“ไปเถอะ” เซี่ยเจิงตบที่หลังของชวีเสี่ยวปอเบาๆ สองครั้ง “เดี๋ยวเก็บเนื้อแกะเอาไว้ให้ ถึงยังไงก็วิ่งหนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี”
“งั้นฉันจะกินโลครึ่ง” ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจเข้าจมูก คำปลอบใจของเซี่ยเจิงได้ผลอย่างมาก และทำให้เขาเก็บเอาความดื้อรั้นกลับเขาไปชั่วคราว
“งั้น...พวกเราก็ไปกันเถอะครับ? ” คนขับรถที่คอยสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ทั้งยังมองไปที่เซี่ยเจิงด้วยสายตาที่คาดไม่ถึงอยู่หลายครั้ง
ช่างผิดปกติเสียจริง เมื่อก่อนเขาก็เห็นนิสัยแย่ๆ ของคุณชายน้อยตระกูลชวีมาไม่น้อยเหมือนกัน แต่พยายามสุดกำลังมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้เขายอมได้ คงจะเป็เพราะท่านประธานชวีตามใจและให้ท้ายลูกคนนี้อย่างไม่มีเหตุผลเกินไปหน่อย แต่ครั้งนี้กลับเป็ครั้งแรกที่เห็นเขายอมเชื่อฟังเช่นนี้
ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องหมายคำถามและคำพูดบ่นอยู่เต็มหัวไปหมด แต่คนขับรถก็รู้สึกโชคดีที่ไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมากก็สามารถพาเขากลับบ้านได้แล้ว
ตลอดทางชวีเสี่ยวปอดูไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ส่วนคนขับรถก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกเช่นกัน เพียงแต่ในตอนที่ส่งเขาถึงบ้านแล้ว จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า : “ลุงครับ ผมไม่ได้ว่าลุงนะ” แล้วจากนั้นเขาถึงลงจากรถไป
“โถ่เอ๊ย ท่านประธานชวีเขาเป็ห่วงคุณนะครับ” แล้วจู่ๆ คนขับรถก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างน่าสงสารมากจริงๆ “รีบเข้าไปเถอะครับ”
ชวีเสี่ยวปอกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน อันที่จริงชวีเสี่ยวปอมีความคิดที่อยากจะหันหลังกลับแล้ววิ่งออกมา โดยเฉพาะในตอนที่ชวีอี้เจี๋ยและเวินลี่กำลังมองมาที่เขาพร้อมกัน ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออกอย่างไรอย่างนั้นเลย
ทันใดนั้นความรู้สึกที่ไม่รู้จะเลือกทางไหนก็เริ่มก่อตัวขึ้นมา ทั้งยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ได้เป็เพราะว่าเขากลัวความผิดเื่ที่เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้าน ในเื่เช่นนี้เวินลี่ไม่คิดที่จะควบคุมอะไรเขาอยู่แล้ว แต่ทว่าประเด็นสำคัญมันอยู่ที่เขาและชวีอี้เจี๋ยกำลังลองเชิงกันอยู่ การที่ถูกคนขับรถพากลับบ้านมาเช่นนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตาของการถูก “จับ” อย่างชัดเจน
ในขณะที่ความรู้สึกนั้นกำลังแผ่ขยายออกไปทั่วทั้งหัวของเขานั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเอามากๆ เลย
“ลูก มานี่หน่อย” ในฐานะที่เป็ผู้นำในการทำลายสถานการณ์อันกระอักกระอ่วนระหว่างพ่อลูกนี้ เวินลี่ก็มักจะกระตือรือร้นตลอด “พ่อของลูกมีเื่จะปรึกษาด้วยหน่อยน่ะ”
“ก็ไม่เรียกว่าปรึกษาซะทีเดียวหรอก” ชวีอี้เจี๋ยเดินเข้ามาดึงชวีเสี่ยวปอที่อยู่หน้าบ้านมาั้แ่ต้นอย่างไม่มีทางเลือก ดูท่าแล้วก่อนที่เขาจะกลับมา เวินลี่ก็คงจะให้ชวีอี้เจี๋ยทำการบ้านมาก่อนแล้ว แต่มันกลับทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็อย่างมาก เพราะั้แ่เล็กจนโตเขากับชวีอี้เจี๋ยไม่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกันมาก่อนเลย แต่เมื่อจู่ๆ ชวีอี้เจี๋ยทำเช่นนี้จึงทำให้เขาขนลุกไปทั้งตัว
