แม่นมิมาคารวะโม่เสวี่ยถงในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมองโม่เสวี่ยถงผู้มีดวงตาเหมือนกับฮูหยิน นางก็ร้องไห้คุกเข่าอยู่ที่นั่น
โม่เสวี่ยถงสั่งให้โม่หลันประคองนางขึ้นมา ไม่ยอมให้คุกเข่า แล้วตนเองก็คารวะต่อนางด้วยความเคารพ เงยหน้าขึ้นเรียกได้แค่คำสั้นๆ ‘แม่นมิ’ จากนั้นก็สะอึกสะอื้นอยู่ในลำคอ พูดอะไรไม่ออก
“คุณหนูอย่าร้องไห้ไปเลย หากิญญาของฮูหยินที่อยู่บนสรวง์มองเห็นคุณหนูทั้งน่ารักและเฉลียวฉลาดรู้ความถึงเพียงนี้ คงต้องดีใจมากแน่นอน” ิมามาเช็ดน้ำตาของตนเอง แล้วยิ้มกล่าวปลอบใจโม่เสวี่ยถง
“แม่นมิ เชิญนั่งเ้าค่ะ” เมื่อได้ยินิมามากล่าวถึงมารดา โม่เสวี่ยถงก็เม้มปาก ระงับความเ็ปที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจเอาไว้ แล้วจูงิมามาเข้ามานั่งบนตั่งตัวใหญ่ด้วยกัน แต่ให้ตายิมามาก็ไม่ยอมนั่งตีเสมอคุณหนู ในที่สุดโม่หลันจึงคิดหาวิธีที่เป็กลาง ไปยกเก้าอี้หุ้มแพรมาตั้ง ิมามาจึงยอมนั่งลง
“แม่นมิ ยังจำได้หรือไม่ว่าคืนวันที่ท่านแม่จากไปเกิดเื่อะไรขึ้น?” โม่เสวี่ยถงเอ่ยถาม นี่เป็สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มเปลี่ยนไปั้แ่คืนนั้น
โม่อวี้กับโม่หลันดูสถานการณ์แล้วก็พากันถอยออกไป คนหนึ่งนั่งอยู่หน้าห้อง อีกคนไปยืนคุมเหล่าสาวใช้ให้กวาดหิมะอยู่ด้านนอก ได้ยินเพียงเสียงโม่อวี้ออกคำสั่งดังมาเป็ระยะ ภายในสวนเงียบสงบ มีเพียงเสียงโม่อวี้กับเสียงกวาดหิมะเท่านั้น
“คุณหนูไปได้ยินเื่อะไรมาหรือเ้าคะ?” เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงถามเช่นนี้ ิมามาก็หน้าถอดสี กดน้ำเสียงต่ำลงเอ่ยถาม
“ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่หลังจากวันนั้นเป็ต้นมา ท่านพ่อก็ทิ้งข้าไว้ที่เมืองอวิ๋นเฉิง พาแต่พี่หญิงใหญ่กับน้องหญิงสี่เข้าเมืองหลวง หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวมาถึงข้าเลย แม้ว่าเมื่อก่อนข้าจะทำตัวไม่น่ารักเท่าไร แต่ท่านพ่อกลับรักข้ายิ่ง แล้วเหตุไฉนหลังจากคืนนั้นเป็ต้นมาท่านพ่อจึงหมางเมินเ็า จนท้ายที่สุดถึงขั้นทอดทิ้งข้ากันเล่า?” นี่คือสิ่งที่โม่เสวี่ยถงคับข้องใจมาตลอด และทำให้นางรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็ธรรมมาตลอดทั้งสองชาติภพ
แม้แต่สาวใช้ประจำกายสองคน โม่เสวี่ยถงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเื่ราวในใจเช่นวันนี้มาก่อน
เื่ในวันนั้นมีพิรุธมากเกินไป แม้ว่าตนเองจะสาดน้ำใส่ฟางอี๋เหนียงได้แล้วอย่างไร เมื่อก่อนท่านพ่อก็ไม่เห็นจะโปรดปรานฟางอี๋เหนียงสักเท่าไร ไฉนเพียงชั่วข้ามคืนทุกอย่างจึงพลิกผันไปหมด ตนเองผู้เป็บุตรสาวที่ท่านแม่รักดั่งดวงใจกลับเหมือนถูกผลักตกจากเมฆาดิ่งลงมาสู่เหวลึก นี่เป็เพราะคำให้ร้ายจากฟางอี๋เหนียงเท่านั้นจริงๆ หรือ?
