แสงยามค่ำคืนราวกับสีของหมึกจวนแม่ทัพจุดไฟสว่างไสว
เรือนเล็กชิงหย่า ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลที่สุดของจวนแม่ทัพเงียบสงบในเวลากลางคืน เรือนเล็กชิงหย่าแห่งนี้ยิ่งดูรกร้างว่างเปล่าขึ้นไปอีก
มีหมอกจางๆ ปกคลุมทั่วห้อง
ด้านหลังฉากกั้น เรือนร่างของบุรุษผู้หนึ่งแช่อยู่ในถังไม้ศีรษะเอนซบขอบถังด้านหลัง เส้นผมสีดำทิ้งตัวออกมาด้านนอกถังไม้ เป็ภาพที่งดงามจับตาเป็อย่างยิ่ง
บุรุษผู้นั้นนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหวหายใจราบเรียบ และดูเหมือนกำลังเข้าสู่ห้วงแห่งการหลับลึก
สตรีชุดขาวสง่างามเยื้องย่างกายเข้ามาในห้องได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ คิ้วของนางบางและงดงามนางหันไปส่งสายตาให้สาวใช้ด้านหลัง สาวใช้เข้าใจความหมายของเ้านาย จึงคำนับด้วยท่าฝูเชินและออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ราวกับกังวลว่าจะรบกวนคนที่กำลังแช่น้ำฉู่เซียงจวินย่างเยื้องฝีเท้าเบายิ่งขึ้น เดินไปหลังฉากกั้นอย่างระมัดระวังเอื้อมมือไปวัดความอุ่นของน้ำ ครั้นรู้สึกได้ว่าน้ำยังคงอุ่นรอยยิ้มบนใบหน้าก็เบ่งบานขึ้นมาเล็กน้อย
สายตาก้มลงมองหน้ากากเงิน ดวงตาอ่อนโยนเป็พิเศษมือลูบไล้บนหน้ากาก ขมวดคิ้วราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นราวกับมีประกายความคาดหวังในดวงตามือของนางค่อยๆ เคลื่อนขยับไปที่หลังใบหูของบุรุษผู้นั้น
ทว่าก่อนที่มือของนางจะได้ััส่วนสำคัญหน้ากากมือใหญ่ก็คว้าข้อมือนางไว้
"อ๊ะ..."ฉู่เซียงจวินอุทาน ใบหน้างดงามของหญิงสาวถอดสี เมื่อเห็นบุรุษผู้นั้นลืมตาขึ้นเสียงเ็าดังตามมา "เ้ากำลังทำอะไร?"
นาง้าถอดหน้ากากเขา!
“จื๋อหร่าน ข้าเห็นท่านสวมหน้ากากแม้ยามอาบน้ำ ข้าเกรงว่าท่านจะรู้สึกไม่ดี ดังนั้น…”ฉู่เซียงจวินะโตอบกลับ สะบัดมือออกจากฉู่ชิง มองเขาอย่างคาดหวังเว้าวอน “จื๋อหร่านถอดหน้ากากออกเถิด ไม่มีใครอื่นในห้อง”
ฉู่ชิงเหลือบมองฉู่เซียงจวิน "ไม่อึดอัดข้าชินกับมันแล้ว"
“จะไม่อึดอัดได้อย่างไร?” ฉู่เซียงจวินขมวดคิ้ว ใบหน้าดูผิดหวัง “เท่าที่ข้าจำได้ ท่านก็สวมหน้ากากนี้แล้วข้าเป็น้องสาวแท้ๆ ของท่าน หน้าตาท่านเป็อย่างไรก็ยังไม่เคยเห็นทั้งวันได้แต่เผชิญหน้ากับหน้ากากเย็นเยือกนี้ ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
“หันหลังไป” ฉู่ชิงเปิดปากเอ่ยขึ้นสำหรับน้องสาวเพียงคนเดียวนี้ เขาไม่เ็าเหมือนที่กระทำตัวต่อคนอื่นฉู่เซียงจวินหันไปอย่างเชื่อฟัง นางหันหลังให้ฉู่ชิงได้ยินเสียงแค่เพียงเสียงน้ำกระเซ็นจากด้านหลัง ชั่ววินาทีถัดมาร่างของเขาถูกพันด้วยชุดคลุมผ้าไหมสีดำ
เท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนพื้นผมสีนิลกลืนไปกับผ้าไหมสีดำ เทียบกับความสง่างามและองอาจผึ่งผายในวันธรรมดาแล้วดูมีเสน่ห์แลเกียจคร้านขึ้นมาสองสามส่วน
แม้ฉู่เซียงจวินจะเฝ้ามองพี่ชายตนเองมาั้แ่ยังเด็กชั่ววินาทีหนึ่งยังเผลอมองอย่างใจลอย ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเกิดไฟไหม้เสน่ห์ของท่านพี่ก็คงไร้ผู้ใดเทียบเคียงได้
น่าเสียดาย…
เมื่อนึกถึงความเ็ปจากแผลไฟไหม้ฉู่เซียงจวินก็รู้สึกเป็ทุกข์อยู่บ้าง นางเดินตามฉู่ชิงไปที่ตู้หนังสือหยิบหวีหยกออกมาแล้วหวีผมให้เขาอย่างอ่อนโยน
“หลังจากจื๋อหร่านแต่งภรรยา เื่การหวีผมเกรงว่าพี่สะใภ้คงไม่ยอมให้เซียงจวินทำ”ฉู่เซียงจวินบ่นพึมพำ ประหนึ่งผิดหวังอยู่บ้าง“วันนี้ตอนที่ข้าไปพูดคุยกับท่านแม่แอบได้ยินท่านพ่อท่านแม่หยิบยกเื่งานแต่งของท่านมาปรึกษา พูดกันว่าอยากจะให้ท่านแต่งภรรยาสักคนยังพูดอีกด้วยว่างานเทศกาลฉีเฉี่ยวครานี้ อย่างไรก็ต้องให้ท่านไปร่วมงานให้ได้!"