“เื่อะไรครับ” ชวีเสี่ยวปอเว้นระยะห่างออกจากชวีอี้เจี๋ยด้วยใบหน้าที่ไม่ได้แสดงอาการใดใด
“พ่ออยากจะซื้อรถให้ลูกสักคันน่ะ” ชวีอี้เจี๋ยพูด “ลูกมีแบบที่ชอบไหม? ”
“รถเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอรีบหันหน้าไปมองเวินลี่ทันที ต่อให้ชวีอี้เจี๋ยอยากที่จะขอโทษเขาแค่ไหน แต่นี่มันก็ดูมากเกินไปหรือเปล่า “ซื้อรถ? ” ชวีเสี่ยวปอพูดซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่อยากที่จะเชื่อสักเท่าไหร่
“วันเสาร์หน้าเป็วันเกิดของลูกไง !” เวินลี่เดินเข้าไปลูบศีรษะของชวีเสี่ยวปอ “ลูกเองก็ลืมไปแล้วเหรอ? พ่อของลูกบอกว่าจะซื้อรถสักคันให้เป็ของขวัญวันเกิด”
“เลือกคันที่ลูกชอบมาได้เลย แต่ก็อย่าให้ดูโอ้อวดจนเกินไปนะ พอประมาณก็พอ ถึงยังไงลูกก็ยังเรียนหนังสืออยู่” ชวีอี้เจี๋ยยิ้ม “แล้วเดี๋ยววันหน้าพ่อค่อยซื้อแบบดีๆ ให้”
“เฮ้อ ผมยังไม่มีใบขับขี่เลยนะ” ชวีเสี่ยวปอลืมเื่วันเกิดของตัวเองไปแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่าจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธเสียงเรียกร้องจากใจจริงของตัวเขาเองได้ —— ให้ตายสินี่ฉันจะมีรถแล้วเหรอเนี่ย! รู้สึกดีจริงๆ !
แม้ว่าก่อนเข้าบ้านมาเขาจะรู้สึกไม่พอใจชวีอี้เจี๋ยเป็อย่างมาก แต่ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าของขวัญที่มีแรงดึงดูดมหาศาลเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอจึงไม่อาจที่จะทำเป็ไม่สนใจได้ ขนาดขิงยิ่งแก่ยังยิ่งเผ็ดร้อนเลย [1] จึงไม่แปลกที่ชวีอี้เจี๋ยจะรู้ว่าตรงไหนคือจุดอ่อนของเขา
“นั่นเื่เล็ก พออายุถึงค่อยไปสอบก็ยังทัน อีกอย่างตอนนี้ลูกก็ขับรถได้ดีมากแล้วด้วย” ชวีอี้เจี๋ยคงจะพอใจกับท่าทีของลูกชายเป็อย่างมาก ทั้งยังรู้ว่าวิธีนี้ได้ผล ชวีอี้เจี๋ยกระแอมพร้อมทั้งพูดต่อไปว่า : “รถคันนี้ถือว่าเป็คำขอโทษของพ่อด้วย เื่ครั้งก่อนพ่อเข้าใจลูกผิดไปแล้วจริงๆ ”
“ครับ” อันที่จริงชวีเสี่ยวปอมีคำพูดที่อยากจะพูดมากมาย แต่เขาก็รู้ว่ามันไม่มีความจำเป็อะไรที่ต้องพูดออกมา ความสัมพันธ์ของเขากับชวีอี้เจี๋ยก็คงจะไม่คลี่คลายลงเพราะรถคันนี้ ส่วนชวีอี้เจี๋ยก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดจริงๆ แต่สิ่งที่เขาทำนี้เป็เพียงแค่วิธีประนีประนอมระหว่างพวกเขาพ่อลูกเท่านั้น เพราะถึงยังไงก็ไม่สามารถที่จะแข็งข้อกันไปได้ตลอดอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูแย่ไปหน่อยก็ตาม
อาหารเย็นถือว่าพร้อมหน้าพร้อมตากันพอสมควร ประเด็นหลักก็คือเวินลี่ไม่ได้สนใจเลยว่าจะทานหมดหรือไม่ เพราะเธอได้เตรียมอาหารที่ชวีเสี่ยวปอชอบเอาไว้ให้เต็มโต๊ะ เมื่อชวีเสี่ยวปอทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปชั้นบน เขาเรอออกมาพลางทิ้งตัวนอนลงไปบนเตียง พลันรู้สึกว่าอาหารที่ทานไปเมื่อครู่กำลังจะไหลออกมาจากคอของเขาอยู่แล้ว
“ช่วยด้วย” ชวีเสี่ยวปอเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว เขาแต่ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนที่เขากำลังกลิ้งไปบนเตียงใหญ่ที่ทั้งกว้างทั้งนุ่มสบายขนาดนี้ เขากลับนึกถึงเตียงเล็กๆ ของเซี่ยเจิงขึ้นมา