“คุณหนู เื่ราวตอนนั้นบ่าวเองก็ไม่ทราบ บ่าวเฝ้าอยู่ข้างกายฮูหยินตลอดเวลา ในที่สุดฮูหยินอยากพบนายท่าน บ่าวจึงส่งคนไปตาม แต่คนของฟางอี๋เหนียงไม่ยอมให้สาวใช้เข้าไป อ้างว่าเป็คำสั่งของนายท่าน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบทั้งสิ้น ดังนั้นฮูหยินจึงยิ่งเจ็บช้ำน้ำใจจนทรุดหนัก”
“เป็เพราะบ่าวไม่ดีเอง ยามนั้นเสียใจมากและโมโหนายท่านที่แล้งน้ำใจ จึงกล่าวกับคุณหนูไปแบบนั้น ทำให้คุณหนูแค้นเคือง ยกน้ำเข้าไปสาดฟางอี๋เหนียงจนเปียกไปทั้งตัว อนุภรรยาผู้นั้นเดิมทีก็เป็นางจิ้งจอกเ้าเล่ห์มาแต่ไหนแต่ไร นางจะต้องไปพูดจาใส่ไคล้คุณหนูกับนายท่านแน่นอน” ิมามาขมวดคิ้วย้อนนึกถึงความหลัง แล้วแสดงความคิดของตนเอง
การคาดเดาของนางไม่ต่างกับโม่เสวี่ยถงมากนัก แต่ไม่อาจบอกได้ว่าเหมือนกันทุกอย่าง
หากเป็ความจริง หลังจากที่บิดาตรวจสอบเื่ราวกระจ่างชัด ย่อมต้องมีคำอธิบายให้มารดา จากการที่นางเข้าไปใกล้ชิดกับบิดาใน่เวลาที่ผ่านมา พบว่าเขายังรำลึกถึงมารดาของนางอยู่เสมอ ที่มุมโต๊ะทำงานด้านในมีรูปภาพใบหนึ่งวางอยู่ นั่นเป็ภาพเหมือนของมารดา ภาพวาดนั้นถูกเก็บรักษาอย่างดียิ่ง ไม่มีคราบฝุ่นละอองแม้แต่น้อย ตรงมุมนั้นปรกติแล้วบิดามักจะใช้วางเอกสารสำคัญ นางเคยเห็นยามที่บิดาเอาเอกสารไปวาง มือของเขายังลูบไปบนรูปภาพนั้นอย่างอาลัย ด้วยการแสดงออกของบิดาเช่นนี้ จะเป็คนเ็าแล้งน้ำใจได้อย่างไร
หากบอกว่าผู้ที่ขวางมิให้สาวใช้เข้าไปในเวลานั้นเป็คนของบิดา หรือเป็เจตนาของบิดาที่ให้ฟางอี๋เหนียงขัดขวางมิให้สาวใช้ผู้นั้นเข้าไป ก็อาจพูดไม่ได้เต็มปากนัก
บิดามีความรักลึกซึ้งเพียงนี้ จะใจไม้ไส้ระกำปล่อยให้มารดาจากไปอย่างเดียวดายได้หรือ เหตุผลใดที่ทำให้บิดายอมถูกปรามาสว่าเป็คนไร้หัวใจ ยอมให้ตระกูลของท่านยายเข้าใจผิด และด้วยเหตุผลใดที่ทำให้บิดาทอดทิ้งนางไว้บ้านสกุลฉินโดยไม่ฟัง ไม่ถามและไม่อธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
หลากหลายเื่ราวที่ไร้คำอธิบายกลายเป็ปมแน่นที่รัดรึงอยู่ภายในหัวใจของโม่เสวี่ยถงตลอดมา
เมื่อมีรักลึกซึ้ง จำเป็ต้องแสดงความเ็าไร้น้ำใจเช่นนี้ด้วยหรือ สายตาของบิดาเห็นชัดว่าโปรดปรานนางอย่างยิ่ง แล้วไฉนกลับปฏิบัติต่อตนเองเช่นนั้น
นิ้วมือกระหวัดถุงหอมใบเล็กจากกระเป๋าสานขึ้นมาผูกกับเสื้อ ทว่ากลับผูกแล้วคลาย... ผูกแล้วคลาย... อยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว
“แม่นมิ หลังจากที่ท่านพ่อมาแล้วมีสิ่งใดผิดปรกติหรือไม่?” โม่เสวี่ยถงมุ่นคิ้วพลางกดเสียงให้ต่ำลงอีก “ข้าหมายถึงคืนหลังจากที่ท่านแม่จากไปน่ะ”
คืนนั้นคือหัวใจสำคัญ!