ในความทรงจำ ปีก่อนๆ ทุกปีพี่ชายไม่เคยปรากฏตัวในเทศกาลฉีเฉี่ยวเลย
มือของฉู่ชิงที่ถือม้วนหนังสือชะงักไปเล็กน้อยแต่งภรรยางั้นหรือ?
"จื๋อหร่านจะให้พี่สะใภ้ในอนาคตเห็นหน้าหรือไม่?" ฉู่เซียงจวินขยับมืออย่างอ่อนโยนเป็พิเศษเหลือบมองบุรุษตรงหน้าด้วยความสงสัย ราวกับจะมีเื่ประหม่าอย่างยากจะอธิบาย
ฉู่ชิงได้สติ หัวเราะเบาๆ "ใบหน้าข้าเป็เช่นนี้จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว เช่นนั้นไม่ควรให้ผู้ใดเห็นเลยจะดีกว่า"
ใบหน้าของเขา...นอกจากตัวเขาเอง คงไม่มีผู้ใดได้เห็น ทว่า...
คุณหนูรองตระกูลเหนียนผู้นั้น...
ภาพร่างแบบบางนั้นผุดขึ้นในหัวของเขาดวงตาของฉู่ชิงเข้มขึ้นเล็กน้อย และเมื่อฉู่เซียงจวินได้ยินคำพูดนั้นในที่สุดรอยยิ้มสดใสก็บานสะพรั่งบนใบหน้า “เช่นนั้นถือว่าเจรจาตกลงกันแล้วจื๋อหร่านจะไม่ให้ผู้ใดเห็นใบหน้าของท่าน ท่านตอบรับเซียงจวินแล้วต้องทำให้ได้!"
ฉู่ชิงไม่ได้ยินว่าสตรีด้านหลังพูดอะไรเขารีบลุกขึ้นทันทีและก้าวเดินไปนอกประตู
เส้นผมพลิ้วลอดผ่านร่องหวีหยกตรงหน้าไร้ร่องรอยของคน ฉู่เซียงจวินหันมองไปที่ความมืดด้านนอกประตู คิ้วงามขมวดลงเล็กน้อย
"ดึกขนาดนี้แล้วเขายังออกไปทำอะไรอีก?"
ทั้งยังไปอย่างเร่งรีบด้วย!
จวนเหนียน แทบทุกคนในจวนหลับใหลไปแล้ว
ลานเซียนหลาน ในห้องที่มืดสนิทเหนียนยวี่เอนกายลงบนเตียง ไม่รู้สึกง่วงแม้สักนิด
ทันใดนั้น ก็มีเสียงนอกหน้าต่างดังขึ้นมาเบาๆในความมืดมิด มุมปากของเหนียนยวี่ยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว ครู่ต่อมากลิ่นหอมอำพันทะเลจางๆ ลอยเข้ามาในจมูก
เขามาแล้ว!
ใต้แสงจันทร์เหนียนยวี่เห็นบุรุษสวมหน้ากากสีเงินนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเตียง
ทั้งสองคงความเงียบไว้ไม่พูดจาราวกับเข้าอกเข้าใจกันมานานท่ามกลางบรรยากาศแปลกประหลาดทว่ากลับกลมกลืนไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไหร่ที่เหนียนยวี่หลับตาเข้าสู่ห้วงความฝันอย่างช้าๆ
นางฝันยาวนานมาก ในความฝันนางเป็สตรีที่ปลอมตัวแต่งกายเยี่ยงบุรุษ ถูกเนรเทศทิ้งไว้ในค่ายทหารราวกับประสบเื่ราวในชาติก่อนอีกรอบ ในที่สุดความฝันค้างอยู่ในภาพหนึ่งลูกศรคมพุ่งออกมาจากท้องฟ้า แทงเข้าไปในหัวใจของบุรุษผู้หนึ่ง คนผู้นั้นร่วงหล่นลงไปในแอ่งเืหน้ากากสีเงินบนใบหน้านั้น สะท้อนแสงแสบตาเป็อย่างยิ่ง...