ทั้งไม่นุ่ม ทั้งไม่ใหญ่
แต่ว่าเต็มไปด้วยกลิ่นส้มที่แสนจะสบาย
ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะรบกวนเซี่ยเจิงสักหน่อย
เขาเพิ่งจะจับมือถือ ก็มีข้อความใหม่แจ้งเตือนขึ้นมา
ชวีเสี่ยวปอมองดูคนที่ส่งข้อความมาหาเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่... คิดไม่ถึงว่าเขากับเซี่ยเจิงจะใจตรงกันมากขนาดนี้ แต่ทว่าเมื่อเขาเปิดดูรูปภาพที่เซี่ยเจิงส่งมา ชวีเสี่ยวปอจึงพิมพ์ตอบไปว่า :
“นายยังเป็คนอยู่ไหม? ”
“ใช่สิ ใช่อยู่แล้ว” เซี่ยเจิงตอบกลับมาทันที
“สัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะรอกินพร้อมกัน? ” ชวีเสี่ยวปอกดเปิดรูปภาพให้ขยายใหญ่แล้วดูมันอีกครั้งหนึ่ง เซี่ยเจิงถ่ายตัวเองมาแค่เพียงครึ่งหน้า แต่ตัวละครหลักของภาพภาพนี้คือหม้อไฟที่กำลังเดือดปุดๆ ทั้งยังส่งไอร้อนแผ่ออกมาเต็มไปหมด บนหม้อไฟยังถูกแต่งรูปด้วยรูปหัวใจสองดวง และตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ สามคำว่า “อยากกินไหม? ”
แล้วครั้งนี้เซี่ยเจิงก็ส่งข้อความเสียงมา “แม่ฉันอยากกินด้วยแหละ วันนี้ก็เลยทำกินกันเลย แล้วนายละ กลับบ้านไปเป็ยังไงบ้าง? ”
ชวีเสี่ยวปอหารูปการ์ตูนที่เต้นอย่างอารมณ์ดีส่งไปให้เขา “มีลาภลอยเข้าแล้ว”
“ไหนเล่าสิ”
“พ่อฉันจะซื้อรถให้”
“อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรเลยแต่กลับให้มีมกอดขาเอาใจนายเนี่ยนะ”
ชวีเสี่ยวปอดูข้อความนั้นที่เซี่ยเจิงส่งมาแล้วก็รู้สึกตลกขึ้นมา หลังจากหัวเราะเสร็จเขาก็ส่งข้อความเสียงกลับไปว่า : “ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน นายว่าฉันถูกตามใจจนมีความสุขมากเลยใช่ไหมละ”
“นายต้องรู้ก่อนนะว่าปกติตอนที่เด็กน้อยคนอื่นถูกตามใจ พ่อแม่เขาก็ซื้อแค่รถของเล่นให้เท่านั้นละ”
“รถของเล่นก็ไม่แย่เท่าไหร่นะ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ จากนั้นจึงรีบกดมือถือพิมพ์ออกไปอย่างรวดเร็วว่า “เซี่ยเจิง บ้านนายใช้ผงซักฟอกอันไหนอะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวไว้ไปดูให้ ซื้อมามั่วๆ จากซูเปอร์มาเก็ต” เซี่ยเจิงพิมพ์กลับมา “ทำไมเหรอ? ”
“คิดถึงกลิ่นที่เตียงบ้านนายน่ะ” ชวีเสี่ยวปอหงายตัวลงนอนไปอีกครั้ง แล้วมุดศีรษะของเขาเข้าไปในหมอน พร้อมทั้งออกแรงสูดดมอย่างแรง หลังจากที่ดมเสร็จเขาก็รู้สึกงงกับความคิดนี้ของตัวเองเหมือนกัน
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เอาใส่ถุงไปให้ที่โรงเรียน”
“ฉันไปดมเองได้น่า !” ชวีเสี่ยวปอพูดะโใส่โทรศัพท์ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปกินชาบูที่บ้านนาย! ใครก็มาขว้างฉันไว้ไม่ได้”
“กินๆ กินๆ” ข้อความเสียงที่เซี่ยเจิงตอบกลับก็ะโออกมาเสียงดังพอๆ กับชวีเสี่ยวปอเลย ช่างเหมาะกับคำว่าะโโวยเสียจริง “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเตรียมไว้ให้พร้อมเลย”
ชวีเสี่ยวปอพอใจเป็อย่างมากจนเลื่อนดูบันทึกการสนทนาของเขากับเซี่ยเจิงอีกรอบ จากนั้นก็โยนโทรศัพท์มือถือออกไปไว้ด้านข้าง แล้วจึงหลับตาลง
.............................
เชิงอรรถ
[1] ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน เป็สุภาษิตจีน หมายถึงคนที่มีประสบการณ์มาก