“คืนนั้นนายท่านไล่พวกบ่าวออกมาทั้งหมด รั้งอยู่ในห้องฮูหยินเพียงลำพัง บ่าวไม่วางใจ จึงเฝ้าใต้ชายคาด้านนอก มี่หนึ่งรู้สึกง่วงจึงเคลิ้มหลับไป แต่ต่อมาก็สะดุ้งตื่นจากเสียงรื้อค้นสิ่งของ แต่เพราะเสียงนั้นดังมาจากในห้อง บ่าวจึงไม่กล้าร้องถาม เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา[1] เสียงค่อยเงียบลง ต่อมาก็ได้ยินเสียงนายท่านแอบร้องไห้” ิมามากล่าวพลางย้อนนึกในความทรงจำ
ตอนนั้นนางยังขุ่นเคืองนึกตำหนินายท่านอยู่ ดังนั้นเมื่อเขารั้งอยู่ในห้อง นางจึงไม่ไว้วางใจ เนื่องจาก่ก่อนหน้านั้นตนเองเฝ้าฮูหยินตลอดเวลามิได้พักผ่อน เมื่อหลังพิงกำแพงจึงเผลอหลับไป ไม่รู้ว่านายท่านค้นหาสิ่งใด รื้อข้าวของวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นคิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้ยินร้องไห้ด้วยความขมขื่นของนายท่าน
อะไรที่ทำให้นายท่านที่ดูสุขุมอยู่เสมอถึงขั้นร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ ิมามาตกตะลึงอึ้งค้างอยู่กับที่ ท่ามกลางราตรีอันเงียบงัน แม้เสียงสะอื้นของโม่ฮว่าเหวินจะเบามาก แต่กลับเผยความอ้างว้างโศกเศร้าชัดเจนจนิมามาที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพลอยร้องไห้ตามไปด้วย จวบจนฟ้าสาง นายท่านจึงออกมาจากห้องด้วยดวงตาแดงก่ำ
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ
หลังจากมารดาเสียชีวิตแล้ว บิดาเข้าไปในห้องค้นหาอะไร โม่เสวี่ยถงเหยียดหลังตรงทันที แววตาวูบวาบคล้ายมีคลื่นซัดสาด
อะไรที่ทำให้ท่านพ่อต้องเข้าไปค้นหาสิ่งของนอกกายทั้งที่ท่านแม่เพิ่งเสียชีวิต และอะไรทำให้ท่านพ่อต้องแอบร้องไห้ เป็เพราะการจากไปของท่านแม่หรือ?
