียงแค่สถานะของตัวเขาเองก็มากพอที่จะทำให้คนมากมายใจสั่นแล้ว...พัฒนาไปถึงขั้นรวมพลังมันคือความฝันที่ไร้ความหวังของเหล่านักฝึกศาสตร์ใช่ไหม? แต่ตอนนี้กลับกำลังมีชีวิตอยู่เพียงเบื้องหน้าของเขา...ไม่ได้อย่างไรก็ต้องรั้งหลินลั่วหรานเอาไว้!
หลินลั่วหรานยังคงไม่รู้หลังจากที่หน่วยงานพิเศษสืบเสาะข้อมูลของเธอมาตลอดทั้งคืนแล้ว ก็ได้กำหนดสร้าง “อาจารย์” ลึกลับที่อยู่ในระดับรวมพลังให้กับเธอหรือแม้ว่าเธอจะรู้แล้ว เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนสนิทเธอก็คงจะทำให้ความเข้าใจผิดอันสวยงามนี้ดูขยับเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นแต่คงจะไม่ไปอธิบายอย่างโง่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะเป็คนที่โง่มากเลยล่ะ
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานเพียงแต่นิ่งเงียบไป ไม่พูดอะไรออกมาสักนิด เหวินกวนจิ่งก็อดทนนิ่งไม่ได้อีกต่อไป
“คุณหลิน เพียงแค่คุณเข้าร่วม หลังจากที่คุณมาเป็ส่วนหนึ่งของหน่วยเราสิ่งที่คุณ้า พวกเราจะทำให้ครับ จะพยายามอำนวยความสะดวกทั้งหมดให้”
หลินลั่วหรานยกมุมปาก ยิ้มเยาะขึ้น “อย่างเช่น? เหมือนอย่างว่าฉัน้าจะลงโทษคนต่ำช้าอย่างโจวเหย้าเวยพวกคุณก็จะช่วยจับเขาไว้?”
เหวินกวนจิ่งพยักหน้าลง “เดิมทีเขาก็ต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว” เหล่าผู้ฝึกศาสตร์เดิมทีก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่จะผูกพันกับคนธรรมดาอยู่แล้วแล้วยิ่งเป็คนที่ก้าวออกมาจากโลกของการฝึกศาสตร์อย่างเหวินกวนจิ่งก็ยิ่งไม่เข้าใจในสิ่งที่หลินหลั่วหรานพยายามจะทำเพื่อคนธรรมดาอย่างฉินเป่าเจียจนต้องอดทนดื้อรั้นมาถึงขนาดนี้
ถ้ารู้ั้แ่แรกว่าเื่ของโจวเหย้าเวยจะทำให้เธอรับปากได้ง่ายๆ แล้วทำไมเขาจะต้องอ้อมค้อมขนาดนี้? เหวินกวนจิ่งพูดเสียงจนปากแห้งไปหมดเป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกสงสัยในความฉลาดของตัวเอง
คนที่ยืนฟังเงียบๆ อยู่ข้างๆมาโดยตลอดอย่างผู้บังคับบัญชาฉินไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ในแววตาของเขากลับปรากฏแสงผ่านไปมาอยู่หลายครั้งรวมกับกำลังคำนวณความคุ้มค่าแทนหลินลั่วหรานอยู่
แม้แต่มู่เทียนหนาน เมื่อได้ยินดังนั้นก็อดที่จะกระตุกรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ที่แท้ก็ไม่ใช่พวกที่จะโดนเื่ความรักประเทศมาทำอะไรได้สินะ!
แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของหลินลั่วหรานดวงตาเป็ประกายของเธอมองจ้องไปยังเหวินกวนจิ่ง “บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทำไปฟรีๆคุณให้สัญญาที่ดีขนาดนี้เพื่อที่จะให้ฉันเข้าร่วมหน่วยก็น่าจะมีเหตุผลอื่นอีกใช่ไหม? ฉันน่ะนะเกลียดพวกที่จะคอยใช้ประโยชน์จากคนอื่นมากเลยล่ะ คุณเหวินพวกเราเลิกพูดอ้อมค้อมเถอะ มีอะไรพูดออกมาเลยจะดีกว่า แล้วค่อยให้ฉันตัดสินใจคิดอีกรอบว่าไง?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้