"ฉู่ชิง..."ทันใดนั้นเหนียนยวี่ก็ใตื่นขึ้น เหงื่อออกท่วมร่างกาย เมื่อเห็นแสงแดดในห้องเหนียนยวี่ขมวดคิ้ว มันคือความฝัน!
ฉู่ชิงหรือ?
เหนียนยวี่กวาดตามองรอบห้องไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องนอกจากนาง
เมื่อคืนนางผล็อยหลับไป ฉู่ชิงก็ยังอยู่นี่ยิ่งทำให้สีหน้าของเหนียนยวี่ปรากฏร่องรอยจริงจัง ในชาติก่อนนางเคยชินกับการฆ่าและลอบสังหาร นอกจากจ้าวเยี่ยนแล้วนางไม่อนุญาตให้ตัวเองนอนหลับสนิทต่อหน้าผู้อื่น ชาตินี้ในใจของนางก็ยิ่งไม่เชื่อใจผู้ใดทั้งนั้นทว่าเมื่อคืนนี้ต่อหน้าฉู่ชิง...
นางกลับหลับเสียสนิท!
และความฝันนั้น...ทุกอย่างในความฝันแวบเข้ามาในหัวนางอีกครั้งทันใดนั้น นางเหมือนจะจับอะไรบางอย่างได้ ร่างกายสั่นสะท้าน สีหน้าทวีความเคร่งขรึม
กุ้ยเฟยชิงหร่าน... เข้าสู่วังหลวงในฤดูร้อนปีเทียนฉี่ที่ยี่สิบ
เทียนฉี่ที่ยี่สิบ...ปีนี้มิใช่หรือ?
ชิงหร่าน เหนียนยวี่นึกถึงเพื่อนเก่าคนนี้ ยามนี้นางเข้าวังหลวงแล้วใช่หรือไม่?
เทศกาลฉีเฉี่ยวจัดทุกวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดของทุกปีในฤดูร้อน เป็ประเพณีของเป่ยฉีในวันนี้ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ในห้วงแห่งความรักชายหนุ่มจะมอบแหวนแทนใจให้หญิงสาว และหญิงสาวจะมอบผ้าคาดเอวให้ชายหนุ่มเพื่อแสดงถึงความรัก
และทุกๆ สี่ปีในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดสำหรับราชวงศ์เป่ยฉีแล้ว มันมีความหมายที่แตกต่างไป
แผ่นดินชื่ออวี่ แบ่งแยกเป็เจ็ดแคว้นปกครองตนเองนอกจากสัญญาพันธมิตรที่ลงนามมาั้แ่ร้อยปีก่อนแต่ละแคว้นต่างมีทั้งความสัมพันธ์ที่ทั้งใกล้ชิดและห่างไกล
ยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนครองราชย์เป่ยฉีเคยเกี่ยวดองกับสองแคว้น ครานั้นราชวงศ์เป่ยฉี สองพี่น้องสมรสพร้อมกัน กลายเป็เื่ราวดีๆ
และทุกๆ สี่ปีราชวงศ์ทั้งสองแคว้นจะส่งคนไปยังเป่ยฉีเพื่อเยี่ยมองค์หญิงทั้งสอง ทว่าแท้จริงก็เพื่อคงเสถียรภาพของพันธสัญญา
และปีนี้ก็เป็ปีที่สี่ของการทำสัญญาพอดี
ถนนตรอกซอยเมืองชุ่นเทียนอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกในอดีตราชทูตจากทั้งสองแคว้นมาถึงก่อนสองเดือน ทว่าคราวนี้อีกสามวันก็ถึงวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด ราชทูตยังไม่ถึงเมืองชุ่นเทียน
ราชทูตยังมาไม่ถึง แต่ฉางไทเฮาผู้ฝึกฝนธรรมะที่เขาฉีชานมาถึงแล้ว
ในวันนี้ เหล่าข้าหลวงขุนนางหลายร้อยคนแม้กระทั่งฮ่องเต้หยวนเต๋อและฮองเฮาอวี่เหวินก็ออกไปนอกเมืองชุ่นเทียนด้วยตนเองเพื่อไปต้อนรับฮองไทเฮาที่ไม่ได้กลับวังหลวงมาเนิ่นนาน
เมื่อคิดถึงสิ่งต่างๆ ในชาติก่อน ไทเฮาฉางหนิงซึ่งเกือบจะกลายเป็แม่สามีของนาง เหนียนยวี่เอาใจใส่และระมัดระวังตัวเองกับนางมากไม่ด้อยไปกว่าหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนแม้สักนิด!
เหนียนยวี่ได้ยินข่าวนี้เมื่อมาถึงร้านอาหารใกล้ประตูเมืองั้แ่เช้า ในมุมที่เงียบสงบที่สุดบนชั้นสองจากหน้าต่างที่นี่ สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบด้านของทุกสิ่งนอกประตูเมืองได้