“แม่นมิ สาวใช้คนอื่นๆ ในเรือนของท่านแม่หายไปไหนหมด ไฉนตอนนี้จึงไม่เห็นใครเลยเล่า?” ดวงตาโม่เสวี่ยถงฉายแวววูบไหว สีตาเข้มขึ้น
“หลังจากสาวใช้รุ่นใหญ่สี่คนล้วนมีอันเป็ไปแบบนั้น ก็มีคนลือว่าในเรือนของฮูหยินมีไออัปมงคล เหล่าสาวใช้ทั้งหัวดำหัวหงอกจึงพากันตีจากเป็ทิวแถว ต่อมาเรือนชั้นในก็ตกอยู่ในมือของฟางอี๋เหนียง คนที่เคยอยู่ที่นั่นต่างกระจายกันไปหมด ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง” ิมามาถอนใจเฮือก แต่ก็ไม่อาจให้คำตอบที่นายหญิง้าได้เช่นกัน
ทุกสิ่งล้วนใกล้เคียงกับความคาดหมายของโม่เสวี่ยถง ไม่มีความคืบหน้าใดๆ นอกจากความรู้สึกแคลงใจในตัวบิดา
หลังจากิมามาจากไปแล้ว โม่เสวี่ยถงก็นั่งเงียบอยู่บนตั่ง ท่าทางกำลังใช้ความคิด คิ้วเรียวมุ่นเล็กน้อย รู้สึกว่าตนเองคล้ายลืมเลือนอะไรไปบางอย่าง เื่เหล่านี้เมื่อนำมาเชื่อมโยง วิเคราะห์อย่างละเอียดก็รู้ได้ว่าผิดปรกติมาก เหตุใดท่านพ่อจึงไม่สังเกตเห็น หรือว่าเขารู้ทุกอย่างกระจ่างแจ้ง แต่กลับแสดงท่าทีเพิกเฉย
เหล่าไท่ไท่มาเยือนถึงจวน แม้ว่าจะไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของโม่ฮว่าเหวิน แต่ถึงกระนั้นก็เป็ผู้าุโคนสำคัญ ฐานะแตกต่างจากอนุภรรยาคนอื่นๆ เนื่องจากิมามาเขาพบจึงทำให้เวลาล่าช้า กว่าโม่เสวี่ยถงจะไปกราบคารวะก็สายแล้ว
เมื่อไปถึงจึงพบว่าไม่เพียงแต่โม่เสวี่ยเยี่ยนอยู่ที่นั่น แม้แต่โม่เสวี่ยิ่และโม่เสวี่ยฉงล้วนอยู่ด้วย
หลังจากกราบคารวะแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็กล่าวเรียบๆ “ไม่ต้องมากพิธี นั่งเถอะ”
นางเพิ่งจะหย่อนก้นนั่งลง โม่เสวี่ยฉงก็สอดปากขึ้นมาตัดหน้า “วันนี้พี่หญิงสามตื่นเช้าจริงๆ ท่านย่าเพิ่งจะกล่าวถึงว่าทำไมป่านนี้ยังไม่ตื่น ข้าก็บอกไปว่าั้แ่ท่านเข้ามาในจวนโม่ก็เป็แบบนี้ประจำ แต่ไม่ว่าอย่างไรพี่หญิงสามก็นับว่าใหญ่ที่สุดในจวนนี้อยู่แล้ว”
นี่เป็การตำหนิว่านางไม่ตื่นเช้ามาคารวะเหล่าไท่ไท่ ทั้งยังเป็การชี้ทั้งทางตรงและทางอ้อมว่านางไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตา
“ขอบคุณท่านย่าที่เป็ห่วง เมื่อครู่ท่านพ่อตามหลานไปพบเพราะมีธุระบางอย่าง จึงเป็เหตุให้มาล่าช้าเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงคลี่ยิ้ม อธิบายเหตุผลอย่างนุ่มนวล
“ท่านพ่อทั้งรักและโปรดปรานพี่หญิงสามยิ่งกว่าใคร ขนาดพี่หญิงใหญ่ไม่สบายยังไม่เห็นส่งคนมาถามไถ่ แต่กลับไปเรือนชิงเวยอยู่บ่อยครั้ง นี่แหละน้า... ที่เรียกว่าความแตกต่าง” โม่เสวี่ยฉงกล่าวกระแนะกระแหนด้วยรอยยิ้ม พลางเหลือบตามองโม่เสวี่ยิ่ที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างๆ
“น้องหญิงสามสุขภาพไม่ดี ตลอดมาก็มิได้อยู่ข้างกายท่านพ่อ ยามนี้ได้รับความเอาใจใส่ก็เป็เื่ถูกต้องแล้ว” เมื่อเห็นเื่โยงมาถึงตนเอง โม่เสวี่ยิ่ก็เงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
นับั้แ่เกิดเื่ในวังหลวง นี่เป็ครั้งแรกที่โม่เสวี่ยถงได้พบกับโม่เสวี่ยิ่ สีหน้าของนางดูซูบซีดอย่างเห็นได้ชัด ่ก่อนหน้านี้นางป่วยหนักทำให้ร่างกายอ่อนแอลงมาก ดวงตาอ่อนโยนมองมาที่โม่เสวี่ยถง เพียงแต่ขณะที่ช้อนตาขึ้นสายตาเผยแววนิ่งลึกออกมาวูบหนึ่ง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็ความนุ่มนวลอ่อนหวาน
ดูอ่อนโยนยิ่งกว่าตอนพบเจอกันครั้งแรกเสียอีก!
แต่โม่เสวี่ยถงย่อมกระจ่างใจว่าโม่เสวี่ยิ่ที่เป็เช่นนี้ยิ่งรับมือยากมากขึ้นกว่าเดิม
เหล่าไท่ไท่ซึ่งพิจารณาสามพี่น้องอยู่เงียบๆ มาั้แ่ต้น ยามนี้จึงแค่นเสียงเย็นออกมา วางเตาอุ่นในมือลงก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เป็พี่น้องกัน จะมาทะเลาะเบาะแว้งกันทำไม หากมีเวลาก็ไปศึกษาบัญญัติสตรีให้มากๆ ในจวนนี้ขาดนายหญิงไปคนหนึ่ง แม้แต่เหล่าคุณหนูเจอหน้ากันก็ฟาดคมเขี้ยวใส่กันแล้ว ไร้การอบรมสั่งสอนจริงๆ”
คำกล่าวของนางเพียงไม่กี่ประโยคตอกหน้าทุกคนจนหงายหลัง ไม่ว่าโม่เสวี่ยิ่หรือโม่เสวี่ยฉง สีหน้าล้วนย่ำแย่
“ท่านย่า พวกนางเพียงแค่ล้อเล่นกันเท่านั้น หากท่านย่าไม่สบายใจ ก็ช่วยท่านลุงเฟ้นหาสตรีสกุลดีแต่งเข้ามาก็สิ้นเื่ ถึงเวลานั้นจะได้มีคนช่วยจัดการเื่งานแต่งงานให้พี่หญิงใหญ่ น้องหญิงสาม น้องหญิงสี่ด้วยอย่างไรเล่า” โม่เสวี่ยเยี่ยนซึ่งอ่อนกว่าโม่เสวี่ยิ่เพียงไม่กี่เดือน ยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังของเหล่าไท่ไท่ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหล่าไท่ไท่ชอบฟังหลานสาวผู้นี้พูดจาเป็ที่สุด ยื่นมือมาลูบศีรษะนางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คงต้องปรึกษาหารือเื่นี้กันแล้วจริงๆ เพราะท่านลุงของเ้ายังไม่แต่งนายหญิงอย่างถูกต้อง ในจวนจึงวุ่นวายไปหมด”
เหล่าไท่ไท่ย่อมพึงพอใจต่อหลานสาวแท้ๆ ของตนเอง และด้วยยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของธิดาสองสามคนในบ้านของบุตรชายคนโต จึงรู้สึกขวางหูขวางตา ตัดสินใจเป็แม่นมั่นว่าจะต้องช่วยให้บุตรชายคนโตได้แต่งงานกับสตรีที่เกิดจากภรรยาเอกที่มีจิตใจกว้างขวางดีงามและสุภาพอ่อนโยนให้ได้ ตอนนั้นโม่ฮว่าเหวินขัดใจนาง ยืนกรานจะแต่งกับลั่วเสียเพียงผู้เดียวเท่านั้น ยามนี้เมื่อเห็นหน้าโม่เสวี่ยถงที่ดูคล้ายกับลั่วเสียผู้เป็มารดาอยู่หลายส่วน จึงรู้สึกไม่ถูกชะตา
เมื่อไม่มีใครพูดอะไรแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็โบกมือไล่พวกนางกลับ รั้งเพียงโม่เสวี่ยเยี่ยนไว้คุยต่อ
ทั้งสามคนต่างถอยออกไปเดินเรียงกันตามลำดับ
ขณะที่โม่เสวี่ยถงยกเท้ากำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูเรือน โม่เสวี่ยฉงซึ่งเดิมทีเดินอยู่หลังสุด จู่ๆ ก็เดินเบียดเข้ามาด้านข้างของโม่เสวี่ยถง นางไม่ทันระวังตัว คิดจะชักเท้ากลับ แต่เหมือนขาสะดุดอะไรบางอย่าง จึงเสียหลักล้มชนขอบประตูอย่างแรง โม่เยี่ยซึ่งอยู่ด้านข้างเห็นท่าไม่ดี จึงเอื้อมมือไปคว้าตัวนางไว้ แต่ศีรษะของนางก็โขกกับประตูไปแล้ว
“คุณหนูเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?” โม่อวี้กับโม่เยี่ยปรี่เข้ามาประคองอย่างร้อนใจ หากโม่เยี่ยมิได้รั้งตัวนางไว้ เมื่อครู่โม่เสวี่ยถงคงล้มหน้าฟาดพื้นไปแล้ว
“พี่สาม ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ จึงรีบเดินไปหน่อย” โม่เสวี่ยฉงยืนปัดเสื้อผ้าอย่างสบายใจอยู่ด้านข้าง ไหนเลยจะรู้สึกผิดสักครึ่งส่วน
โม่อวี้อารมณ์ขึ้นอ้าปากเตรียมถามเอาเหตุผลกับโม่เสวี่ยฉง แต่ถูกโม่เสวี่ยถงยื่นมือมาปรามไว้
“ไม่เป็ไร หากเ้ารีบก็ไปเถอะ” นางกล่าวเรียบๆ ขณะหยิบผ้าแพรขึ้นมาปิดหน้าผาก รู้ได้ว่าตรงจุดนั้นบวมปูดออกมาชัดเจน
เดิมทีโม่เสวี่ยฉงเตรียมตั้งท่าจะหาเื่อยู่แล้ว รอให้โม่เสวี่ยถงระบายโทสะออกมาก่อน ยามนี้เห็นนางนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้หรือว่ากล่าว ก็รู้สึกเหมือนชกไปบนปุยนุ่นเสียแรงเปล่า พานให้หมดอารมณ์ นางเหวี่ยงสายตาใส่โม่เสวี่ยถงก่อนพาสาวใช้ออกไป ไม่แม้แต่จะกล่าวคำอำลา
“น้องสาม ศีรษะที่ถูกกระแทกเป็อย่างไรบ้าง? ที่เรือนของข้ามียาทาขวดหนึ่ง เดี๋ยวข้าจะให้สาวใช้ไปเอามาให้เ้านะ” โม่เสวี่ยิ่ซ่อนยิ้มกระหยิ่มใจไว้ภายใต้เบื้องลึกของดวงตา เดินเข้ามาแสร้งกล่าวด้วยความห่วงใย
“ศีรษะไม่แตกไม่เป็อะไรมาก เพียงแค่เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เดี๋ยวก็หาย พี่หญิงใหญ่เก็บยาไว้ใช้เองเถอะเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงหน้าซีดเล็กน้อยด้วยความเ็ป นางฝืนยิ้ม ทว่าไม่มีอารมณ์จะคุยต่อ จึงกล่าวขออภัยโม่เสวี่ยิ่ก่อน แล้วเกาะแขนโม่เยี่ยเดินจากไป
“โม่ซิ่ว คุณหนูสามได้รับาเ็ไม่เบา เดี๋ยวให้คนไปหยิบยาทาแล้วเอาไปมอบให้คุณหนูสามด้วย” โม่เสวี่ยิ่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เ้าค่ะ”
………...……………………………………………………………………………………………............
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เวลาหนึ่งถ้วยชา ประมาณ 10-15 นาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้